แก็ง แก็ง แก็ง
“ ทุกท่าน ต่อจากนี้ท่านวาสิล่าจะตรัสสิ่งที่พระองค์ปรารถนาแล้ว ได้โปรดอยู่ในความสงบและสำรวมกริยาของพวกท่านด้วย ”
ภายในวังของโซลิทาน บัดนี้กำลังมีจะมีการน้อมฟังคำตรัสของราชินีผู้สูงส่งของพวกเขา และคนที่พูดเตือนให้ทุกคนเตรียมก็คือคาร์ดินัลเฟนทินี่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆราชินีของเธอที่ยังคงลอยตัวอยู่เหนือสูงกว่าใคร
“ พวกเจ้าทั้งหลายคงรู้แล้วว่าตอนนี้ 1 ในความหวังแห่งโซลิทานได้ถูกพวกกองทัพจอมมารลักพาตัวไป ตัวเราจึงได้ประกาศให้ทั่วทั้งโลกรู้แล้วว่าโซลิทานจะทำสงครามกับกองทัพของจอมมารอย่างเต็มกำลังจวบจนนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะสูญสิ้นไป… ”
อย่างไรเสียระหว่างที่กำลังตรัสให้เหล่าสาวกฟัง กลุ่มของความหวังที่เหลือเพียง 3 คนก็ได้แต่ยืนเศร้าที่แม้ว่าพวกเขาจะจับทหารของจอมมารมาได้ แต่…
“ สรุปแล้วเจ้าพวกนั้นก็แค่ลิ้วล้อสินะ โธ่เว้ย… อาโอะ… ”
“ พอเถอะนะ จะฮินพวกเราบ่นไปก็เท่านั้น ตอนนี้มาช่วยกันคิดเถอะว่าจะไปช่วยอาโอะยังไงน่ะ ”
“ ใช่แล้วล่ะ จะฮินอย่างที่นานาบอก ในเมื่อพวกเราเอาข้อมูลจากจอมมารมาไม่ได้ เราก็ควรคิดหาทางอื่นต่อแทน ”
…
“ … ”
แต่แล้วระหว่างที่ทุกคนกำลังทำในสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ เลวิทานก็เงียบลงก่อนจะหันหน้ามองไปยังทางเข้า ไม่สิมองไปไกลกว่านั้น เธอจ้องอยู่ครู่ใหญ่ๆก่อนจะหันไปหาเฟนทินี่ที่ยังคุกเข่ารอเธอกล่าวอะไรต่อ
“ คาร์ดินัลของเรา นับจากนี้อีกไม่นานจะมีกลุ่มคน 3 คนจากแดนใต้ เดินทางมาเพื่อพบตัวเรา พวกเขามาพร้อมกับจุดประสงค์ที่แม้แต่ตัวเราเองก็มิอาจทราบถึงได้… ”
นั้นทำให้เฟนทินี่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองเลวิทานด้วยความศรัธราก่อนจะกุมมือขึ้นเหนือหน้าอกของตนและหลับตาลงพร้อมกับถามออกมาอย่างช้าๆว่า
“ เช่นนั้นแล้วพระองค์ประสงค์จะให้ลูกทำอย่างไรดี จะให้ลูกขับไล่พวกมันหรือต่อต้านสุดกำลัง ก็ขอให้ท่านได้โปรดชี้นำและบอกกล่าวกับพวกเราสาวกด้วยเถิด ”
เลวิทานที่ได้ฟังเธอก็ออกมารอยยิ้มจากราชินีเพียงหนึ่งเดียว…ยิ้มแรกในรอบหลายร้อยปี ทำให้ผู้คนที่ได้เห็น สาวกที่ได้ชมถึงกับคุกเข่าหลั่งน้ำตาแห่งความปิติออกมา
“ อย่าก่อสงครามกับพวกเขาเลยคาร์ดินัลของเรา บัดนี้ตัวเราต้องการเพียงการได้พูดคุยกับพวกเขาเหล่านั้น ”
