ในครั้งนี้ มีกลุ่มของหญิงสาวรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น
“ท่านแวร์แวรี่คงจะกลัวแย่เลยสินะคะ? ฉันเชื่อว่าคงจะมีเด็กผู้หญิงหลายคนที่จะต้องอกหักแน่ หากว่าท่านแวร์แวรี่ไปติดเชื้อแล้วมีตุ่มขึ้นตามใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของท่านเข้าน่ะค่ะ”
หญิงงามคนหนึ่งกล่าว โดยที่มีความกระอักกระอ่วนแปะอยู่บนใบหน้า
ผมไม่สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่เธอพูดได้ในทันที
เธอเป็นคุณหนูจากตระกูลมาร์ควิส ดังนั้นฐานันดรของเธอจึงต่ำกว่าแอนนาอยู่เพียงน้อยนิด
ถึงอย่างนั้น ตระกูลเซเว่นสเวิร์ธก็เป็นตระกูลดยุคอันดับสูงที่สุดที่ถือครองพลังอำนาจอันมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อท่านแม่ยายของท่านดยุคเป็นจักรพรรดิณีของประเทศนี้ด้วยแล้ว
ความแตกต่างของสถานะในด้านของพลังอำนาจระหว่างคุณหนูมาร์ควิสกับแอนนาจึงถือว่าค่อนข้างใหญ่หลวง
แล้วทำไมคุณหนูมาร์ควิสคนนี้ถึงได้ยังมาหาเรื่องแอนนากันล่ะ?
ผมสงสัย หรือว่าแค่พลั้งปากงั้นหรือ?
แต่ความคิดเช่นนั้นก็สูญสลายไปในช่วงเวลาต่อมา
เมื่อตาทั้งสองของเธอจับจ้องไปที่แอนนานั้นเต็มไปด้วยความประสงค์ร้ายและเย้ยหยัน
ผมอยากที่จะตะคอกเธอกลับไป แต่ผมก็ต้องห้ามตัวเองไว้ไม่ให้ทำอย่างนั้น
ในตอนนี้ ผมคือหน้าตาของวงศ์ตระกูลแวร์แวรี่
การมามีเรื่องในสถานที่ที่มีเป้าหมายคือการสร้างความสัมพันธ์คงจะเป็นเหมือนการเอาใส่เกวียนไว้หน้าม้า (สำนวน: ทำอะไรที่ผิดลำดับขั้นตอน)
ผมต้องการที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
ผมหายใจเข้าลึกๆและสงบจิตสงบใจตัวเอง ก่อนที่จะพูดออกไป
“มันไม่ติดต่อหรอกครับ ถ้าหากว่าเป็นโรคติดต่อ งั้นมันก็คงไม่ใช่โรคที่หาได้ยากถึงขนาดผู้คนไม่ได้มีการตั้งชื่อให้ ถ้าหากมีคนหมู่น้อยที่มีอาการนี้แสดงออกมา อย่างน้อยที่สุด โรคนี้ก็น่าจะถูกมอบชื่อให้นะครับ”
ผมพยายามที่จะคงโทนเสียงของผมให้เยือกเย็นเอาไว้
“ท่านแวร์แวรี่เป็นผู้จัดการของบริษัทเลอร์แวนไม่ใช่หรือคะ? ฉันได้ยินว่าบริษัทได้เติบใหญ่ภายในไม่กี่ปีตั้งแต่เมื่อตอนที่ก่อตั้งขึ้นมา”
“ชมกันเกินไปแล้วครับ”
คุณหนูอีกคนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ผมจึงไหลไปตามนั้น
“ท่านมีทั้งไหวพริบควบคู่กับหน้าตาที่เป็นเลิศ เพราะงั้นท่านก็สามารถที่จะเลือกสตรีคนไหนมาเป็นคู่ครองของตนก็ได้ ช่างน่าเสียดายจริงๆนะคะที่ท่านไม่มีโอกาสได้เลือกว่าที่เจ้าสาวด้วยตัวท่านเองแบบนี้”
ดูเหมือนว่ามุมมองของสังคมจะเป็นแบบนั้น
แหม ก็จริงที่ว่าตระกูลอดอร์นิไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการตกลงหมั้นหมายจากตระกูลเซเว่นสเวิร์ธได้ และจากสายตาของคนนอกก็เห็นได้อย่างชัดเจน
นั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิด แต่พวกเขาคิดผิดแล้ว
คุณหนูคนนั้นยิ้มเยาะในขณะที่ทอดสายตามองไปที่แอนนา
ช่างไม่น่าเชื่อ
ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นเพียงบุตรสาวของเคานต์
แล้วทำไมเธอถึงหาเรื่องกับตระกูลเซเว่นสเวิร์ธ สมาชิกของครอบครัวที่มีพลังอำนาจมหาศาลชัดเจนถึงขนาดนี้ล่ะ?
ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“น่าสงสาร? เข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่สมบูรณ์แบบและน่ารักเท่ากับว่าที่เจ้าสาวของผม การที่ได้มาเจอเธอถือเป็นโชคดีที่สุดที่ผมเคยได้รับตั้งแต่ผมถือกำเนิดมาแล้วล่ะครับ”
ผมจูบลงไปยังแก้มของแอนนา
นี่เป็นจูบที่สองของวันแล้ว แต่หน้าของแอนนาก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที
แหม ก็ถือว่าเป็นปฏิกิริยาที่เหมาะสมหลังจากที่ถูกจูบในขณะที่ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนที่เธอรู้จักล่ะมั้ง
ผมดีใจที่ได้จูบเธอไป
“ถ้าหากว่าท่านไม่ว่าอะไร ช่วยกรุณามาเต้นรำกับฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
คุณหนูอีกคนเข้ามาหาผมและเอ่ยปากเช่นนั้น
อะไรกันเนี่ย
ก็พอจะมีช่วงเวลาที่เหล่าสตรีจะเชิญชวนบุรุษไปเต้นรำด้วย อย่างในตอนที่ภรรยาเชิญชวนสามีของตน หรือสตรีทีหมั้นหมายแล้วเชิญชวนคู่แต่งงานของตัวเอง
แล้วก็ยังมีกรณีที่พวกเขาจะเชิญเหล่าสมาชิกในครอบครัว อย่างลูกสาวที่เชิญชวนคุณพ่อ หรือน้องสาวที่เชิญชวนพี่ชาย
จะยังไงผมก็ไม่เคยได้ยินว่าสตรีที่ยังไม่แต่งงานจะมาเชิญชวนบุรุษที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยตรงๆ
หญิงสาวที่โสดตามปกติแล้วจะเป็นฝ่ายที่ได้รับคำเชิญชวนจากเหล่าผู้ชาย และถ้าพวกเธอตกลงด้วย พวกเธอก็จะตอบรับมือที่ยื่นมาของผู้ชายคนนั้น
พวกเธอไม่มีทางที่จะเป็นฝ่ายมาเสนอเองแน่ๆ
แม้จะเป็นสามัญชนก็ยังเข้าร่วมงานเลี้ยงกับเหล่าพ่อค้าได้ ผมเองก็เคยได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงมาบ้าง
แต่ว่าผมนั้นก็ไม่เคยได้ยินว่ามีสาวสามัญชนที่ไหนที่จะไม่ได้รับการขัดเกลาเมื่อเป็นเรื่องของการวางตัวและมารยาทที่จะไปเชิญชวนผู้ชายมาร่วมเต้นรำ
ช่างเป็นสตรีที่เลวร้ายอะไรขนาดนี้กัน
แม้แต่เหล่าพี่สาวในตระกูลอดอร์นิที่เกือบจะเป็นสาวเมืองแล้ว ก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับเด็กคนนี้
“ผมต้องขออภัยด้วย ผมมีคู่หมั้นแล้วครับ”
ผมปฏิเสธอย่างหนักแน่นด้วยคำขอโทษ
มันฟังดูเหมือนผมพึ่งจะปฏิเสธคำเชิญชวนให้นอกใจ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“แหม ท่านหญิงอนาสตาเซีย ขอพวกเรายืนตัว ว่าที่เจ้าบ่าวของเธอ หน่อยได้ไหม? มันคงจะน่าเสียดายถ้าหากเธอจะยึดเขาไว้แม้เขาจะมาเข้าร่วมงานสังสรรค์นะ น่าสงสารออก”
อึ่ก
พลาดแล้วเรา
วิธีการที่เราปฏิเสธดันไปเปิดช่องโหว่ความเป็นไปได้ที่บทสนทนาจะหันเข้าหาแอนนา
ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นสตรีที่ไร้ยางอายพอที่จะข่มขู่คน ‘เพื่อยืมตัวคู่หมั้น’ อย่างบังคับฝืนใจขนาดนี้
เพราะอย่างนั้นผมเลยไม่ได้คิดว่าหัวลูกศรจะหันไปหาแอนนา
“เราก็เป็นเพื่อนกันนี่นา เนอะ?”
