หลังจากอยู่บนท้องถนนมานานถึงครึ่งชั่วโมง ในที่สุดจางเสี่ยวก็มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง หมู่บ้านแห่งนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่เเต่งตัวมอซอ บรรยากาศบ้านนอกสุดๆ
จากนั้นจางเสี่ยวก็ลงจากรถและลงไปถามคนพวกนั้น “ไม่ทราบว่าสถานที่รับเลี้ยงเด็ก อยู่ตรงไหนหรอคะ?” เพราะแผนที่นำทางมาได้แค่นี้ จางเสี่ยวถึงต้องถ่อลงมาเพื่อถามคนในพื้นที่
เมื่อคนในพื้นทเห็นการแต่งตัวของจางเสี่ยว พวกเขาก็สะอึกไปพักนึง ก่อน ตอบว่า “อยู่ตรงตีนเขานี่เอง” จางเสี่ยวเดินอีกพักใหญ่จากนั้นเธอก็ไปถึงฟาร์มแห่งหนึ่ง….
ฟาร์มเก่าจริงๆด้วย!
เธอนึกไม่ออกจริงๆเลยว่า เจ้าของสถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้าจะเอาฟาร์มวัวเก่ามาเป็นสถานเลี้ยงดูเด็กแบบนี้ หรือมันเป็นการประหยัดรูปแบบใหม่
แต่จริงๆเด็กก็ควรได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?
ในยุควันสิ้นโลก เด็กนั้นคือทรัพยากรคนที่สำคัญ พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีและปกป้องอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์สูญสิ้นไป ทว่าพอมาเป็นยุคแห่งความสงบสุข
เธอก็พบว่าลูกชายกำมะลอของเธอกำลังอยู่ในฐานะของปศุสัตว์ตัวหนึ่ง มันช่างน่าอนาถใจแบบแปลกๆ
จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในฟาร์มและตรงดิ่งเข้าไปหาอาคารอำนวยการทันที
“สวัสดีค่ะฉันมารับลูกไปเลี้ยง” คำพูดนี้ทำให้ผู้อำนวยการสถานรับเลี้ยงเด็กที่กำลังยืนชมบอนไซหน้าห้องต้องหันมามองหน้าทันที
“คุณคือ จางเสี่ยว?” ผู้อำนวยการสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามองหน้าหญิงสาวที่เพิ่งมาถึงด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เขารู้มาก่อนแล้วว่ายังไงเธอก็ต้องมาเพราะคดีการทอดทิ้งเด็กได้อยู่ในมือของตำรวจทมิฬเเล้ว
ดังนั้นเขาจึงได้แอบเตรียมของต้อนรับไว้รอเธอแล้ว…..
คนเลวแบบนี้จะต้องโดนสังคมลงโทษ!
จางเสี่ยวที่ไม่รู้อะไรเลยแต่เธอสัมผัสได้ถึงจิตสังหารแบบแปลกๆเธอจึงได้มองหน้าผู้อำนวยการด้วยความสงสัยและถามด้วยน้ำเสียงหวานๆว่า
“มีอะไรหรือเปล่าคะ? คือนี่คือเอกสารที่ทางตำรวจให้มาค่ะ ต้องรับลูกชายกลับบ้านวันนี้เลย”
ผู้อำนวยการรับเอกสารมาจากนั้นเขาก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
เขาปรับสีหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะบอกว่า “รอก่อนแล้วกันครับผมจะเรียกคนให้ไปตามลูกชายมาพบ คุณก็กรุณาดื่มชาอยู่ในห้องพักให้สบายใจเถอะ”
