หลังจากงานฉลองในคืนนั้นจบ นรกในสายตาของเขาก็จบลงเช่นกัน สเวน..ไม่สิ มาร์คิดแบบนั้น
[ให้ตายพ่อกับแม่โลกนี้มันคึกกันจังวะ คือเด็กแรกเกิดมันควรจะได้นอนเยอะๆ จะได้โตไวๆ นี้เล่นตะโกนโหวกเวกโวยวายตั้งแต่ กุคลอด..ไม่สิ ไม่สิ ไม่ได้ ไม่ได้ จะหยาบไม่ได้!! ตั้งแต่แต่เราคลอด
ตอนนี้ต้องหัดพูดจาสุภาพสินะ ดูเหมือนครอบครัวเราจะเป็นขุนนางขืนถ้าไม่หัดพูดสุภาพแล้วไปหลุดปากพูดตอนโตมีหวัง พ่อแม่เสียใจแน่ๆเลย ฮ่าๆๆ ]
มาร์ในวัยทารกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนที่นอนเด็กของเขาซึ่งวางอยู่ข้างๆเตียงนอนของวราเรย์
ตั้งแต่ที่พ่อแม่ของเขาเมาหลับไป มาร์ก็เริ่มฝึกขยับร่างกายไปมาอย่างช้าๆ
ใช่ถึงแม้ว่าร่างกายจะเป็นเด็กแต่สมองและจิตวิญญาณของเขาคือผู้ใหญ่ ชื่อของเขาคือ มาร์ ซันเบิร์น เขาเริ่มขยับนิ้วมือ แขน ขา และลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
ทว่าการที่ทำแบบนี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่เด็กปกติจะทำได้ ต้องย้อนกลับไปตอนที่พระเจ้าอธิบาย!!
"ร่างกายของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้มีกุญแจ เป็นส่วนประกอบ FROM สองอย่าง 1 คือกายเนื้อ 2 คือวิญญาณ
กายเนื้อนั้น เป็นสิ่งที่พ่อแม่สร้างขึ้น กำหนดรูปลักษณ์ภายนอก ส่วน เผ่าของเจ้านั้นก็ถูกกำหนดด้วยพลังวิญญาณหน่วยชีวิตของพ่อแม่ พวกเจ้าและที่นั้นเรียกมันว่า HP ละนะ
โดยที่สิ่งที่แข็งแกร่งมากกว่า จะมอบการกำหนดเผ่า ให้ สิ่งที่อ่อนแอกว่า
พอเป็นแบบนี้ร่างกายของเจ้าที่จะเกิดบนโลกนั้นคงไม่มีทางเป็นเผ่าที่พ่อแม่เจ้าเป็นแต่เป็นเผ่า มนุษย์ นั้นแหละ สาเหตุง่ายมาก ค่าเฉลี่ยพลังวิญญาณหน่วยชีวิตตอนแรกเกิดนั้น แต่ละเผ่ามีมากสุดก็หลักร้อย แต่เจ้านี้สิที่เป็นมนุษย์จากโลกนี้แถม อยู่ที่นี้นานๆอีก "
พระเจ้าพูดจบก็หยิบป้ายขึ้นมาเขียนอะไรสักอย่าง
[ 5000 ] นั้นคือเลขในป้ายที่พระเจ้าหันมา
"พอเป็นแบบนี้ มันก็เลยไปกลบ พลังวิญญาณของพ่อแม่เจ้า จนหมดเกลี้ยงแน่ๆ ข้าทำนายได้เลย แต่ไม่ต้องห่วงนะ เพราะว่า……อืมมม …เอ่ออ ไม่ดีกว่า พอลงไปเจ้าก็จะรู้เองว่าทำไม ข้าไม่อยากสปอย์เจ้าละนะ ฮ่าๆๆ"
และนั้นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไม เขาถึงสามารถขยับร่างกายได้ เป็นเพราะ จิตวิญญาณของมาร์ตอนนี้กลืนกินร่างกายไปแล้ว จิตวิญญาณของหนุ่มวัย 40 ในร่างเด็กทารกวัย 1 วัน ก็เลยทำให้ร่างกายต้องทำตามจิตนั้นอย่างขัดขืนไม่ได้