แอนนายังคงนิ่งเงียบ คุณหนูคนนั้นเลยพูดต่อ
“ได้ค่ะ ถ้าหากว่าแค่เต้นรำ เช่นนั้นฉันอนุญาตค่ะ”
แอนนาตอบกลับไปยังคุณหนู
ผมกำลังที่จะปฏิเสธด้วยความเหนื่อยหน่าย แต่ด้วยคำว่า “เพื่อน” เลยทำให้ผมลังเล
ผมไม่เห็นถึงความสนิทสนมของพวกนั้นเลยจริงๆ แต่ผมก็กังวลว่าหากผมปฏิเสธไปจะทำให้แอนนาตกที่นั่งลำบาก
“ก็ได้ แค่เพลงเดียวนะ”
หลังจากที่จงใจปฏิเสธมาสักพัก เพราะว่าผมไม่รู้ถึงสถานการณ์ดี ผมจึงตีดสินใจที่จะเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างแอนนากับคุณหนูคนนั้นที่จะเกิดขึ้นหากว่าผมปฏิเสธที่จะเต้นรำออกไป
มันยากเย็นสุดๆที่จะเต้นรำกับคุณหนูคนนี้
การเต้นรำของโลกนี้ต่างจากงานเต้นรำสังสรรค์ในชาติก่อนที่เรื่องระยะความห่างระหว่างตัวผู้ชายและผู้หญิง
มีเพียงแค่มือที่สัมผัสกันและกัน และพวกเราก็ไม่ได้ต้องแตะร่างกายของคู่เต้น
แต่ถึงอย่างนั้น คุณหนูคนนี้ก็ใกล้ผมจนเกินไป
เพราะว่าเธอเป็นฝ่ายที่ยั่วยวน จึงมีเวลาที่อกเธอเกือบจะชนเข้ากับร่างกายผม – พวกเราใกล้กันถึงเพียงนั้น
บางที ถ้าหากว่าแอนนาไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ด้วย และผมเองก็ไม่ได้รับรู้ถึงความหยาบคายของผู้หญิงคนนี้ อาจจะมีโอกาสที่ผมจะมองเธอตาหวานด้วยก็ได้
แต่จะยังไง ในตอนนี้ ผมรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่หยาบคายจนน่าโกรธเคืองถึงขนาดนั้น และผมเองก็มีแอนนาอยู่ด้วย ในหัวของผมจึงเต็มไปด้วยความเป็นกังวลเรื่องของเธอ
แม้ว่าอกของผู้หญิงคนนี้จะชนผมเข้า ผมก็ไม่สนใจเลยสักนิด
ผมคอยส่งสายตาไปหาแอนนาตลอดในขณะที่พวกเราเต้นรำกัน และในตอนนั้นเองที่ผมเห็นหนึ่งในเหล่าคุณหนูขว้างแก้วไปที่เธอ!
