แต่งงานกับขุนนางกอบลินที่ลือกันว่าน่าเกลียด แต่เธอกลับน่าเอ็นดูสุดๆ ~ความพยายามของนายน้อยเพื่อเอาชนะใจคุณหนูกอบลิน - ตอนที่ 19.2 สะสางเรื่องต่างๆ (2)
- Home
- แต่งงานกับขุนนางกอบลินที่ลือกันว่าน่าเกลียด แต่เธอกลับน่าเอ็นดูสุดๆ ~ความพยายามของนายน้อยเพื่อเอาชนะใจคุณหนูกอบลิน
- ตอนที่ 19.2 สะสางเรื่องต่างๆ (2)
◆◆◆◆◆
การถูกขับออกนั้นไม่ใช่จุดจบของเรื่องราว
ผมยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่จำต้องไปทำ
ผมส่งยารักษาให้กับตระกูลเซเว่นสเวิร์ธ
ถ้าหากผมส่งภายใต้ในนามของผม ผมมั่นใจมากว่าพวกเขาจะไม่แม้แต่จะตรวจสอบของที่อยู่ด้านในและคงโยนมันทิ้งด้วยความที่ผมได้ทำให้ตระกูลของพวกเขาขายหน้าในที่สาธารณะ
ใช่ ผมรู้ตัวเป็นอย่างดีอย่างถึงที่สุดว่าผมได้ถูกเกลียดถึงขนาดนั้น
ถึงอย่างนั้น ไม่มีใครที่สติดีพอจะดื่มยาที่มาจากแหล่งที่มาน่าสงสัยแม้ว่าผมจะส่งด้วยชื่อหรือตัวตนปลอม
ผมตั้งใจที่จะส่งมันอย่างไม่เปิดเผยแนบไปพร้อมกับเอกสารที่มีรายละเอียดข้อมูลของทฤษฎี หลักการและการรักษาของภาวะขัดข้องในระบบหมุนเวียนเวทมนตร์เรื้อรัง
ผมต้องการให้แอนนาดื่มมันไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมจึงแนบข้อความที่บอกเล่าถึงความไม่แน่นอนในความเป็นและความตายของแอนนา
นั่นเป็นหัวข้อที่ผมไม่เคยแตะต้องมาก่อน
แอนนาคงจะตกใจมากถ้าหากเธอรู้ว่าเธอนั้นมีโรคที่อันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ในเมื่อผมแนบข้อความไปกับวิธีการรักษา เธอคงจะไม่ตกอยู่ในความเศร้าแน่ ผมหวังเช่นนั้น
ผมเองยังได้ส่งโลชั่นคงสภาพให้กับเธอ
ตัวโลชั่นเป็นสินค้าเชิงกลยุทธ์สำหรับแอนนา เธอจะสามารถยังรักษาตำแหน่งของเธอในพระราชวังเอาไว้ได้ด้วยเจ้าสิ่งนี้
ผมจะยอมให้พวกมันหมดลงไม่ได้
และด้วยเหตุนั้น ผมจึงส่งในปริมาณสำรองสำหรับสองปีควบคู่ไปกับยารักษาเพื่อมอบให้เธอในทันที
และสาเหตุที่ทำไมถึงสำรองสำหรับเพียงแค่สองปีนั้น ตัวคุณภาพของโลชั่นจะเสื่อมหลังจากผ่านวันเวลานั้นไป ดังนั้นมันคงจะเป็นการเสียเปล่าหากส่งจำนวนเกินกว่านั้น
ไม่มีทรัพยากรณ์ทางด้านการเงินเหลือเพียงพอที่จะสำรองโลชั่นหากตั้งสมมติฐานว่าของที่หมดอายุจะต้องถูกทิ้ง
เพื่อให้ผมส่งของเหล่านั้นหลังจากสองปีได้สำเร็จ ผมวางแผนไว้ว่าจะส่งพวกมันให้หลังจากที่โลชั่นหมดอายุไปแล้วสักพัก
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงหมดเนื้อหมดตัวอย่างเป็นทางการ
ผมมีเงินเพียงพอที่จะให้ใช้ชีวิตอยู่ได้อีกราวหนึ่งเดือนในฐานะสามัญชนเท่านั้น
ผมขายเสื้อผ้าไม่ได้ เพราะว่ามีตราตระกูลแวร์แวรี่ปักไว้อยู่
ตรานั้นเป็นหลักฐานว่าบุคคลที่สวมอยู่นั้นเป็นคนของตระกูลแวร์แวรี่