ลึกเข้าไปในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่สิเรียกว่าฟาร์มวัวคงจะถูกกว่า เด็กชายคนหนึ่งกำลังทำงานอย่างหนัก เขากำลังขุดดิน และถอนหญ้ามากมาย เพื่อเตรียมสถานที่ให้วัวตัวใหม่ที่เจ้าของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจะเอามาเลี้ยงในอาทิตย์หน้า
เมื่อมองดูจากระยะไกลๆแล้ว ทุกคนจะเห็นว่าเด็กชายนั้นมีหน้าตาที่ดีงามกว่าเด็กปกติของหมู่บ้านเเห่งนี้ เขามีสีผิวที่ขาวนวล มีใบหน้าที่อ้อนแอนอรชร และตัวของเขาก็เล็กกว่าเด็กคนใดในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้
หลายวันก่อนเขาถูกป้าเอามาโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี เขาจำได้ในวินาทีที่ลุงกับป้ากำลังจะขับรถออกไป เขาวิ่งตามรถจนล้มลุกคลุกคลานไม่ต่ำกว่า 10 รอบ แต่เขาก็ไม่สามารถตามรถของลุงไปได้
เขาที่ทั้งตกใจและกลัวจนตัวสั่นได้แต่เดินไปเรื่อยๆ เเละในที่สุดก็โดนคนมารับไปส่งตำรวจ เเละต่อมาก็ถูกส่งให้เจ้าของสถานรับเลี้ยงเด็กรับมาเลี้ยงดู
ดูผิวเผินเหมือนว่าจะดี ตอนแรกเขาก็ซาบซึ้งน้ำใจในตัวของเจ้าของสถานรับเลี้ยงเด็กมาก
ภาษิตว่าถ่านยามหนาวย่อมดีกว่าให้อาหารยามอิ่ม
ทว่าสิ่งที่เขาคิดไว้มันก็เป็นเรื่องผิด จริงๆแล้วผู้ชายคนนั้นแค่ต้องการแรงงานเข้าไปเพิ่มแค่นั้นเอง
ตั้งแต่เขาเข้ามาที่นี่ เขาต้องทำงานตั้งแต่เช้ายันเย็น อาหารไม่เคยครบ 3 มื้อ อีกทั้งบรรดาเด็กๆในนี้ก็รุมรังแกเขา บางคนถึงขั้นกับลงไม้ลงมือ รีดไถเงินอย่างโหดเหี้ยม
“เฮ้ย! แกเป็นเด็กในเมืองไม่ใช่เหรอ? เอาเงินมายืมสัก 20 หยวนสิ”
“อะไร แกก็ไม่ให้ฉันหรอ อย่างนี้ต้องโดนควงสว่านสายฟ้า!”
เป็นแบบนี้ทุกวัน เด็กชายเริ่มจะชาชิน เขาก็เลยปลีกวิเวกออกมาไม่ยุ่งกับเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอีก เขาเลือกที่จะมาทำงานหนักอย่างการขุดดินและขุดหญ้าไปเลี้ยงวัว หรือไม่ก็การใช้แรงงานหนักๆอย่างเช่น ยกข้าวของ ยังดีกว่าที่จะต้องไปสมาคมกับคนพวกนั้น
ทุกวันนี้ตอนเย็นๆเขามักจะมาเฝ้ารอให้คุณลุงหรือคุณป้ามารับเขาที่สถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ทุกๆวัน
แต่เขาก็รู้ว่าทั้งหมดนั้นมันเป็นไปไม่ได้
ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงเฝ้ารออยู่ทุกวัน หวังว่าทุกอย่างจะเป็นความจริง
จนกระทั่งเจ้าของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเรียกเขาออกไป
“เเม่เเกมารับเเล้ว รีบไสหัวออกมาซะ ”
คำพูดหยาบไปหน่อย แต่เขาก็เดาได้ว่าเขาคงไม่สบอารมณ์จริงๆ แต่ถึงอารมณ์ของเขาจะเป็นยังไง เด็กชายก็ต้องออกไปอยู่ดี
