แอดดด แอดดดด แอดดดดด…
เสียงออดดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณยูโทเปีย จากเมืองหลวงไปจนถึงเมืองหอคอยลำดับที่ 8 เสียงนั้นทำให้ผู้คนต่างหยุดทำในสิ่งที่ตนแล้วมองดูที่มาของเสียงซึ่งเป็นกล่องเหล็กที่ติดตั้งอยู่ทั่วตามจุดต่างๆ และไม่นานเจ้ากล่องเหล็กนั้นก็ส่งเสียงออกมา เสียงของหญิงสาวที่แสนจะสุภาพ
“ แจ้งถึงผู้คนบนผืนแผ่นดินยูโทเปีย ดิชั้นมีนามว่าทิเรีย เมดลำดับที่ 3 และเป็นตัวแทนในการส่งข้อความนี้ไปทั่วทั้งทวีป เพื่อจะเรียนถึงทุกท่านให้ได้ทราบว่า พวกเราชาวยูโทเปียนั้นรักสงบและไม่หวังให้เกิดความวุ่นวายใดๆบนผืนแผ่นดินอันเป็นที่รักนี้ ดังนั้นหากเกิดความวุ่นวาย เกิดภัยอันตรายบนแผ่นดินของพวกเรา พวกเราจะไม่ยินยอม อ่อนน้อมหรือมองข้ามและให้อภัยโดยเด็ดขาด กับการกระทำใดๆที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย โดยเฉพาะความวุ่นวายที่เป็นการบุกเข้ามาในอาณาเขตของเราอย่างไร้ซึ่งอารยะและไม่เคารพในอำนาจอธิปไตยของยูโทเปีย… ”
เสียงประกาศนั้นแม้จะสุภาพ ไพเราะและน่าฟังเพียงใดแต่คนที่ฟังอยู่ก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล จนหลายคนที่เป็นคนนอกถึงกับเหงื่อตกเลยทีเดียว ทว่าเหล่าสายขาวที่เป็นประชาชนของยูโทเปียนั้นกลับลุกยืนขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้าเหมือนรออะไรบางอย่าง บางอย่างต่อจากนี้ที่หญิงสาวผู้อยู่หลังไมค์จะพูดออกมา
“ …ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงออกว่ายูโทเปียจะไม่อดทนต่อการกระทำอันป่าเถื่อน พวกเราจึงขอประกาศออกไปถึงโลกภายนอกว่า พวกเราจะทำการบุกตอบโต้กลับประเทศหรือรัฐ หรือกลุ่มคน หรือทวีปใดที่ฝ่าฝืนกฎอณาเขตที่พวกเราเคารพ โดยกลุ่มคนกลุ่มแรกที่เราจะทำการสงครมด้วยนั้นคือ กองทัพจอมมาร โดยเหตุผลที่พวกเราจะทำการเปิดศึกนั้นมีดังต่อไปนี้
1.จากการพิสูจน์ตรวจสอบพบว่า กองทัพจอมมารเป็นผู้บงการให้มอนสเตอร์ทางทะเลบุกเข้าน่านน้ำของเรา เห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาร้ายอย่างเห็นได้ชัด
2.เป็นกลุ่มคนที่ได้ส่งสปายเข้ามาในประเทศโดยมีเจตนาหวังเพื่อหาจุดอ่อนหรือจุดแข็งซึ่งไม่อาจเป็นการยอมรับได้เพราะกระทบต่อความมั่นคงภายในของพวกเรา
และ 3. บุกเข้ามาในเขตโดยไม่ได้รับการยินยอมใดๆ อีกทั้งยังลักพานักโทษหนีหายออกจากดินแดนของเราไปอีก ดังนั้นยูโทเปียจะทำการบุกไปเพื่อกำจัดภัยอันตรายและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ”
แอดดด
“ สงครามสินะ… ในที่สุดพวกเราจะได้กลับไปรับใช้ประเทศ… ”
“ หึ ถึงชั้นจะไม่ชอบสงครามก็เถอะ แต่อีกฝ่ายมาก่อกวนชีวิตอันแสนสงบสุขของชั้นแบบนี้…ก็ยอมไม่ได้ล่ะนะ ”