ระหว่างที่กำลัง"ข่มขืน"กล้ามเนื้อวัยเด็กด้วยจิตวิญญาณของตัวเอง มาร์ก็สงสัยว่า
[ จะว่าไปทำไม เราฟังภาษาของโลกนี้ออกหว่า จำได้ว่าพระเจ้าไม่ได้ให้ไว้นิ หรือว่า…..!!! Absolute Evolution!! จะเริ่มทำงานแล้ว…. ใช่ตอนนั้นไง
ตอนที่ไอหมอมันตีตูดเรา เหมือนจะในหัวจะขึ้นให้รับ หรือปฏิเสธอะไรสักอย่าง ตอนแรกกับปฏิเสธไป พอเจ้าหมอนั้นเริ่มบ่นอะไรสักอย่างมันก็ขึ้นมาอีก แล้วเราก็ยอมรับไปเพราะรำคาญ….หลังจากนั้นเหมือนว่าจะฟังออกหมดเลยแหะ ]
หลังจากที่ขยับร่างกายได้จนชินแล้ว มาร์ก็ลองฝึกขยับร่างกาย ด้วยการปีนออกนอกเตียงนอนของตนเองแล้วกระโดดไปมา ทั้งม้วนหน้า ม้วนหลัง กลิ้งตัว หรือแม้แต่ปีนชั้นหนังสือในห้องก่อนที่จะโดดลงมาม้วนตัวสู่พื้นอย่างสวยงาม
[เหมือนร่างกายจะขยับได้ตามใจชอบแล้วสินะ เหอะๆๆๆ เสร็จเราละ ว่าแต่เราจะดูค่าสเตตัสเหมือนในเกมยังไงหว่า] เขาคิดแบบนั้นก่อนจะพูดออกมาเบาๆว่า " สเตตัส "
[ ….เงียบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าโลกนี้จะไม่มีสเตตัสหรือเปล่า เอาเถอะตอนนี้ควรหาข้อมูลก่อน ]
มาร์เดินไปที่ชั้นวางหนังสือและมองหาหนังสือในนั้นมาอ่าน ระหว่างที่เขากวาดสายตา ก็พบกับหนังสือ….
[ วิธีการดูความสามารถของต้นเอง ฉบับ วัยก่อน 8 ขวบ ]
[นี้แหละๆ ดีจริงๆที่เจอ ไหนๆดูสิ…….] มาร์เริ่มอ่านหนังสือเล่มนั้น
เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง
[ไอชิบ…… ไอระ……. ไม่ได้ๆ แย่จังเลยโว้ยยยย หนังสือนี้มันไม่บอกอะไรเลยนอกจากว่า จนกว่าจะอายุ 8 ขวบ จะไม่รู้สเตตัสของตัวเองเพราะยังไม่ได้ไปขึ้นทะเบียนที่อำเภอ แถมสกิลที่ใช้ในอำเภอนั้นก็เป็นความลับอีก อะไรเนี้ยยยย แบบนี้ก็ต้องทน งม ค่าความสามารถไปจนกว่าจะ 8 ขวบ เหรอออ ไม่ยอมหรอกเว้ยยยย ถ้าไม่รู้ก็ฝึกมันไปเรื่อยๆเลยละกัน!!!] มาร์คิดเช่นนั้นก่อนจะเริ่มควานหาหนังสือมาอ่านต่อ
คราวนี้เขาหยิบ [หนังสือประวัติศาสตร์] มาอ่าน ซึ่งก็อ่านได้ไม่นาน เขาก็รู้ว่า โลกนี้มีภาษากลางคือ อิคดีย์ เป็นภาษาที่จะใช้สื่อสารกันเป็นปกติ และโลกนี้มีหลายทวีปมากๆ
แต่ทวีปที่เขาอยู่คือ พ็อกซ์ เป็นทวีปที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดและเป็นทวีปที่สงครามแทบจะไม่เกิดเพราะเป็นแหล่งวิทยาการที่ทวีปอื่นๆจะส่งลูกหลานมาศึกษา โดยมีระดับการศึกษาตั้งแต่ โรงเรียนไปจนถึงมหาลัย
