ฟู่มมมมมมม
“ อากาศดีจังเลยน้าาาา ดีจนลืมเอาของสำคัญลงมาด้วยเลยแหะ ”
ท่ามกลางท้องฟ้ายามกลางคืน ชายหนุ่มในชุดพรางตาข่ายผู้สวมหน้ากากกระโหลกผี มาร์ นายท่านแห่งยูโทเปีย กลุ่มผี และโรงงานผลิตของเล่น GHOST กำลังดิ่งลงผ่านท้องฟ้านี้โดยที่กำลังคลำหาอะไรบนหลังของตัวเองอยู่ ของสำคัญที่ปกติในชาติก่อนเขาจะไม่มีทางลืมมันเลย
“ เห้ออออ เพราะร่างกายทนกับทุกอย่างแบบนี้เลยไม่ได้ห่วงชีวิตตนเองสิน้า กุเนี่ย ลืมเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว โอยย แย่ๆๆ ”
มาร์รู้ตัวเองดีเลยว่าเขาลืมอะไร แถมบ่นออกมาด้วยแต่เขาก็ไม่ได้บ่นด้วยความรู้สึกที่แย่เท่าไหร่ อาจเรียกได้ว่าเขาบ่นออกมาเล่นๆเสียมากกว่า ทว่าในระหว่างที่บ่นสายตาของมาร์ก็มองหาสถานที่ที่เขาจะลงไปเป็นที่แรก โดยในสายตานั้นมันมีหลายจุดเลยทีเดียวที่มีแสงไฟส่องสว่างอยู่ อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้บ้าบอจะดิ่งลงไปตรงจุดที่มีไฟนั้น
“ ที่นั้นละกัน โล่งๆน่าจะลงไปง่ายหน่อย ส่วนเวลาก็…90 วิ ไม่สิ เดี๋ยวพุ่งไปก็คงแค่ 30 ไม่ก็ 40 ล่ะมั้ง ”
เมื่อเจอที่ถูกใจแล้วมาร์ก็ค่อยๆเปลี่ยนท่าของตนเองจากการกางแขนกางขาชะลอการดิ่งลงถึงพื้น เป็นการพุ่งลงไปยังที่นั้นอย่างรวดเร็วจนหน้าปัดบอกความสูงที่แขนซ้ายนั้นลดลงอย่างรวดเร็ว จาก 24000 มาเป็น 20000 ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีและยังคงลงลงเร็วขึ้นเรื่อยๆ
“ 100 95 90 85 ยังสูงไป ”
ความสูงนั้นลดลงจนถึงจุดที่มาร์ทะลุผ่านก้อนเมฆลงมาแล้ว อย่างไรก็ตามปกติด้วยความสูงระดับนี้มาร์จะกระตุกร่มเลยก็ได้แม้ว่าตามปกติจะกระตุกร่มที่ระยะห่างจากจุดลงราวๆ 5000 ถึง 8000 ก็ตาม ทว่ามาร์น่ะไม่มีร่มดังนั้นเขาจะต้องใช้ทางอื่น
[ ตามปกติถ้าไม่ใช่ภารกิจแนวนี้ล่ะก็… เอาหัวโหม่งเป้าหมายไปแล้ว ]
และด้วยสถานที่ไม่มีร่มนั้นสำหรับคนปกติคงจะกังวลหาทางรอดแล้ว แต่กับมาร์ เขาไม่ได้กังวลนัก เขารู้ตัวว่ายังก็รอดอยู่ดี ต่อให้เอาหัวดิ่งปักพื้นก็ตาม แต่ที่กังวลคือจะต้องทำยังไงไม่ให้โดนจับได้ ซึ่งถ้าลงมือเลือกทางเอาหัวปักดินแบบนั้นมันจะสร้างอิมแพคกับพื้นจนทำให้ศัตรูรู้ถึงการมาแล้วแผนทั้งหมดที่วางๆไว้ก็จะล้มเหลว
ฟู่…คึก
“ 45 40 35 30 25… 20 เครเอาล่ะ!! ฮึบบบบ! ”