“ ดูท่างานนี้จะได้เลื่อนจากสิบเอก ขึ้นจ่าสิบตรีสักทีสินะ ”
สิ้นคำประกาศจากหญิงสาว เหล่าประชาชนของยูโทเปียก็หันมาพูดคุยกันราวกับว่าสงครามนั้นเป็นเรื่องปกติ ทำให้เหล่าคนนอกที่ได้เห็นก็ต่างพากันสับสน แต่อย่างไรก็ดีไม่มีใครกล้าเข้าไปทักหรือถามเลยสักราย ทว่าหลังจากจบการประกาศแล้ว หญิงสาวผู้นั่งอยู่ในห้องกระจายเสียง ทิเรียเธอก็หันกลับไปหาเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังยืนยิ้มพร้อมกับดื่มน้ำอัดลมอยู่
“ ทำได้ดีมากเลยทิเรีย เท่านี้คนนอกจะได้เตรียมตัวกันถูกว่าจะทำยังไงต่อ อ่า แล้วพวกทวีปอื่นๆที่ส่งสปายมาเองก็จะได้รู้จับตาดูการกระทำถัดไปของพวกเราด้วย ”
“ เจ้าค่ะนายท่าน แต่ว่าการรบครั้งนี้นายท่านจะกำหนดข้อห้ามอะไรไว้เพิ่มเติมหรือเปล่าเจ้าคะ? ”
ทิเรียถามนายท่านของเธอด้วยความสงสัย เพราะหลายครั้งที่มีสงครามหรือการบุกในการปฏิบัติการณ์ใดนายท่านของเธอจะต้องจำกัดการรบด้วยการออกข้อห้ามอะไรหลายอย่างๆออกมา อาทิ ห้ามยิงคนที่ยอมแพ้เป็นต้น อย่างไรก็ตามมาร์ที่ได้ยินก็หลับตาหลงก่อนจะวางกระป๋องน้ำอัดลมไว้บนโต๊ะ เขาอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองทิเรีย
“ นั้นสินะ คราวนี้เราไปในฐานะยูโทเปีย ไม่ใช่ผี ไม่ใช่บริษัท ดังนั้นไหนๆก็ประกาศสงคราม ก็เปิดใช้ทุกอย่างที่ไม่ขัดกับกฎหมายสงครามที่ผมเคยสอนไว้ก็แล้วกันเนอะ จะเครื่องบิน รถถัง ปืนใหญ่ เกราะสูท เต็มที่… ”
“ แบบนี้ หมายความว่าดิชั้นสามารถออกคำสั่งให้ยิง ICBM ตัวทดลอง หรือไม่ก็ส่งเครื่องบินไปปูพรมได้สินะเจ้าคะนายท่าน? ”
“ เดี๋ยว… ไม่ได้ ไม่ได้ นี้เป็นการรบครั้งแรกนา จะมาเปิดไพ่ตายอย่าง ICBM เลยไม่ได้ เห้ออ จะว่าไปขอเพิ่มอีกสัก 2 ข้อละกัน ข้อแรกเลยนะอนุญาตให้ใช้แค่กองเรือที่ 1 ห้ามเอากองเรือที่ 2 ถึง 4 ไปล่ะ และ ข้อสอง ผมอนุญาตให้เอาคนของเราไปได้ไม่เกิน 4 หมื่นนะ อ่า…ห้ามทหารเด็กด้วย เดี๋ยวจะดูไม่ดีเอา ”
“ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะนายท่าน จะให้เริ่มส่งกองกำลังวันไหนดีเจ้าคะ? ”
“ อีก 5 วันค่อยไปก็ได้ ไม่ต้องรีบหรอก ฝ่ายนั้นเองกว่าจะได้ข่าวก็คงอีกสักพัก ขืนไปเร็วก็หมดความเป็นสงครามสิ ”
มาร์นั้นเหมือนจะอนุญาตทั้งหมดแต่ก็ไม่ทั้งหมดซะทีเดียว ซึ่งทิเรียก็พอเข้าใจได้แล้วจดจำคำสั่งนั้นเอาไว้ โดยเหตุผลนั้นนอกจากเรื่องนี้เป็นการรบครั้งแรก ก็คือเขาไม่อยากกระจายความกลัวไปอย่างรวดเร็ว เขาอยากจะเก็บมันไว้เมื่อจำเป็นจริงๆ
“ อ๊ะ!! เดี๋ยวผมขอไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะ ส่วนทิเรียก็ไปตามคนอื่นๆมาเตรียมการได้เลย อืม ใช่ๆ อย่าลืมติดต่อปิล่ะ ยังไงนั้นก็เป็นกัปตันนำทัพเรือที่ 1 ล่ะนะ ”