$%#&!!
งั้นนี่ก็คือเป้าหมายของพวกนั้นสินะ!!
ผมติดกับพวกนั้นเข้าแล้วไง!!
ผมผลักคุณหนูออก จากนั้นเริ่มร่ายเวทมนตร์ลงในแหวน
แหวนนี้เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ผมทำขึ้นเพื่อใช้ปกป้องตัวเอง
เมื่อเปิดการใช้งาน มันจะเร่งความเร็วตัวผมขึ้นไปอีกยี่สิบเท่า ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ผมใช้ช่วงเวลานั้นในการพุ่งปรี่ไปหาแอนนา
แก้วที่ถูกขว้างโดยคุณหนูกำลังลอย แต่ก็อยู่ในภาพสโลว์โมชั่นสำหรับผมเพราะการเร่งความเร็วของตัวผมเอง
ผมแทรกตัวเองระหว่างแก้วกับแอนนา
มันกระแทกเข้ากับอกผมก่อนที่จะร่วงตกพื้น
สิ่งที่อยู่ในแก้วหกเลอะผมและมีเพียงเท่านั้น
ผมมาทันเวลา
ผลของอุปกรณ์เวทมนตร์หมดเวลา และอัญมณีเวทมนตร์บนแหวนก็แตกเป็นสองเสี่ยง
“แอนนา!! คุณเป็นอะไรไหม!!”
ผมหันกลับไปและถามเธอ
สายตาของเธอเบิกโพลงในขณะที่จ้องมองมาที่ผม
อ้อ จริงสิ ผมใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ไปนี่นา
จากมุมมองของคนนอกแล้ว ความเร็วยี่สิบเท่านั่นเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อสำหรับมนุษย์
ผมวิ่งในระยะทางที่ปกติต้องเวลาห้าวินาทีโดยใช้เพียงแค่ 0.25 วินาทีเท่านั้น
มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าพวกเธอจะต้องตกใจ
“…คะ-ค่ะ ฉันไม่เป็นอะไร”
แอนนา ที่ยังคงตกใจอยู่ ได้พยายามพูดตอบกลับมา”
“ฉะ-ฉันตกใจหมดเลย มันราวกับว่าจู่ๆท่านก็โผล่ออกมาจากอากาศเลยค่ะ”
คุณหนูที่อยู่ข้างๆหญิงสาวที่ขว้างแก้วพูดกับผม
“ถึงผมจะหน้าตาอย่างนี้ แต่ผมก็มีความสนใจเรื่องดาบครับ ผมมั่นใจในความคล่องแคล่วของตัวเองพอตัว”
ผมกลบเกลื่อนด้วยคำพูดเหล่านั้น
“โอ๊ะ แหม งั้นท่านเองก็มีความสามารถในวิชาดาบด้วยหรือคะ ท่านนี่ช่างเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเสียจริงนะคะ”
คุณหนูที่พูดคุยกับผมยังคงพูดต่อ
ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่แอนนาและเหล่าคุณหนูและคนที่ผงะในสุดยอดความเร็วของผม ผมยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาจากเหล่าคนที่อยู่รอบๆพวกเรามาที่ผมด้วย
ได้เวลาถอยแล้ว
“เสื้อผ้าผมเลอะไปหมดแล้ว ผมเลยว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า แล้วคุณจะทำอะไรต่อเหรอ แอนนา?”
ผมถามแอนนา
“ฉันอยากจะไปกับท่านจิโน่ค่ะ”
แอนนาตอบกลับมา
ต้องขอบคุณในพูดคุยของพวกเรา จึงเป็นที่ตัดสินใจแล้วว่าพวกเราจะกลับบ้าน
“งั้นวันนี้พวกเราขอตัวก่อนนะครับ”
ผมก้มหัวและแอนนาก็กล่าวลาอย่างมีมารยาทร่วมกับผม
“เดี๋ยวสิ! พวกเรายังอยู่ระหว่างเต้นรำกันอยู่นะคะ!”