เธอพูดเช่นนั้นด้วยเสียงที่อ่อนโยนก่อนจะเงียบไปทิ้งให้เหล่าผู้คนได้แต่หลั่งน้ำตาจากความอ่อนโยนนั้น ส่วนสายตาของเธอก็ยังคงจับจ้องไปที่นั้น หัวใจของเธอที่เคยเงียบสงบก็แปลเปลี่ยนไป มันกลับมาเต้นอีกครั้ง และในหัวของเธอก็เช่นกัน
แก็ง แก็ง แก็ง
“ เหล่าผู้คนตามคำทำนายของท่านเลวิทานได้มาถึงแล้ว… ”
และไม่นานทุกอย่างก็เป็นไปดั่งที่เธอกล่าวไว้ ณ ห้องโถงของวังนี้ มีชายวัยกลางคนร่างกำยำแต่ผิวซีดขาว ผู้มีสั้นและไว้เปียยาวสีเงิน ดวงตาของเขานั้นแดงสว่างราวกับเปลวเพลิง พร้อมกับใส่เครื่องแบบสีเขียวที่แปลกตาทว่าก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเครื่องแบบทางการเพราะมันถูกทักทอเป็นอย่างดี เดินเข้ามาเป็นคนแรก
นอกจากนี้ด้านหลังของเขาก็ยังมีคนอื่นตามมาติดๆกันอีกด้วย นั้นคือหญิงสาวฝาแฝดผิวเข้ม 2 คน พวกเธอมีใบหน้าที่ดูน่ารักและวัยเยาว์เป็นอย่างมาก อีกทั้งผมสีแดงของพวกเธอก็ช่างตัดกับสีผิวยิ่งนัก
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทั้งสองแตกต่างกันก็คงเป็นทรงผมที่คนหนึ่งเก็บเรียบร้อย และอีกคนก็รวบเป็นหางม้าสวยงาม อย่างไรเสียนอกจากทรงผมก็คือเสื้อผ้า
ใช่คนที่เก็บผมนั้นสวมเสื้อดำกางเกงดำเข้มๆเข้ากับใบหน้าที่จริงจังของเธอ แต่อีกคนนั้นกลับสวมกระโปรงน่ารักและเสื้อสีขาวที่ทำให้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มด้วยความเขินอายน่าเอ็นดูขึ้นไปหลายเท่า ทั้งสามเดินมาจนหยุดอยู่ห่างจากเลวิทานไปราวๆ 10 เมตร และก็ยืนอยู่อย่างนั้นพร้อมกับจ้องมองไปยังเลวิทาน
“ พวกแก!! คุกเข่าลงซ… ”
“ หยุดก่อนคาร์ดินัลของเรา ”
“ ข ข ข ขออภัยค่ะพระองค์ ”
ซึ่งพอทั้งสามมาอยู่ตรงหน้าของเลวิทานแต่กลับไม่คุกเข่าลง เฟนทินี่จึงโมโหและพยายามจะให้ทั้ง 3 คุกเข่าก้มหัวลงต่อหน้าเลวิทานทว่าเลวิทานก็ได้ห้ามปรามเอาไว้ก่อนที่เธอจะได้พูดจมจบ
“ ขอโทษแทนคาร์ดินัลของเราด้วยนะ ว่าแต่พวกเจ้ามีนามและที่มาจากที่ใดรือ? ”
พอทุกอย่างสงบลงจากการพูดของเลวิทาน ชายที่อยู่นำหน้าสุดก็ได้ก้าวออกมาและเงยหน้าขึ้นพร้อมกับทำท่าทำความเคารพที่แปลกประหลาดด้วยการยกมือขวาขึ้นมาแตะที่ปลายหางคิ้วของเขา เช่นเดียวกันผุ้ติดตามของเขาก็ทำด้วย
“ ผมพันเอกบอริส ข้าราชบริพารฝ่ายการทหารของราชินีอควา ผู้ปกครองแห่งยูโทเปีย ส่วนทั้งสองที่อยู่ด้านหลังของผมคือผู้ติดตามนามว่า บาลอฟน่า กับ บูเรนย้า ”
“ ยูโทเปีย…? ”
เมื่อฝ่ายตรงข้ามบอกแล้ว ฝ่ายของเลวิทานก็จะต้องแนะนำตัวตามปกติ ทว่าก่อนที่เธอจะพูดอะไรต่อ เลวิทานได้หันไปมองทุกคนราวกับเป็นการบอกว่าเธออยากจะพูดเอง