“ น้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะนายท่าน ”
พอให้คำสั่งจบ มาร์ก็เดินออกจากห้องไป ซึ่งทุกคนที่อยู่ในห้องกระจายเสียงก็ต่างพากันลุกขึ้นแล้วหันมาก้มหัวทำความเคารพ ทว่าเมื่ออกมาแล้วเขาก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลย เจ้าตัวเดินออกมาแล้วยืนอยู่ที่หน้าห้องก่อนจะหยิบเอาอุปกรณ์ส่วนตัว…หน้ากากกระโหลดผีมาสวมใส่ แล้วก็ติดต่อออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
ติ๊ดด ติ๊ดดด แกร็ก
“ พี่ค๊าาา! ”
“ ว่าไง ยูเรย์ พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้โทรไปตั้งหลายวัน ”
ปลายสายที่มาร์โทรไปถึงก็คือยูเรย์ น้องสาวบุญธรรมและ 1 ในเมดของเขา ที่กำลังศึกษาอยู่ในโอดุนยา อันเป็นทวีปเวทย์มนต์ ตอนนี้ยูเรย์ก็กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในลานดอกไม้ของมหาลัย ซึ่งเธอนั้นพอได้ยินเสียงของพี่ชายของตนก็เปลี่ยนท่าทีจนคนที่อยู่รอบๆเธอถึงกับตกใจ เพราะราชินีน้ำแข็งผู้นี้นั้นกำลังยิ้มและแสดงสีหน้าเขินอายอยู่
“ หนูก็สบายดีค่ะพี่ ตอนนี้ลงเรียนเพิ่มแล้ว แถมอีกไม่นานการแข่งเวทย์มนต์รอบ 8 ทีมสุดท้ายก็จะเริ่มแล้วด้วย เชียร์หนูหน่อยจี่!! ”
“ ค้าบๆ พยายามเข้าล่ะ อ๋อ แล้วก็ถ้าฟังแล้วอย่าตกใจล่ะ คือพี่พึ่งประกาศสงครามกับกองทัพจอมมารไปเองน่ะนะ ฮ่าๆๆๆ ”
“ ว่ายังไงนะค๊าาา!! ”
ยูเรย์ตกใจจนถึงกับตะโกนออกมา ทำเอาคนรอบหันมามองอีกรอบ อย่างไรก็ตามมาร์ที่อยู่ปลายสายก็ไม่ได้จะตกใจกับการที่น้องสาวของเขาตะโกนออกมาเช่นนั้น ซึ่งแน่นอนล่ะว่าพอพี่ชายของตนจะไปรบ น้องสาวผู้รักพี่ยิ่งกว่าสิ่งใดก็พูดต่อไม่รออะไรทั้งนั้น
“ ถ้าพี่จะไป หนูก็ไม่คัดค้านหรอก แต่ว่าพี่พาหนูไปด้… ”
“ ไม่ได้ น้องยังเรียนอยู่นะ จะลาหยุดเพื่อออกไปเสี่ยงตายไม่ได้ เข้าใจไหม! ดังนั้นได้โปรดเถอะนะ ถือว่าทำเพื่อพี่ ช่วยตั้งใจเรียนแล้วใช้ชีวิตวัยเรียนให้คุ้มที่สุดเถอะ ”
“ ค…ค่ะ พี่ ”
มาร์ปฏิเสธทันทีก่อนที่ยูเรย์จะได้พูดจบ เพราะเขาไม่อยากให้น้องสาวของตนเองต้องมาเจ็บตัว อีกอย่างยูเรย์ก็ยังเรียนอยู่ด้วย เขาไม่อยากให้ชีวิตช่วงวัยเรียนของเธอต้องมาสะดุดลง เขาอยากให้ยูเรย์มีความสุขแบบที่เด็กอายุเท่าเธอมีกัน ดังนั้นมาร์จึงขอร้องให้ยูเรย์ตั้งใจเรียนเพื่อเขา ซึ่งยูเรย์พอได้ยิน คำว่า “เพื่อเขา” เธอก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้แบบอัตโนมัติและรับมันไว้ด้วยความเต็มใจ
“ แต่ว่า พี่ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้เราไม่มีส่วนร่วมเลย ดังนั้นอย่างน้อยที่พี่พอจะอนุญาตได้ก็คือ พี่จะให้น้องทดลองของใหม่อยู่ที่โอดุนยานะ ส่วนของที่ว่าไว้เดี๋ยวให้เดคกะเอามาส่งให้ ”