มันคงจะเป็นปัญหาใหญ่หากผมนำไปขายโดยพลการ
งั้นคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเผามันทิ้งสินะ
ผมไม่มีเงินแล้วในตอนนี้ ผมจึงต้องทำงาน
ถึงอย่างนั้น ผมจะไปทำงานในพื้นที่ที่อำนาจของตระกูลเซเว่นสเวิร์ธ หรือตระกูลขุนนางอื่นเอื้อมถึงไม่ได้ และแม้แต่ประเทศอื่นและอาณาจักรเองก็เช่นกัน
โดยเฉพาะกับตระกูลเซเว่นสเวิร์ธไม่ควรที่จะรับรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน
พวกท่านอาจจะมาจัดการกับผม แต่แอนนาจะต้องเจ็บปวดแน่หากเธอรู้ว่าท่านพ่อท่านแม่ของเธอทำร้ายผม
นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมจะต้องหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด
ยังไงผมก็ควรจะออกไปจากเมืองหลวงในขณะนี้
ที่นี่อยู่ใกล้กับฐานที่มั่นของตระกูลเซเว่นสเวิร์ธและเหล่าขุนนางที่เรืองอำนาจจนเกินไป มันคงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับผมที่จะหลบซ่อนอยู่ที่นี่
แม้แต่กับพวกที่มาจากอาณาจักรอื่นก็คงจะตามหาที่เมืองหลวงก่อนเป็นแน่ถ้าหากพวกนั้นรู้ถึงการหายตัวไปของเรา ในเมื่อเราอยู่ที่นี่จนถึงตอนนี้
ผมต้องระมัดระวังไม่ให้หลงเหลือร่องรอยอะไรเอาไว้ตอนที่ออกไปจากเมืองหลวง จากนั้นผมต้องหางานทำ
จะว่าไป ผมทิ้งคฤหาสน์โกเลมกับห้องปฏิบัติการเอาไว้ทั้งอย่างนั้น
มันคงจะใช้เวลามากจนเกินไปในการจัดการกับพวกนั้น ผมจึงต้องยอมแพ้ไป…
ถึงอย่างนั้น ผมก็ได้ติดตั้งเวทมนตร์รักษาความปลอดภัยเอาไว้กับพวกนั้น
เหล่านักเวทในตอนนี้คงจะไม่สามารถทำลายเวทมนตร์พวกนั้นได้ ผมจึงไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถฝ่าเข้าไปยังสองที่นั้นไหว
ถึงอย่างนั้นก็มีความเสี่ยงที่สูงที่ตระกูลเซเว่นสเวิร์ธจะคอยเฝ้าจับตามองของพวกนั้นและคอยสอดส่องคนที่เข้าออก
เพราะอย่างนั้น ผมจึงไม่สามารถที่จะนอนที่นั่นได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องใช้ชีวิตเลย
◆◆◆◆◆
ผมยังคงเคลื่อนที่อยู่เรื่อยๆ พยายามที่จะสลัดคนที่ไล่ตามมา และหลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ลงหลักปักฐานอยู่ในเขตสลัมของเมือง มันเป็นการเดินทางเท้าระยะเวลาราวสี่วันจากที่เมืองหลวง
ผมอาศัยอยู่ในห้องอย่างง่ายในบ้านพักราคาถูก
มันเหมือนกับอพาร์ตเม้นท์โทรมๆที่มีห้องอาบน้ำรวมในชาติก่อนของผม
มันเป็นห้องเดี่ยว ไม่มีพื้นที่เก็บของ
พวกขุนนางปกติทั่วไปคงจะอาศัยอยู่ในที่แบบนี้ไม่ได้แน่
ถึงอย่างนั้นผมก็เคยได้อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ห้องเดี่ยวในโลกใบก่อน ห้องนี้มีคุณภาพที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับห้องในตอนนั้น แต่มันก็ไม่ได้ลำบากลำบนมากมายหลังจากที่ผมเริ่มคุ้นชินกับมัน