ส่วนวิธีแก้ก็ไม่ยากเลย ร่างของมาร์นั้นจู่ๆก็เคลื่อนที่ช้าลง แล้วก็ค่อยๆมาอยู่ในระดับที่ราวกับว่าเขากำลังโดดร่มอยู่แม้จะไม่มีร่มก็ตาม ซึ่งที่เป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่อะไรที่เข้าใจยาก มาร์น่ะบินได้ผ่านการควบคุมมานารอบๆตัว อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ใช่ว่าจะเปิดการทำงานของมันแล้วลอยร่องไปในอากาศ เพราะถ้าทำแบบนั้นมันจะทำให้เขาถูกตรวจจับได้ง่ายไม่ต่างจากการเอาหัวโหม่งโลกเลย
ฟู่…ตุบ แกรก
แรงต้านก่อนที่ร่างจะค่อยแตะลงสู่พื้นอย่างช้าๆ ทว่าทันที่ลงมาถึง เจ้าตัวก็ไม่ได้ขยับไปไหนเขานั่งคุกเข่าลงแล้วยกปืนของตนเองเตรียมพร้อมไปกับการฟังเสียงรอบๆ เหมือนกับทุกๆครั้งที่เขาทำภารกิจอะไรแบบนี้ อยู่นิ่งๆเหมือนกับตนเองเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง
“ เคร… ”
เวลาผ่านไปเกือบๆ 15 นาที ทุกอย่างรอบๆนอกจากเสียงลมมาร์ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร เขาจึงเริ่มออกเดินอย่างช้าๆ และยกปืนเตรียมไว้หากเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามพอมาร์เข้าไปในพื้นที่ป่าสนแล้ว ต้นไม้ก็บดบังแสงสะท้อนจากดวงจันทร์ทำให้ทุกอย่างมืดไปหมด
[ ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนนี้คงต้องเปิดไฟฉาย ไม่ก็ใช้ NVG ตัวทดลองไปแล้วล่ะมั้ง ดีจริงๆที่โลกนี้มีอะไรสะดวกๆแบบไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีแบบนี้ ]
ทว่าดวงตาของมาร์ไม่ได้มืดบอดเลยแม้แต่น้อย เขาเห็นทุกอย่างราวกับเป็นกลางวันโดยไม่ต้องพึ่งอาศัยอุปกรณ์เสริมใดๆ มันเป็นเพราะเขามีสกิลติดตัวของเผ่าวอร์บีสต์สายที่เรียกกันว่าแมวนั้นแหล่ะ สกิลทำมาหากินสำหรับคนทำงานด้านทหารเลยทีเดียว
แซก แซก แซก
“ นั้นสินะ [ ปกปิดตัวตน ] ”
และไม่นานมาร์ก็ได้เจอกับค่ายแรก มันเป็นค่ายเล็กๆที่มีทหารของกองทัพจอมมารอาศัยอยู่ 10 กว่าคนและหอคอยสังเกตุการณ์ที่ทำจากไม้อยู่ตรงกลาง ซึ่งก็ทำให้มาร์รู้ได้ว่านี้มันเป็นแค่ด่านตรวจไม่ก็ที่พักยามสำหรับพวกลาดตระเวน อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยเขาก็เปิดการทำงานสกิลปกปิดตัวตนที่ทำให้ มานาของเขาหายไปจากจุดดังกล่าว รวมถึงตัวตนและเสียงหรือกลิ่นก็ด้วย ทว่ามันก็มีข้อเสียเพราะถ้ามองกลับกันการหายไป ก็ทำให้มานาในพื้นที่เกิดช่องว่างแล้วแบบนั้นพวกที่มีสัมผัสกับมานาก็อาจจะรู้ตำแหน่งของเขาได้ไม่ยากเลย