“ ของทดลองงั้นเหรอคะ?!? แบบนั้นมันจะใช้ได้จริงๆใช่หรือเปล่าคะ? ”
“ น่า เชื่อมั่นในพี่น้องของตัวเองหน่อยสิ อ๊ะ? แย่ล่ะสิ จะสายแล้วแหะ!! เดี๋ยวพี่ไปเตรียมตัวก่อนละ ยังไงก็อย่าลืมตั้งใจเรียนนะยูเรย์ โชคดี ”
“ ด ด เดี๋ยวสิค… อ้าว ตัดสายไปซะแล้ว งืออ… ทั้งๆที่เราอยากจะคุยมากกว่านี้แท้ๆ ”
อย่างไรก็ตามมาร์นั้นตัดสายไปก่อนที่ยูเรย์จะได้ชวนคุยต่อ มันทำให้เธอกลับไปเป็นราชินีนำแข็งอีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อด้วยสีหน้าที่ไม่รู้สึกอะไร แม้ในใจจะแอบเซ็งๆอยู่ ซึ่งถึงจะไม่มองด้วยสายตาแต่ว่าออร่าที่ปล่อยออกมานั้นก็ทำให้คนรอบๆถึงกับหนาวทั้งๆที่ตอนนี้อากาศกำลังอบอุ่นอย่างพอดีแท้ๆ
“ ยูเรย์คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง ส่วนเรานี้สิไม่ไปเตรียมของแล้วออกไปทำภาร… ออกทัวร์ภายใน 15 นาทีมีหวังผิดแผนหมดแน่ๆ!! ”
มาร์รู้ตัวเองแล้วว่าถ้ายังมัวชักช้าอยู่แบบนี้ มันจะส่งผลกระทบกับแผนอะไรบางอย่างของเขา นั้นทำให้มาร์รีบวิ่งตรงกลับไปที่ห้องของตัวเองที่เป็นห้องอีกห้องใต้ฐานทัพ มันมีหน้าที่เดียวเลยเก็บของของเขาเอาไว้ แล้วพอมาถึงมาร์ก็เริ่มเตรียมของที่ต้องใช้ทันที ไม่ว่าจะปืน จะกระสุน เขากวาดมันเข้าไปในเงาสีดำจนในห้องแทบไม่เหลืออะไร
“ เอาไปเกินดีกว่าขาดล่ะนะ!! ”
… … …
วู่มๆๆๆๆ ฟู่
“ นายท่านคะ ตอนนี้เครื่องบินที่ระดับความสูง 27000 ฟีต เรียบร้อยแล้วค่ะ ”
“ โอ้ งั้นผมขอตัวไปเริ่มประชุมก่อนนะจุส ถ้าถึงที่หมายแล้วก็เปิดสัญญาณได้เลยนะ ”
“ รับทราบค่ะ! ”
และปัจจุบันเวลาก็ผ่านไปแล้วกว่า 6 ชั่วโมง มาร์ในตอนนี้เขาได้มาอยู่บนเครื่องบิน TwinWings ส่วนตัวที่มีนักบินเป็นจุส มิคมิคก้า ที่ทำงานเป็น 1 ใน หน่วยข่าวกรองภายใต้การควบคุมของเอปต้า เธอแม้จะไม่มีทักษะในการลอบเร้นมากนัก แต่ด้วยการแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้ก็พอจะชดเชยจุดบอดที่ว่า อย่างไรเสียปัจจุบันจุสเหมือนจะค้นพบว่า ตัวเองมีทักษะในการขับเครื่องบินสูงมาก ทว่าเธอก็ยังไม่ได้ย้ายมาอยู่กับฝ่ายนักบิน เพราะเอปต้าไม่อนุญาต
“ โอ้ ขอโทษที่มาช้านะทุกคน ”
“ ไม่หรอกเจ้าค่ะนายท่าน พวกเราเองก็พึ่งจะมาถึงได้ไม่นานเช่นกันเจ้าค่ะ ”
มาร์เดินจากห้องคนขับมายังห้องโดยสารแล้วก็นั่งลงตรงเก้าอี้ใกล้ๆกับประตูเครื่อง เขาเปิดสวิตช์บางอย่างที่เหนือหัวของตนเอง แล้วทันใดนั้นก็มีภาพฉายโฮโลแกรม ปรากฎขึ้นภาพของหญิงสาวจำนวน 14 คน นั้นคือเมดลำดับที่ 1 ถึง C โดยที่คนเดียวที่ไม่ได้อยู่ด้วยก็คือ ยูเรย์ ที่นั่งของเธอนั้นว่างเปล่า พร้อมกับมีป้ายติดไว้ตรงโต๊ะว่า “ตั้งใจเรียน” ซึ่งพอเขาเข้ามาแล้วก็ได้ทักทายตามปกติ และคนที่ตอบกลับก็คือทิเรียที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหมายเลข 3