ทว่า โรงเรียนในโลกนี้เริ่มเรียนตอน….อายุ 15 ปี และมหาลัยเริ่มตอน อายุ 22 ปี มาร์ที่เห็นข้อความนี้ก็ถึงกับเกาหัวเพราะมันนานมากๆ นานจนเหมือนจะเรียกได้ว่าแบบนี้มันเสียเวลาชัดๆ
เขาอ่านหนังสือจนจบก็เก็บมันเข้าที่ ก่อนที่จะหยิบหนังสืออีกเล่มมาอ่าน [ ชีวิตเพื่อเตรียมเข้าเป็นอัศวิน เวทย์ที่ควรรู้และระบบต่างๆก็เข้าเรียน ] เป็นหนังสือหนาประมาณ 30 เซนติเมตร
"อ่า…. อืมมม อ๋ออออ เอ๋!! งี้ก็ได้เหรอ?!?!" มาร์บ่นพึมพำในระหว่างที่อ่านหนังสือเล่มนั้น
เนื้อหาในหนังสือ 15 เซนติเมตรแรก นั้นเป็นเรื่องของเวทย์มนต์หมายถึงระดับของเวทย์มนต์
โลกนี้เวทย์มนต์มีระดับตั้งแต่ 0 ถึง 20 และระดับชั้นสังคมของแต่ละที่มักจะแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นล่าง ชั้นกลาง และ ชั้นสูง ระดับเวทย์เองก็เรียงง่ายๆคือระดับต่ำๆ เรียนง่ายใช้มานาน้อย ระดับยิ่งสูงยิ่งใช้ยาก ซึ่งเวทย์มนต์สามารถพัฒนาได้ถ้าหากใช้มันบ่อยๆ
โดยโลกนี้แบ่งคนทำงานตามระดับเวทย์ที่ใช้ได้จากเวทย์ระดับ 0 ถึง 3 คือคนทั่วไป มากกว่า 3 ไปถึง 7 คือนักเวทย์หรืออัศวิน แต่ถ้ามากกว่า 8 ถึง 10 คือจอมเวทย์หรือยอดขุนพล ส่วนมากกว่านั้นไม่ปรากฎว่ามี ถ้ามีก็ระดับเทพ ไม่ก็ตำนาน
เผ่าพันธุ์มีมากมาย แต่ว่ามนุษย์โดนดูถูกมากที่สุดเพราะไม่มีดีอะไร ทั้งเวทย์ ทั้งกำลัง เลยโดนเท ตลอด มนุษย์ใช้เวทย์ได้สูงสุดตามธรรมชาติที่ ระดับ 2 แต่การพัฒนาร่างกายก็แล้วแต่คนแต่ไม่เคยมีใครไปถึงยอดขุนพล
ต่อมาคือเรื่องเข้าเรียน เวลาจะเข้าเรียนต้องมีการสอบ ซึ่งหนังสืออก็อธิบายไว้คร่าวๆแค่ ว่า [ จำข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ไปก็สามารถสอบผ่านได้ เพราะข้อสอบข้อเขียนไม่เคยเปลี่ยน และ ข้อสอบปฏิบัติเองก็เช่นกัน ]
หลังจากที่อ่าน มาร์ก็พบกับคำตอบของชีวิตว่า [ หนังสือบ้านี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเล้ย ให้ตายเถอะ เขียนมาแต่น้ำ นี้ลองเขียนสรุปลงกระดาษไอความหนา 20 เซนติเมตร สรุปออกมา 5 แผ่น 10 หน้า คือ….จะพิมให้เปลืองกระดาษทำดอยอะไร แล้วในหนังสือก็มีแต่วลีเหยียดเผ่าพันธุ์ เห้อออ ]
และแล้วก็มาถึงส่วนสำคัญของหนังสือ 10 เซนติเมตรสุดท้ายของเล่ม…..