คุณหนูที่เต้นรำกับผมอยู่เมื่อกี้นี้กรีดร้อง
จริงๆเลย ช่างเป็นผู้หญิงที่หยาบคายไม่สมกับเป็นลูกคุณหนูตระกูลขุนนางเอาเสียเลย
แตกต่างกับคนอื่นๆในงานเลี้ยง ตะคอกเสียงดังแล้วสร้างปัญหาอีก
แต่ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นการเสียมารยาทอย่างถึงที่สุดที่ต้องทิ้งผู้หญิงไว้ตัวคนเดียวระหว่างการเต้นรำ ผมจึงเข้าใจความโกรธเกรี้ยวของเธอได้
“ผมต้องขออภัย นี่เป็นเรื่องฉุกเฉินครับ”
ผมก้มหัวอีกครั้งเพื่อขอโทษก่อนที่จะหันหลังให้เธออย่างว่องไว เห็นได้ชัดเจนว่าผมไม่อยากที่จะเอ่ยคำอะไรอีก
ผมจับมือของแอนนาและดึงเธอออกจากโถงงานเลี้ยง
***
“…ฉันขอโทษค่ะ เป็นเพราะฉันเอง…”
แอนนาพึมพำในขณะที่เดินข้างๆผม
งานเลี้ยงยังไม่จบลง จึงมีแค่พวกเราที่ออกมาจากโถงงานเลี้ยง
เหล่าข้ารับใช้น่าจะพักผ่อนกันอยู่ในตอนนี้
เท่าที่ผมเห็น ไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเราในโถงทางเดินนี้
ผู้คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องจะถูกห้ามไม่ให้เข้ามายังอาณาเขตของสถานศึกษา เพราะงั้น แม้แต่บริดจ์เจ็ตที่คอยอยู่กับแอนนาเสมอเองก็ไม่ได้อยู่ด้วย
เสียงน้อยๆของแอนนาดังก้องโถงทางเดินของสถานศึกษาที่ไร้ผู้คนนี้
หัวใจของผมถูกบีบอย่างทุกข์ทรมาณเมื่อผมได้เห็นเธอมีสีหน้าเศร้าหมองลง ผมคงจะทำให้เธอเสียใจมากแน่ๆ
ผมไม่สามารถที่จะอดรนทนต่อไปได้อีกแล้ว ผมจึงคว้าร่างกายเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกนะ”
ผมกระซิบอย่างอ่อนโยนที่หูของแอนนาในขณะที่กอดเธอเอาไว้แน่น
“แต่ว่า…”
แอนนาทำใจเห็นด้วยกับผมไม่ลง
เพราะอย่างนั้นผมจึงพูดต่อ
“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรหรอก คำขอโทษก็ด้วย ถ้าหากว่าอยากจะพูดล่ะก็ ควรจะเป็น “ขอบคุณ” นะ? ผมไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่าคุณมารบกวนใจ ร่างกายของผมมันขยับไปเอง เพราะว่าผมต้องการที่จะปกป้องคุณ เพราะอย่างนั้นคุณไม่ควรที่จะเอ่ยคำขอโทษ แต่ขอบคุณผมแทน อย่าทำสีหน้าอย่างนั้นเลย ยิ้มเพื่อผมเถอะนะ”
แอนนามองมาที่ผม และผมมองเห็นตัวเองที่สะท้อนในดวงตาของเธอ
พวกเราสะท้อนอยู่ในดวงตาของกันและกัน จากนั้นน้ำตาก็เริ่มรินไหลลงมาบนใบหน้าของแอนนา
“แอนนา?”
จู่ๆแอนนาก็น้ำตารินไหลทำให้ผมตื่นตระหนก
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมานั้นเหนือเกินกว่าจินตนาการของผม
อะไรน่ะ!
แอนนาที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของผมกอดผมกลับมา!!
เธอแค่วางมือไว้ที่หลังของผม เพราะงั้นจึงยังเป็นการกอดที่เบาบาง แต่ว่านั่นก็เป็นความจริง ที่แอนนาน่ะ กอดผมกลับ!!
ราวกับมีค้อนได้กระแทกลงมาที่สมองของผม หรือบางทีอาจจะเป็นสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางหัว; จะอย่างไรก็ตาม ถือเป็นการโจมตีที่หนักหน่วงมาก
พอผมมาคิดดูแล้ว ผมที่ใช้ชีวิตมาตลอดแปดสิบสองปีในชาติก่อนและสิบหกปีในชาตินี้ จนเกือบจะเป็นศตวรรษได้แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมถูกกอดโดยผู้หญิงคนอื่นนอกเหนือจากคนในครอบครัวของผม
คำปลอบใจที่ผมกำลังจะพูดออกไปปลิวหายจากหัวผมไปจนหมด จะความคิดอะไรที่ผมมีอยู่ก็ถูกลบหายไปอย่างสมบูรณ์ในขณะที่ความคิดผมขาวโพลน
นี่คือความฝันงั้นเหรอ?
แอนนายังคงร้องไห้ต่อไปในขณะที่หน้าของเธอฝังเข้ามาในอกของผม และสะอื้นอย่างแผ่วเบา
อา จริงสิ
แอนนากำลังร้องไห้
ไม่ใช่เวลามาเหม่อลอยสักหน่อย
“แอนนา อย่าร้องไห้เลยนะ ถ้าหากมีอะไรมาทำร้ายคุณ บอกผมได้เลย คุณช่วยให้ผมได้ใกล้ชิดคุณเป็นพิเศษไปอีกได้ไหม?”
เธอคือคู่ของเรา เป็นพรรคพวก เป็นคู่ชีวิตที่เราจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือไปด้วย
คู่ชีวิตจะต้องเป็นคนที่จะสามารถอยู่ในตอนที่แอนนากำลังเจ็บปวดได้ใช่ไหมล่ะ?
เพราะงั้นผมจึงบอกคำเหล่านั้นกับเธอโดยมีความคิดเช่นนั้นอยู่ในหัว
“คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ”
“เอ๊ะ? เข้าใจผิดเหรอ?”
“ค่ะ ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะความเจ็บปวด ท่านจิโน่ใจดีจนเกินไป จนช่วยไม่ได้ที่ฉันจะร้องไห้เพราะความสุขนั้นค่ะ”
“ใจดี? ผมไม่เห็นจะจำได้เลยนะ?”
“…ท่านจิโน่คะ”
“อะไรเหรอ?”
“…ฉันรักคุณค่ะ”
(!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!)
ราวกับสมองผมระเบิดออกมาอย่างงดงามเพราะความหลงใหลที่ผมรู้สึกได้
นี่มันอารมณ์อะไรกันเนี่ย
อ๊า
จริงสิ
งั้นนี่ก็คือสิ่งที่เป็นเวลารักใครสักคนสินะ
“ผมเองก็เหมือนกัน แอนนา ผมรักคุณ”
ถ้อยคำแห่งความรักได้เล็ดลอดออกจากริมฝีปากผมอย่างง่ายดาย
อารมณ์ต่างๆกำลังหมุนวนอยู่ในตัวราวกับแม่น้ำขุ่นคลั่กกำลังไหลอย่างเชี่ยวกราก และผมแค่คิดเพียงว่าคงจะดีหากผมสามารถที่จะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ แม้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของสิ่งที่ผมรู้สึกได้ก็ตาม
มันยากมากๆที่จะทานทนต่อแรงกระตุ้นอย่างรุนแรงนี้ที่ผมมีต่อแอนนา
ในวันนั้นเอง ริมฝีปากของเราสองได้บรรจบกันเป็นครั้งแรก
==================
*หากแปลผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้
*สามารถติ/คอมเมนต์ความเห็นกันได้ที่ด้านล่าง
แปลไทยโดย: MountainIbex
MANGA DISCUSSION