“ งั้นเหรอ? ถ้าแบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ อ่า แต่ยังไงดูท่าอีกไม่นานก็จะถึงที่หมายแล้ว ผมขออนุญาตเริ่มเลยนะ หัวข้อคือ Operation Pierce เป้าหมายก็คือกำจัดตัวอันตรายออกไปก่อนที่กองทัพของพวกเราจะยกพลขึ้นฝั่ง โดยทั้งนี้ ผู้ปฏิบัติการณ์จะมีผมเพียงคนเดียว โดยแผนจะมีดังนี้… ”
ว่าแล้วมาร์ก็ใช้มือสัมผัสไปที่โฮโลแกรมตรงหน้าแล้วเลื่อนไปทางด้านซ้าย ทำให้เห็นแผนที่ที่ได้จากภาพถ่ายดาวเทียม มันเป็นหุบเขาเล็กๆ และมีผื้นที่โดยรอบเป็นป่าสน รวมทั้งในแผนที่ดังกล่าวก็ได้มีการตีกรอบสีแดงเอาไว้เพื่อให้เห็นอาณาเขตของพื้นที่ปฏิบัติการณ์ได้อย่างชัดเจน
“ เริ่มที่ขั้นที่ 1.ผมจะโดดร่มลงไปที่รอบนอกของเขตกองทัพจอมมาร ซึ่งตีเป็นระยะจากตัวปราสาทหลักประมาณ 250 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าเข้าไปอย่างน้อย 2 ถึง 4 วัน โดยผมจะไม่วิ่งพุ่งเข้าไปเด็ดขาดเพื่อลดโอกาสในการถูกตรวจจับ แต่จะใช้สกิลปกปิดตัวตนในการเคลื่อนตัวเข้าไปแทน อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะพรางตัวของผมจากศัตรูทั่วไปไม่ให้ตรวจจับได้ แต่ก็ใช่ว่าผมจะวิ่งฝ่าเข้าไปเลยเพราะ ถ้าพลาดเจอพวกที่สามารถรับรู้ความผิดปกติของมานาได้ก็อันตรายและมีโอกาสจะไปทำให้เป้าหมายในปราสาทแตกตื่นได้… ”
ภาพเลื่อนถัดไป เปลี่ยนจากภาพถ่ายจากด้าวเทียมมาเป็นภาพ สแกน 3 มิติ ที่ทำให้เห็นว่าหลายๆพื้นที่มีการตั้งด่านตรวจกับค่ายเอาไว้มากมายนับร้อยจุด แถมแต่ละจุดก็มีทหารอยู่ไม่น้อยกว่าพันคน มาร์เลื่อนอีกครั้งทำให้บนแผนที่นั้นมีการวางเส้นตัดจากจุดลงไปถึงปราสาทที่อยู่ใจกลางของพื้นที่
“ โดย ขั้นที่ 2 ระหว่างทางผมจะทำการลอบทำลายฐานศัตรูหรืออะไรก็ตามแต่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายและความสับสนเป็นช่วงๆ ซึ่งน่าจะไม่มีปัญหาอะไรมากตรงจุดนี้ แต่ปัญหาก็คือ ในส่วนขั้นที่ 3 คือ พอไปถึงยังปราสาทผมจะตามหาเป้าหมายแล้วฆ่าทิ้ง ไม่ก็จะหาทางผนึกไว้ให้ได้จนกว่าพวกเราจะบุกมาถึงแล้วทำลายกองทัพจอมมารลงได้สำเร็จ เอาล่ะมีใครเสนออะไรไหม? ”
แผนนั้นง่ายมากๆ หากฟังผ่านๆจากปากของมาร์ แต่ความจริงเมื่อต้องลงมือแล้วมันกลับยากเกินกว่าที่ใครในกลุ่มเมดจะทำได้เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เหล่าเมดก็เริ่มเสนอวิธีการอื่นที่ดีกว่าการส่งนายท่านของพวกเธอลงไปเสี่ยงตาย โดยเริ่มจากทิเรียที่เป็นสมองของกลุ่มอีกเช่นเคย
“ นายท่านเจ้าคะ ดิชั้นสงสัยว่าทำไมไม่ส่งเพนเทไปฆ่าเป้าหมายแต่แรกเลยล่ะ เธอสามารถเคลื่อนตัวผ่านการตรวจจับไปจัดการได้ผ่านเส้นทางวิญญาณ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ? ”