[อื้ม…. สกิล ที่สอน มีแค่ 2 อย่าง เห้ออออ… ไหนดูสิ] มาร์เริ่มอ่านซึ่งในหนังสือนั้นก็มีแต่วิธีฝึกซึ่งให้ได้สกิลนั้นมา ทั้งการรวบรวมพลังมานาไว้ในร่างกาย การสัมผัสพลังมานา
แต่ว่าอยู่ๆก็มีเสียงผู้หญฺงพูดในหัวของมาร์[ ท่านต้องการจะรับสกิล เสริมกำลังกายระดับ 2 หรือไม่ Yes/No ]
[ อ่านี้สินะสกิล Absolute Evolution ไหนๆก็สำคัญสำหรับเข้าโรงเรียนนิน่า เอาสิ Yes ] ทันทีที่ตอบตกลงมาร์ก็รู้สึกได้ว่ามีพลังบางอย่างปรากฎขึ้นในตัวเขา
[ ท่านได้รับ สกิล เสริมกำลังกายระดับ 2 และพัฒนาสู่ เสริมแกร่ง ระดับ 3 เรียบร้อยแล้ว ] เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
[เดี๋ยวนะ? เราได้สกิลแล้วเหรอ? แค่อ่านเนี่ยนะ แค่อ่านว่ามันคือสกิลอะไรเนี่ยนะ? จริงดิ แถมรู้สึกได้ว่ามีสกิลนี้อยู่ในตัวเลยด้วย เหมือนดึงคำออกมาจากหัวชัดๆ ไหนๆลองดูสิ ] มาร์ลองใช้สกิลทันทีแล้วผลที่ได้คือ
ร่างกายของมาร์เริ่มมีกล้ามขึ้นตามส่วนต่างๆ แต่มันดูน่ากลัวประหลาดๆ เพราะว่าเด็กอายุ 1 วัน นั้นกำลังเบ่งกล้ามและตั้งท่าทางแบบนักเพาะกาย
"โอ้วววว นี้ละสุดยอด ความฟิตนี้มันอะไรกันนนน" มาร์พูดออกมาเบาๆ พร้อมกับยิ้มเก็กหล่อ
แต่ว่าระหว่างที่เขาเบ่งกล้ามอยู่นั้นก็รู้สึกได้ว่า มานา กำลังถูกดูดออกไป และมันเริ่มทำให้สติของเขาเลือนลางจางๆ หลังจากเบ่งกล้ามนานกว่า 30 นาที
[หยุดแค่นี้ก่อนดีกว่า รู้สึกมึนๆยังไงไม่รู้ ] มาร์หยุดเสริมแกร่งร่างกายแล้ว อ่านหนังสือต่อก็พบว่า
อัตราการใช้มานาของ[เสริมกำลังกาย]นั้นปกติ จะใช้เฉพาะตอนที่มีจังหวะโจมตีหรือจำเป็นต้องหลบหรือป้องกัน เพราะว่าอัตราของการใช้มานานั้นสูงมากๆ ยิ่งถ้าใช้เสริมทั่วร่างกายยิ่งกินมานาสูงสุดๆ ปกติมือใหม่แค่คงสภาพไว้ได้ 1 นาทีก็สลบได้แล้ว
[อ่า…แต่เรา เบ่งกล้ามเล่นเกือบ 30 นาทีเลยนาาา แถมใช้สกิลที่สูงกว่าด้วย แบบนี้มานาเราคงเยอะมากเลยละสิเนี่ย….ดีไม่ดีหว่า แต่แบบว่า ยังมึนๆอยู่เลยแหะ เอาเถอะ อ่านต่อๆ เหลืออีก 1 สกิลนิ]
มาร์อ่านหนังสือนั้นต่อ คราวนี้เขาเลือกที่จะข้ามส่วนที่เกี่ยกับการฝึกไปเลยเพราะรู้ว่า….คงไม่ได้ฝึกเพื่อเอาสกิลแน่ๆ
สักพักก็มีเสียงดังขึ้นในหัวอีกครั้ง [ ท่านต้องการจะรับสกิล ฟื้นฟูมานา-ต่ำ ระดับ 3 หรือไม่ Yes/No ]
มาร์ไม่รอช้าที่จะตอบว่า [ YES!! ]
[ท่านได้รับ สกิล ฟื้นฟูมานา-ต่ำ ระดับ 3 และพัฒนาสู่ ฟื้นฟูมานา-กลาง ระดับ 5 เรียบร้อยแล้ว] ทันทีที่ได้รับสกิล มาร์ก็รู้สึกได้ว่าอาการมึนของเขาเริ่มหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มาร์รีบหยิบหนังสือมาอ่านข้อมูลของสกิลนั้นทันที
สกิล [ ฟื้นฟูมานา-ต่ำ ] สกิลที่เพิ่มปริมาณความจุมานาเพียงเล็กน้อยและเพิ่มอัตราการฟื้นฟูมานา ตราบใดที่ยังคงมี "สติ" อยู่ หากหมดสติเมื่อไหร่ หรือ นอนเมื่อไหร่ สกิลจะหยุดทำงานลงทันที