ผมได้งานแล้วด้วย
ในตอนนี้ผมทำอาหารอยู่ที่ร้านอาหาร และเป็นคนเฝ้าหน้าร้านในสถานเริงรมย์
ผมไม่เคยทำอาหารมาก่อนในชีวิต ด้วยการที่เป็นบุตรชายของขุนนาง
แต่ว่าในชาติก่อน ผมได้ทำอาหารกินเองหลังจากที่แยกตัวมาการบ้านของพ่อแม่ และมาอยู่ตัวคนเดียว การที่ครองโสดจนแก่ตายเองก็เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ผมใช้ชีวิตในมหาลัย ผมเองยังชื่นชอบการทำงานพาร์ทไทม์ที่ไม่จำเป็นต้องไปแสดงใบหน้าให้ใครเห็น ผมจึงใช้เวลาที่มากมายไปกับงานพาร์ทไทม์ในห้องครัว
ผมค่อนข้างมั่นใจในฝีมือการทำอาหารและควบคุมมีด
อีกอย่าง ผมเองยังมีความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมอาหารมากมายในชาติก่อน ผมจึงสามารถนึกเมนูที่ไม่เคยมีการปรุงขึ้นมาก่อนในโลกใบนี้ได้ด้วย
สาเหตุที่ว่าทำไมผมจึงได้ถูกยอมรับให้มาทำงานในร้านอาหารนี้ก็เพราะว่าผมเคยขัดจานในชาติก่อน
และสำหรับงานที่เป็นคนเฝ้าหน้าร้านในย่านโคมแดง ผมได้ถูกแมวมองมาทาบทามหลังจากที่ผมจัดการกับคนที่มาหาเรื่องผมในสลัม
งานของผมคือจัดการกับลูกค้าขี้เมาและพวกก่อเรื่องถ้าหากพวกนั้นเดินเข้ามา ผมจึงต้องอยู่ในบริเวณของร้านเริงรมย์เพื่อง่ายต่อการติดต่อ
มันเป็นงานที่ง่ายๆ พวกนั้นจะติดต่อผมในทุกๆไม่กี่วัน และผมเองก็ชื่นชอบที่จะไปต่อยกับลูกค้าที่ก่อปัญหาให้กับร้านด้วย
ผมยังได้รับเงินมากกว่าเมื่อเทียบกับการเป็นกุ๊กอีก จึงเป็นเรื่องที่โชคดีจริงๆที่ผมได้งานนี้มา
ผมเป็นคนเฝ้าร้านได้เพราะเวทมนตร์เสริมแกร่งและทำให้ร่างกายทนทาน
แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับผมที่จะร่ายเวทอย่างช่ำชองเทียบเท่ากับเหล่านักสู้และนักกีฬาในชาติก่อน
แต่ผมก็สามารถที่จะใช้เวทเสริมแกร่งและความทนทานได้ในระดับที่ช่วยให้ผมรอดพ้นจากการสอบตกในวิชาพละช่วงมัธยมปลายมาได้
คนที่นี่ไม่รู้แม้แต่เวทมนตร์ระดับพื้นฐานที่สุด เพราะงั้นแค่นี้ก็เพียงพอที่จะจัดการกับคนพวกนั้นแล้ว
การส่งโลชั่นไปที่ตระกูลเซเว่นสเวิร์ธยังคงอยู่ในตารางงานของผม
เหล่าผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องสำอางและวัตถุดิบล้วนมีราคาถูกอย่างถึงที่สุด
สำหรับโลชั่นก็เช่นเดียวกัน แต่ผมต้องส่งไปในปริมาณมหาศาล
ค่าแรงของสามัญชนนั้นเป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรเมื่อเทียบกับเงินทุนที่ผมต้องการ
มันคงต้องใช้เวลาเป็นอย่างมากสำหรับผมที่จะเก็บออมเงินในจำนวนขนาดนั้น
เพราะอย่างนั้นถึงแม้ว่าผมจะทำสองงาน ผมก็ยังต้องเก็บเงินที่ได้มาเป็นส่วนใหญ่เอาไว้เพื่อการทำโลชั่น
ชีวิตค่อนข้างลำบากเพราะเรื่องนั้น
เหล่าผู้หญิงในย่านโคมแดงและลูกค้าหญิงของร้านอาหารต่างก็สงสารในชะตากรรมของผมและยังซื้ออาหารมาให้ผมบ่อยๆ