หน้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า มีคนท่าทางแปลกประหลาดคนหนึ่งที่ใส่เสื้อคลุมสีดำและโม่งสีดำ
คนๆนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด
ก่อนที่เด็กชายจะพูดอะไรก็มีเด็กคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา
“ไอ้เด็กไม่มีพ่อ แกจะไปไหนวะ มีคนจะมารับเลี้ยงเหรอคนอย่างแกเนี่ยนะ”
เด็กคนนั้นหันไปทางจางเสี่ยวทันทีแล้วเริ่มพูดจากระแนะกระแหนเด็กชายหน้าตาดี
“คุณครับ รับเลี้ยงผมเถอะ ผมสามารถทำงานหนักและทำสวนให้คุณได้เด็กคนนั้นมันเป็นเด็กไม่มีพ่อ ถึงมันจะหน้าตาดีนิดหน่อยก็ไม่มีใครเขารับเลี้ยงหรอกครับ ขนาดพ่อมันยังทิ้งเลย”
พูดแล้วก็หัวเราะจากนั้นก็หันไปต่อยเด็กชายหน้าตาดีจนล้มคว่ำ
“เห็นไหมครับมันโคตรอ่อนแอเลย ถ้าคุณจะรับเลี้ยงเด็กสักคนคุณคนรับเลี้ยงผมนะครับ”
เด็กชายหน้าตาดีคนนั้นลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ก่อนที่เด็กชายคนนั้นจะรู้ตัว เด็กชายหน้าตาดีก็ถวายกำปั้นล็อตใหญ่ให้เด็กคนนั้นจนล้มกลิ้งไปแล้ว
จางเสี่ยวมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจเธอควรจะเข้าไปห้ามหรือผสมโรงดี
จากนั้นเธอก็เห็นเด็กอีกกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามา พวกเขาดูโมโหมากที่เด็กชายหน้าตาดีคนนั้น ไม่สิลูกชายของเธอ ทุบตีเด็กเกเรคนนั้น
จากนั้น เด็กกลุ่มนั้นก็รุมเข้าไปทำร้ายลูกชายของเธอทันที เธอได้ยินเสียงก่นด่าที่ดังมาจากปากเด็กพวกนั้น
“สันดานอันธพาลอย่างนี้นี่เอง พ่อของแกถึงได้ทิ้ง”
“ได้ยินว่าแม่ของแกก็ไม่เอาใช่ไหม”
“คนนึงที่มาถ่ายทำข่าวตอนนั้นเขาบอกพวกฉันว่าแกเป็นลูกกำพร้าสายเลือดสกปรก”
“และตอนนี้แกยังคิดทำร้ายพวกเราอีกเหรอ”
“รู้จักบุญคุณซะเลยไอ้เลว”
เเม้เด็กชายหน้าตาดีจะตัวเล็ก แต่เขาก็สู้ไม่ถอย เขาไม่เอ่ยปากเถียงเด็กคนพวกนี้สักคำ เขาได้แต่รัวหมัดอัดชกไปเรื่อยๆ
ถึงจะแพ้แต่เขาก็ไม่ยอมที่จะล้มลง
จางเสี่ยวมัวแต่ยืนอึ้งอยู่นาน จะว่าไปตอนนี้เธอมีสถานะเป็นแม่ของเด็กคนนี้เเล้ว ตามหลักแล้ว ถ้าลูกถูกทำร้าย แม่ก็ควรจะเข้าไปช่วยถูกไหม
จางเสี่ยวเข้าไปจับเด็กพวกนี้โยนทิ้งทันที
แต่เพราะเรี่ยวแรงของเธอนั้นมีไม่มากเท่าไหร่ เธอจึงตัดสินใจงัดเดียววิชาก้นหีบออกมา
‘บาร์บี้เหล็ก สะท้านฟ้า’
ในไม่ช้าแขนเล็กๆ ของจางเสี่ยวก็เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ นางฟ้ากลายเป็นนักกล้ามในพริบตา
รางกับป๊อปอายที่ได้กินผักโขม
จางเสี่ยวจับเด็กเกเรพวกนั้นทีละคนและปกป้องเด็กชายตัวเล็กเอาไว้ในอ้อมแขนของเธอ
MANGA DISCUSSION