“ ทิเรียน่าจะได้เห็นแล้วผ่านดาวเทียมกับโดรนแมลงรุ่นแรกๆที่ปล่อยเอาไว้แล้วนะ พวกนั้นมีการป้องกันเป็นอย่างดีด้วยการวางเวทย์มนต์ปิดกั้นไว้ทั่วปราสาท แม้แต่เส้นทางคนตายที่ใช้ก็ผ่านเข้าไปได้ไม่ถึงด้านในตัวปราสาท
ดังนั้นมากสุดที่ทิเรียจะไปถึงคือนอกปราสาท แต่ก็ตามข้อมูลที่เรามี กองทัพจอมมารนั้นมีดาร์กเอนทิตี้อยู่อีกจำนวนหนึ่งตระเวนอยู่รอบๆตัวปราสาท ถ้าเพนเทเข้าไปแล้วกลับไปอาศัยความมืดในการเดินทางก็จะเป็นงานยากของเธอและเสี่ยงที่จะถูกจับได้มากกว่าการที่ผมเข้าไปแล้วหลบซ่อนด้วยทักษะของตนเองนะ ”
“ เช่นนั้นเองสินะเจ้าคะ ดิชั้นขออภัยที่เสนอแผนที่ไม่เข้าท่าเช่นนั้น ”
“ ไม่หรอกผมก็เข้าใจแหล่ะ ว่าทุกคนเป็นห่วงผมน่ะ ”
ทิเรียก้มหัวลงขออภัยกับสิ่งที่เธอพูด ซึ่งมาร์ก็ไม่ได้ว่าอะไรเขายิ้มให้กับเธอ ก่อนจะหันไปมองยังสองพี่น้องเอลด้าที่กำลังยกมือขึ้นขอพูด เอ็กซิกับเดคกะสีหน้าของพวกเธอดูมั่นใจมากว่าสิ่งที่พวกเธอเสนอจะได้รับการยอมรับแน่ๆ แต่มาร์น่ะไม่คิดเช่นนั้นสายตานั้น คือสายตาของนักวิทยศาสตร์กับนักประดิษฐ์ที่ต่างคนก็ลืมไปแล้วซึ่งสามัญสำนึกกับความเมตตาใดๆ
“ เชิญเลย เอ็กซิ เดคกะ ”
“ ค่าาา!! งั้น หนูขอเสนอให้พวกเรา ทิ้งระเบิดปรมาณูขนาด 10 ตันลงไปที่เป้าหมายด้วยเครื่องบิน ซึ่งต่อให้เก่งแค่ไหนก็ต้านทานความร้อนของมันไม่ได้หรอกค่ะ ขนาดเหล็กผสมพิเศษยังหายวับไปเลยค่ะ ฮ่าๆๆ ”
“ นั้นสินะคะพี่เอ็กซิ!! ตัวใหม่สุดส่งกำลังระเบิดออกมาได้เท่าๆกับ ตัว 100 ตันเลยนะคะ รับประกันเลยค่ะว่าทุกอย่างหายวับไม่มีอะไรเหลือให้เป็นปัญหาตกค้างแน่ๆค่ะ ”
ทั้งสองพูดออกมาด้วยท่าทีที่ร่าเริง ผิดกับเนื้อหาที่แสนจะเลวร้ายสุดๆ มาร์ที่เห็นก็ทำหน้านิ่งแล้วยิ้มก่อนจะ หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาวาง หนังสือปกดำที่มีข้อความว่า Rule of War แล้วมาร์ก็พูดต่ออย่างช้าๆว่า
“ แผนของเอ็กซิ กับเดคกะ ผมขอปฏิเสธเลยล่ะนะ เพราะนั้นมันไม่ใช่การทำสงคราม มันคือการสังหารหมู่ แถมถ้าทำมันจะส่งผลให้ทวีป ประเทศอื่นๆ เผ่งเล็งและหาทางกำจัดยูโทเปียแน่ๆ เพราะพลังขนาดนั้นปล่อยไปมีแต่จะเป็นอันตรายต่อความมั่นคง หนักสุดพวกเรานี้แหล่ะจะกลายมาเป็นเป้าหมายแทนกองทัพจอมมาร อ่า…เอเนอากับ อัลฟ่าสินะ อื้ม ต่อได้เลย ”
แล้วคู่ถัดมานั้นก็คือหมอประจำกลุ่มเมด เอเนอา อัลฟ่า ทั้งคู่ยืนขึ้นก่อนจะหยิบเอาขวดแก้วที่แก็สสีเหลืองไหลเวียนวนไปวนมา ซึ่งการยกขึ้นมาแบบนั้นก็ทำให้เหล่าเมดที่นั่งข้างๆ ถึงกับถอยหนีเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเอเนอาไม่ได้สนใจนัก เธอเริ่มอธิบายถึงสิ่งที่อยู่ในหลอดนั้น