ผู้จัดการร้านบอกผมว่าอย่าไปปฏิเสธความหวังดีของพวกเขาเลย แล้วก็ให้ใช้โอกาสนี้ประจบพวกเธอ
ในชาติก่อน การบังคับให้คนคอยสร้างความบรรเทิงหลังจากเลิกงานแล้วเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ไม่ใช่สำหรับประเทศนี้ มันเป็นสิ่งที่ละเว้นกันได้
กรณีของไนท์คลับก็เช่นกัน ผู้หญิงที่ได้รับเงินมากกว่าจากการให้บริการพิเศษกับเหล่าลูกค้าเองก็เป็นที่นิยมมากกว่า และมันก็เป็นเรื่องยากเช่นกันที่จะปฏิเสธการเชิญชวนจากเหล่าลูกค้าทั้งหลาย
สถานการณ์ในที่ทำงานทั้งสองต่างปฏิเสธได้ยาก แต่ในเมื่อค่าอาหารนั้นก็ผลาญเงินของผมไปมากเช่นกัน มันคงจะช่วยได้มากถ้าหากมีใครมาเลี้ยงข้าวผม
ดังนั้นตามปกติแล้วผมจะตกลงที่จะกินข้าวด้วยถ้าหากได้รับการเชิญชวน
บางครั้ง ผู้หญิงที่มาชวนผมกินข้าวก็พยายามที่จะเข้ามามีความสัมพันธ์กับผม
ผมปฏิเสธพวกเธอไปทุกคน
มันคงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับผมที่จะมีคนรัก
ผมวางแผนที่จะมอบรายได้ทั้งหมดให้กับอดีตคู่หมั้น
ถ้าหากผมมีคนรัก เธอคงจะไม่ตลกกับเรื่องนั้นแน่
อีกอย่าง การใช้เงินขนาดนั้นคงหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ได้ เพราะงั้นไม่มีเลยจะดีเสียกว่า
ชีวิตคงจะง่ายกว่านี้หากผมไปเป็นเป็นนักธุกิจ
แต่ความเสี่ยงที่จะถูกทางเซเว่นสเวิร์ธพบตัวเข้าสูงจนเกินไป ผมจึงทำอย่างนั้นไม่ได้
ตระกูลเซเว่นสเวิร์ธรู้ดีว่าผมเป็นนักธุรกิจ เพราะงั้นพวกเขาอาจจะวางกับดักสำหรับพวกพ่อค้าเอาไว้
พวกเขาคงจะหาผมได้อย่างง่ายดายแม้ผมจะใช้ตัวตนปลอม
ผมอาจจะลงเอยที่อยู่ตัวคนเดียวตลอดชีวิตที่เหลือ แต่ผมก็ได้ยอมจำนนเรื่องนั้นไปแล้ว
บางทีมันอาจจะเป็นชะตากรรมของผม
หนึ่งในรุ่นน้องในที่ทำงานในชาติก่อนของผมเป็นพวกคลั่งไคล้รถยนต์เวทมนตร์แบบหาใครเทียบไม่ได้
เขาใช้เงินเดือนแทบจะทั้งหมดไปกับการปรับแต่งรถยนต์ เขาจึงมักแทบจะอดมื้อกินมื้อ
แต่หลังจากที่เขาแต่งงานและมีลูกสาว เขาก็ได้หยุดงานอดิเรกเรื่องรถนั่นไว้ ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน
เขาถึงกับขายรถเวทมนตร์ประเภทสปอร์ตทิ้งและซื้อรถเวทมนตร์สำหรับครอบครัวแทน
มันคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่ต้องละทิ้งงานอดิเรกที่เขาได้ทุ่มเทเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อ และเงินเดือนแทบจะทั้งหมดลงไป
รุ่นน้องคนนั้นยังบอกผมอีกว่า “แหม ตอนนี้ผมก็มีลูกสาวแล้วนะครับ แต่ก็ทำใจยากจริงๆน่ะล่ะ”
ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูความสุขเป็นอย่างมากในขณะที่พูดอย่างนั้นกับผม
ทำไมรุ่นน้องคนนั้นถึงได้ดูสุขใจขนาดนั้นกันนะ?