“ ดูท่าจะไม่มีใครรู้สึกตัวสินะ ก็แหงล่ะ คงไม่มีกองทัพไหนเอาพวกระดับสูงมาแนวหน้าเหมือนกับเราหรอกมั้ง อ่า…แต่ในอนาคตเราเองก็คงจะใช้สกิลนี้ไม่ได้แล้วสินะ เหอะๆ ”
ซึ่งด้วยสกิลที่ว่าตอนนี้มาร์ ก็มายืนอยู่กลางค่ายดังกล่าว โดยพวกทหารไม่เอะใจแม้แต่น้อย พวกนั้นมองผ่านเข้าไปราวกับไม่มีตัวตนใดๆ ทว่ามาร์ก็ไม่ได้จะทำอะไรบุ่มบ่าม เขายังรู้ดีว่าถ้าฆ่าใครไปในตอนนี้ แล้วมีคนเห็นศพสุดท้ายพวกนั้นก็จะรู้ตัวแล้วหาทางส่งสัญญาณเตือนแน่ๆ ดังนั้นมาร์จึงเริ่มลงมือทำอะไรที่ช้าแต่ปลอดภัย
ตึก ตึก ตึก ฉึก ครืดดดด
“ 1 คน ”
ฉึก ครืดดดด
“ 2 คน ฮึบบ… ”
มาร์เริ่มจัดการกับที่นี้ด้วยการเดินเข้าไปใช้มีดฆ่าทีละคน ทีละคน มีดเข็มแทงเข้าที่หลังต้นคอ แทงทะลุผ่านเส้นประสาทที่ซ่อนอยู่ในกระดูกสันหลังอย่างรวดเร็ว ส่งทหารชายและหญิงทั้งหมดไปโลกแห่งความตายโดยที่ไม่มีใครได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองน่ะตายไปแล้ว ซึ่งพอลงมือเสร็จมาร์ก็จะลากร่างของพวกนั้นไปซ่อนในเงามืดทีละราย ทีละรายทำไปเรื่อยๆจากรอบนอกสุดเข้ามาใจกลางสุด จากจุดที่ลับสายตาคน มาเป็นจุดที่เด่นชัดไม่มีอะไรมาบังทว่าก็ไม่เหลือสายตาใดมองผ่านอีกแล้ว
กึก กึก กึก
“ เอ้า! ขึ้นไปยืนข้างบนแล้วจะรอดงั้นเหรอ มานี่!! ”
หมับ
“ เห้ย!! อะ… อ๊ากกก!! ”
พลัค ฉึก
“ หมดสักที ”
จนเหยื่อคนสุดท้าย มาร์ก็ค่อยๆปีนขึ้นไปบนหอคอยนั้นผ่านบันไดลิงขึ้นลงด้านหลัง แล้วก็จัดการลงมือด้วยการกระชากขาให้ร่วงลงมาจากหอคอย ก่อนที่มาร์เองจะโดดลงมาแล้วซ้ำทหารคนนั้นด้วยการใช้มีดเข็มแทงเข้าที่หลังคออย่างรวดเร็ว พร้อมกับใช้มือซ้ายของเขาปิดปากกับตาของเหยื่อเอาไว้ไม่ให้ส่งเสียงหรือได้เห็นหน้าของเขาด้วยซ้ำ
ครึกกก ครืดดด ครืดดดด
“ 11 ศพ ชาย 6 หญิง 5 เอาไงดีหว่า อืม แกล่ะกันใส่ชุดดูกระจอกสุดคงยัดเหตุผลไม่ยากหรอกมั้ง ”
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ครึก กร็อบ
เมื่อจัดการทุกคนเสร็จแล้วมาร์ก็ได้เอาร่างของพวกนั้น มาวางจัดฉากให้เหมือนกับว่าพวกนี้ฆ่ากันเอง เขาเลยต้องลงมือใช้ดาบ ใช้อาวุธของพวกนั้นสร้างบาดแผลบนศพทุกร่างให้เหวอะที่สุด แถมยังต้องหักกระดูกของหลายๆร่างเพื่อให้สมจริงที่สุด จนสภาพที่ทุกศพในตอนแรกไม่ต่างอะไรจากคนที่หลับอยู่ กลายมาเป็นอะไรที่ชวนขนลุกสุดๆ
“ เห้อออ เรียบร้อย เรียบร้อย ทีนี้ก็… ”
ตุบ