“ นายท่านฮะ ผมกับอัลฟ่าคิดว่าเราควรจะใช้สาร Nerve Gas ใส่ ICBM ยิงไปตกใกล้กับปราสาทแล้วปล่อยให้ตัวสารแตกกระจายเป็นวงกว้าง เพื่อทำให้ทุกอย่างที่มีชีวิตในรัศมีประมาณ 20 กิโลเมตร ตายอย่างช้าๆจากการที่ระบบประสาทล้มเหลวสมบูรณ์ทำให้อวัยวะภายในหยุดทำงานฮะ ”
“ อืม ปัดตกครับ!!! ไม่ผ่าน!! ไม่ผ่าน!!! อาวุธชีวภาพมันผิดกฎสงครามนะเออ!! อคโตหมดนี่พาเอ็กซิ เอเนอา เดคกะ อัลฟ่า ไปอบรมเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศหมวดสงครามระหว่างประเทศ เอาแบบลึกๆเลยนะ ถ้าสอบไม่ผ่านก็อบรมใหม่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้ละกัน ”
“ เอ๋!! ”
“ อบรม…. อบรม?!? ”
“ แหมๆ ดูท่ากาแฟผมจะไม่พอสินะฮะเนี่ย ฮะๆ แย่ล่ะสิ ”
“ อึก…ทั้งๆที่เตือนแล้วนะคะพี่เอเนอา ”
มาร์ ปัดตกแบบไม่แสดงสีหน้าใดๆ ก่อนจะพูดสั่งอคโต ซึ่งเธอก็ลุกขึ้นโค้งคำนับก่อนจะมองไปยังเหล่านักเรียนในอนาคตด้วยสายตาเย็นชา ก็แหงล่ะ เรื่องกฎสงครามเนี่ยไม่มีใครแน่นไปมากกว่าอคโตหรอก ดังนั้นทั้ง 4 คนพอรู้ตัวว่าจะโดนอคโตคุมอบรม ก็เหงื่อไหลเหงื่อท่วมหน้าซีดกันเลยทีเดียว
“ ขออนุญาคเจ้าค่ะนายท่าน! ”
ชาลีที่นั่งอยู่เฉยๆมาสักพัก ก็ได้ยกมือขึ้นขออนุญาต ซึ่งมาร์พอเห็นก็ได้เก็บหนังสือกฎหมายสงครามลง ก่อนจะหันมามองเธอด้วยสายตาที่สงสัย เพราะชาลีเธอไม่ค่อยจะแสดงความเห็นอะไรนัก ออกจะไปในทางหญิงสาวเงียบๆที่รอรับคำสั่งเสียมากกว่า
“ ชาลี? อ่า เชิญเลย เชิญเลย ”
“ เจ้าค่ะนายท่าน ก่อนอื่นแผนการลอบเข้าไปด้านในของนายท่านนั้นนั้น ดิชั้นไม่คิดจะค้านหรือหาทางอื่นมาแทนเพราะ ดิชั้นเชื่อว่าตนเองไม่มีความรู้พอจะไปเทียบกับท่านผู้อยู่บนจุดสูงสุดได้ ดังนั้นดิชั้นจึงขอเสนอแผนสำหรับการสนับสนุนแทน ด้วยการส่งทีมพิเศษที่นำโดย ท่านพี่เทเสล่ากับท่านพี่เพนเทและหน่วยข่าวกรองลงพื้นที่ไล่ตามไปเจ้าค่ะ
โดยหน่วยนี้นั้นจะเป็นหน่วยคอยเก็บกวาดศัตรูที่ได้รับความเสียหายจากการลอบทำลายฐานศัตรูโดยนายท่าน ทั้งนี้หน่วยดังกล่าวจะคอยก่อความวุ่นวายจากจุดอื่นด้วยเจ้าค่ะ เพื่อดึงดูดความสนใจแล้วทำให้กองทัพจอมมารเชื่อว่าทั้งหมดเป็นการบุกไล่แบบสุ่มจากหลายๆจุด นอกจากนี้หน่วยดังกล่าวยังสามารถลอบเข้าไปตั้ง FOB ในพื้นที่ศัตรูได้ด้วย ทำให้ตอนการบุกใหญ่เริ่มขึ้น หน่วยนี้จะคอยตัดกำลังศัตรูให้จากแนวหลังของศัตรูเองเจ้าค่ะ ”
เธอพูดลากยาวอย่างมั่นใจ ชัดถ้อยชัดคำสมกับเป็นอดีตอัศวินของเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ เธอมีแผนความคิดด้านสงครามสูงมาก แต่ว่านี้เป็นครั้งแรกที่เธอเสนออะไรได้น่าสนใจถึงขั้นที่อคโตหลุดยิ้มออกมา หรือแม้แต่มาร์เองก็ด้วย เขาหันไปมองยังเอนนาและทิเรียที่เป็นคนวางแผนการรบเป็นหลัก
“ คิดว่ายังไงล่ะ เอนนา? ทิเรีย? แผนนี้น่ะ ”