ผมไม่อาจะเข้าใจได้ในช่วงชีวิตก่อนของผม แต่ในตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว
อดทนต่อบางอย่างเพื่อให้บุคคลที่เรารักไม่ต้องเจ็บช้ำ
ถ้าหากมีอะไรที่ผมทำได้เพื่อคนที่ผมรัก ผมจะยอมเสียสละซึ่งทุกสิ่งอย่างด้วยความยินดีเลย
ใช้ชีวิตอย่างยากจนนั้นก็ยากลำบาก และอนาคตของผมที่จะต้องแก่เฒ่าตัวคนเดียวเองก็ถือเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้วเช่นกัน
ถึงอย่างนั้น ผมก็รู้ว่าเรื่องนี้จะทำให้แอนนาได้ประโยชน์
เพราะอย่างนั้นผมจึงยินดีที่จะทำมัน
ผมแค่ทำในสิ่งที่ผมอยากทำ เพราะงั้นมันจึงไม่ได้รู้สึกเหมือนกับผมกำลังฝืนตัวเอง หรือว่าทำมันลงไปทั้งความทุกข์ทรมาณ
ผมสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้ถ้าหากมองไปยังทิศที่เมืองหลวงอยู่จากทางหน้าต่าง
เวลาที่ผมแหงนมองท้องฟ้านั้นบ่อยครั้งขึ้นตั้งแต่ตอนที่ผมมายังที่นี่
แอนนาเองก็อยู่ภายใต้ผืนฟ้านั่นด้วย
แค่คิดถึงเรื่องนั้นก็พอทำให้ผมมีแรงฮึดทำงานอย่างขยันขันแข็งแล้ว
พรุ่งนี้เองผมก็พยายามให้ดีที่สุดเหมือนกัน — นั่นคือความรู้สึกที่ผมได้รับ
แม้แต่ในชีวิตหนนี้ คนๆเดียวที่ผมจะหลงรักก็คือแอนนา ผมคงจะรักใครไม่ลงอีกแล้ว
เพราะอย่างนั้นล่ะ แอนนา
ผมจะมอบทุกอย่างที่ผมมีให้กับเธอ
ความรักที่ผมมีทั้งหมด — ในตัวผมคนก่อน และผมที่อยู่ในโลกใบนี้ —
เธอไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกลำบากใจกับความรักนี้หรอก
ผมแค่ทำสิ่งที่ต้องการจะทำ
และในวันนี้เอง ผมก็จะสวดภาวนาเพื่อความสุขของคุณภายใต้ผืนฟ้าผืนนี้
==================
*หากแปลผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้
*สามารถติ/คอมเมนต์ความเห็นกันได้ที่ด้านล่าง
แปลไทยโดย: MountainIbex
พิสูจน์อักษรโดย: Rain K.