[ ต้นเหตุของเรื่องยังไงก็ต้องใช้ของพวกนี้ล่ะนะ ]
มาร์หยิบรับเอาถุงสีดำบางอย่างจากเงาที่ด้านหลังของตน ก่อนจะเทของที่อยู่ในถุงนั้นทิ้งไว้รอบๆพื้นที่แล้วเขาก็เดินออกไป ของที่ทิ้งไว้นั้นมันคือผงเกล็ดสีขาวที่ตัวเขาเองเรียกมันว่า Bath Salt ชื่อที่เหมือนกับผงอาบน้ำแต่ให้ฤทธิ์หลอนประสาทขนาดที่ทำให้ผู้ใช้คุ้มคลั่งได้ ถามว่าแรงขนาดไหน ก็แรงเหมือนกับคนเสพยาบ้าผสมโคเคน
[ ของอันตรายแบบนี้ถ้าไม่ได้ความรู้จากโลกอื่นก็คงทำไม่ได้หรอก ขนาดตัวเองยังทำไม่ได้เลย… เห้อออ พอนึกถึงที่ไรก็อดตั้งคำถามไม่ได้เลยแหะ… เอเนอาไปปลุกความเป็นนักวิทย์อะไรของอัลฟ่าขึ้นมาวะเนี่ย ]
ซึ่งผงนี้มันไม่ได้มีอยู่บนโลก และไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้แน่ๆนี้จนกระทั่ง อัลฟ่าเมดผู้เป็นคนที่มาจากต่างโลกเหมือนกัน สร้างมันขึ้นมาเพื่อใช้ทดลองว่า ฤทธิ์สารเสพติดจากโลกเก่าจะมีผลอย่างไรกับสิ่งมีชีวิตที่มีค่าสเตตัสและไม่ยึดติดกับวิทยาศาสตร์ทั้งหมด
[ แต่ก็เถอะ ยังไง อัลฟ่าก็ไม่ได้ทำไปเพราะอยากทำเล่นๆเหมือนเอเนอา ]
ผลลัพธ์ที่อัลฟ่าค้นพบคือฤทธิ์ของยามีผลพันผวนกับค่า Con ยิ่งมีสเตตัสในส่วนนี้มากร่างกายก็ได้รับผลลัพธ์น้อยลงจนถึงขั้นไม่มีผลเสียเกิดขึ้นเลย อย่างเช่นถ้าใช้กับมังกรตัวทดลอง ตัวสารเสพติดจะไม่มีผลเสียใดๆเลยกลับกันมังกรจะร่าเริงแล้วทำตัวสบายๆแถมยังมีกำลังมากขึ้นด้วย แต่พอใช้กับมอนสเตอร์ระดับล่างแล้วผลลัพธ์ที่ได้คือมันอยู่นิ่งๆเพียงชั่วครู่ก่อนจะมองไปรอบๆด้วยความกลัว แล้วก็ลงมือฉีกกระชากร่างของตัวมันเองอย่างบ้าคลั่ง วิ่งชนกระจกห้องทดลองจนเลือดอาบไปทั่วและตายลงในที่สุด
“ โอ เกือบลืมๆ เดี๋ยวจะไม่รู้กันว่าเราลงตรงไหน ”
กริ๊ก ตุบ
มาร์ที่กำลังจะเดินออกจากค่ายก็ได้หยุดลงก่อนจะหยิบเอาตลับบางอย่างออกมาจากเงาสีดำ มันเป็นตลับสีเขียวขี้ม้าขนาดเล็ก ที่มีไฟกระพริบสีแดงอยู่ตรงกลางเครื่อง ซึ่งเจ้าสิ่งนี้มีหน้าที่เดียวเลยคือส่งสัญญาณให้รู้ว่ามาร์เคยผ่านไปทางไหน โดยหากมองผ่านๆด้วยตาของสิ่งมีชีวิตก็จะไม่เห็นอะไร แต่ถ้ามองด้วยกล้องจับ IR หรือดาวเทียม มันจะชัดมากๆด้วยการเปร่งแสงสีแดงจนแสบตา เขาทิ้งมันลงไว้ในพุ่มหญ้าใกล้ๆ แล้วก็เดินหายลับไปในความมืดมุ่งตรงไปยังค่ายหรืออะไรก็ตามที่เป็นของกองทัพจอมมารที่อยู่ใกล้ที่สุด
“ ที่ถัดไปหวังว่าจะมีคนเยอะกว่านี้นา… ว่าไปนั้น ”
…….
MANGA DISCUSSION