“ ถามชั้นสินะคะนายท่าน? อืม ก็ถือว่าเป็นแผนที่ดีเลยนะคะ ทั้งก่อความวุ่นวาย ทั้งสร้างความกลัวได้อีก ”
“ นั้นสินะเจ้าคะ อย่างที่ท่านพี่หญิงเอนนาว่าเจ้าค่ะนายท่าน เป็นแผนที่ดี แต่ดิชั้นเห็นว่าพวกเราควรถาม เทเสล่ากับเพนเทก่อนดีกว่านะเจ้าคะ ”
ใช่… มาร์ที่ฟังก็ค่อนข้างจะชอบแผนนี้มาก ถึงขนาดถามความเห็นกับเอนนาและทิเรีย ซึ่งทั้งคู่ก็มองว่านี้เป็นไปในแนวทางเดียวกันว่ามันมีประสิทธิภาพมาก ทว่าจะออกคำสั่งเลยไม่ได้ เพราะต้องถามคนที่อยู่ในแผนอย่างเทเสล่าและเพนเทด้วย ซึ่งทิเรียก็เป็นคนหันไปมองยังทั้งสองที่ คนนึงนั่งเล่นรถของเล่นบนโต๊ะ ส่วนอีกคนก็กำลังแต่งหน้าอยู่
“ น้องเทเสล่า น้องเพนเท ทั้งสองคนไหวหรือเปล่าที่จะรับงานนี้น่ะเจ้าค่ะ? ”
“ เอ๋ เทเสล่าเหรอ? เรา ก็อยากไปนะ แบบว่าเค้าเบื่อทำงานคุมโลจิสติคแล้วอ่า ได้ไปทำงานแนวหน้าแล้วได้แกว่งเลื่อยก็น่าตื่นเต้นดีด้วย ”
“ อืมม ส่วนตัวเค้าไม่มีปัญหาน้าพี่ทิเรีย จริงๆว่าไปแล้ว ก็ยินดีเลยล่ะ แบบถ้าตามที่ชาลีว่ามา แสดงว่าเค้าจะได้ไปรังแกศัตรูใช่ม้า? ยิ่งถ้าได้เห็นหน้าตอนที่พวกนั้นผิดหวังเพราะคิดว่ารอดแล้วด้วยนี่ อื้อ อื้อ ไป ไป!! ”
เทเสล่ากับ เพนเท ทั้งคู่ไม่ได้คัดค้านอะไรกับ กลับกันดูจะตื่นเต้นเสียมากกว่าโดยเฉพาะ เพนเท เธอยิ่งพูดยิ่งแสดงสีหน้าอันแสนจะน่ากลัวออกมา ดวงตาของความต้องการที่จะฆ่าเหยื่อ รอยยิ้มและมือที่เหมือนกับกำลังจำลองว่าตนอยู่ในสถานการณ์นั้นอีก
แอดด!!
“ นายท่านคะ ตอนนี้ใกล้ถึงจุดหมายแล้วค่ะ!! ”
“ อ่า ขอบใจมากนะจุส งั้นผมขอตัวก่อนล่ะ ”
อย่างไรก็ตามการประชุมก็ต้องหยุดลงอย่างที่ไม่ทันได้กล่าวปิดอะไร เพราะสัญญาณไฟแจ้งเตือนสว่างขึ้น พร้อมกับเสียงของสัญญาณเตือน สิ่งเหล่านั้นดังมาจากฝั่งของมาร์ พร้อมกับเสียงตะโกนของจุส ซึ่งมาร์พอรับทราบก็ลุกขึ้นแล้วพูดบอกกับทุกคนในโฮโลแกรมว่า
“ แผนการของชาลีใช้ได้เลย ยังไงก็ดำเนินการได้เลยนะ ”
พอมาร์พูดจบ เขาก็เดินยังประตูทางออกข้างเครื่องโดยไม่ได้ปิดโฮโลแกรมแต่อย่างใด ทำให้เห็นได้ว่าเหล่าเมดกำลังยืนทำความเคารพแล้วมองดูเขามาจากด้านหลัง มาร์นั้นหยิบสวมหน้ากากประจำตัวแล้วก็มองลงไปยังอุปกรณ์วัดระดับที่ติดที่แขน ตัวเลขของมันคือ 25000 Feet ( 7620 เมตร ) ก่อนที่จะรอ รอ รอ จนไฟเขียวขึ้น
“ ไปแล้วนะ!! ”
ฟุบ
มาร์กระโดดลงไป อย่างไม่สนอะไรอีก เขาทิ้งตัวผ่านอากาศลงไปอย่างเป็นอิสระ ทว่าทุกคนที่มองดูอยู่นั้นก็ต่างหันมามองกันก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติไป แล้วคนที่พูดถึงความปกตินั้นก็คือเอปต้าที่หันไปมองยังด้านหลัง ยังจุดที่วางของที่เขาวางเอาไว้
“ เดี๋ยวววน้าาา?!? นายท่านลืมร่มชูชีพ?!? อีกแล้ว!! ”
………………
MANGA DISCUSSION