[หมายความว่ายิ่งเราตื่นและตั้งสมาธิ เราก็จะฟื้นฟูมานาได้เรื่อยๆสินะ] มาร์เดินกลับไปที่เตียงของตนเอง แล้วนั่งขัดสมาธิบนนั้น
[ เอาละ ในหนังสือบอกว่า ถ้าเรายิ่งใช้สกิลบ่อย สกิลก็จะพัฒนาต่อได้สินะ แบบนี้ระหว่างที่เรายังไม่ได้สกิลที่สูงกว่าก็ฝึกใช้เพื่อให้ชินไปก่อนละกัน ]
[เอ้า [เสริมแกร่ง] แอคทีฟได้!!! ] กล้ามเริ่มปรากฎขึ้นบนร่างของมาร์อีกครั้ง คราวนี้แม้เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงมาร์ก็ยังทนได้ จนกระทั่ง
1 ชั่วโมงครึ่ง มาร์ก็พบกับความมืด…..สลบ
[เห้ย…. นี้เราสลบเลยเหรอ ไม่ดินี้มันไม่ใช่สลบ เชี้ยยยยยย ใครจะไปยอมละเว้ยยยยยย]
[ ABSOLUTE DENY : เริ่มทำการปฏิเสธความตาย ] เสียงนั้นดังขึ้นในหัวแต่มาร์ก็ไม่ได้ยินมัน
มาร์เริ่มใช้จิตของตัวเองดึงสติกลับมาจากโลกแห่งความมืดและตื่นขึ้นบนเตียงของเขา….
"แฮกๆๆ แฮกๆ เมื่อกี้ไม่ใช่สลบแล้ว สลบบ้าอะไรมืดขนาดนั้นวะนั้น แถมรู้สึกเย็น เย็นไปทั่ว…เลย หรือว่า.." ใบหน้าของมาร์เต็มไปด้วยเหงื่อและสีหน้าของเขาก็ซีดเซียวสุดๆ
มาร์ปีนลงจากตีนไปอ่านหนังสือเพื่อหาข้อมูลว่า ถ้ามานา หมดจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งคำตอบที่ได้คือ
"ตาย"
ใช่ ตาย ถ้ามานาหมดก็คือพลังจิตวิญญาณหมด แบบนั้นร่างก็ไร้ซึ่งวิญญาณที่จะคงอยู่ต่อได้
[ นี้เราอายุ 1 วันก็จะตายแล้วเหรอ ไรวะเนี้ยฮ่าๆๆๆ บ้าระห่ำดีแหะ……] หลังจากนั้นมาร์ก็ฝึกแบบเดิมอีก แต่คราวนี้เขาคงสติไว้ได้ถึง 2 ชั่วโมง ก่อนที่จะสลบ..ไม่สิ ปางตายไป
[เดี๋ยวๆๆๆ นึกว่าได้แล้วนะนั้น เห้ยๆ อย่าพึ่งตายเว้ยยยย]
[ ABSOLUTE DENY : เริ่มทำการปฏิเสธความตาย ] มาร์ก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงนี้อีกเช่นเดิม
มาร์ชักสะดุ้งขึ้นมาจากการจำลองตายอีกครั้ง แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่า มานา ของเขาเพิ่มขึ้นกว่าตอนสลบครั้งแรกมาก มันเพิ่มมาพอจะให้เขาใช้สกิลได้นานขึ้นตั้ง 30 นาที
"เห้อ….แบบนี้ ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ น่าจะพัฒนาสกิลได้เร็วขึ้นสินะ ไม่สิมานาก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย สุดยอดไปเลยแหะ แต่เสี่ยงตายสุดๆเลยเห้ย เอาเถอะ แบบนี้สิถึงจะสนุก!!! "
แสงพระอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างลงมา แถมร่างกายของควาโด้กับวราเรย์เริ่มเรืองแสงขึ้น
[ชิบๆๆๆ เดย์แมร์ได้รับเอฟเฟคแสงแล้วแบบนี้ พ่อกับแม่คง…]
"ฮาวววววว เช้าแล้วแหะ ตื่นได้แล้วค่ะคุณ ต้องไปทำงานแล้วนะคะ… งืม…. มาร์ อยู่ดีไหมเอ่ย.."
มาร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบกลับไปแกล้งนอนต่อทันที ส่วนวราเรย์ก็เดินมาดูลูกชายของเธอนอนหลับอยู่บนเตียง
[น่ารักจริงๆเลยน้า ลูกใครเนี้ย ฮุฮุ ]
….
MANGA DISCUSSION