“ เพื่อไม่ให้เสียมารยาทต่อผู้มาเยือน เราเลวิทาน ราชินีเพียงหนึ่งเดียวของอาณาจักรโซลิทานนี้ เอาล่ะบอริสไหนบอกตัวเราสิว่าเหตุใดเจ้าถึงได้เดินทางมายังดินแดนแห่งนี้ ”
“ ครับท่านเลวิทาน ผมมาเพราะต้องการเชื่อมสัมพนธไมตรีระหว่างโซลิทานกับยูโทเปียเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นไปตามประสงค์ของอควาที่จะสร้างไมตรีกับทุกประเทศอย่างเท่าเทียมครับผม ”
[ อควา? งั้นเหรอ… นั้นสินะ แต่ว่าตอนนี้อย่าพึ่ง…จะดีกว่า… ]
เขาขานตอบรับในทันที อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินชื่อของอควาถึงสองครั้ง นั้นก็ทำให้เลวิทานรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจเท่ากับชายตรงหน้าที่ช่างน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูกนั้นทำให้เลวิทานถามต่ออีกครั้งโดยที่สายตาของเธอยังจับจ้องไปที่ชายตรงหน้า
“ แล้วสัมพันธไมตรีที่ว่าถ้ามีแล้วโซลิทานของเราจะได้อะไรอย่างงั้นเหรอบอริส ตามที่ตัวเรายังจำความได้ อาณาจักรของเราไม่เคยได้อะไรจากสิ่งที่เรียกว่าการเชื่อมสัมพันธไมตรีนอกจากความว่างเปล่าและภาระเลย ”
ในอดีตโซลิทานมีพันธมิตรมากมายจากการเป็นประเทศศาสนาชั้นสูง แต่ว่าเมื่อใดที่มีปัญหา ก็ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเลย มีแต่ต้องส่งคนไปช่วยพันธมิตรเสมอ ทั้งหมดนั้นก็มีเหตุผลมาจากการที่โซลิทานตั้งอยู่ในตอนเหนือที่การเดินทางสันจรไปมายากลำบาก อีกทั้งอาณาจักรของเธอก็ห่างไกลและโดดเดี่ยวจนไม่อาจจะมีสงครามได้ง่ายๆ พันธมิตรจึงเริ่มไม่จำเป็นสำหรับที่นี้ และเธอก็ยังคิดด้วยว่า
[ ถ้ายูโทเปียรู้ว่าโซลิทานประกาศสงครามเต็มรูปแบบกับจอมมาร พวกเขาก็คงถอนตัวในไม่ช้าเพราะไม่อยากมาเสี่ยงร่วมรับความเสียหายกับกองทัพที่กล้าโจมตีไปทั่วอย่างไม่ลังเลแบบนั้น และระยะการเดินทางมาช่วยรบในที่ห่างไกลแบบนี้ก็คงเปลืองทรัพยากรต่างๆอีก ]
แต่ว่าคำพูดของชายตรงหน้าก็ทำให้เธอต้องเปลี่ยนความคิดทันที คำพูดที่ราวกับว่าเขารู้สิ่งที่อยู่ในใจของเธอ และรู้ด้วยว่าสิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้คือสิ่งใด
“ ระหว่างที่ผมเดินทางมานั้นสายข่าวได้แจ้งว่าตอนนี้โซลิทานกำลังมีสงครามกับจอมมาร ซึ่งผมก็ทราบดีในจุดนี้และท่านองค์ราชินีของยูโทเปียเองก็ยินดีที่จะเข้าให้การสนับสนุนทั้ง อาวุธพื้นฐาน อาหาร และยา จะมีจัดหาส่งให้กับโซลิทานอย่างสม่ำเสมอ จนกว่าสงครามจะจบ รวมทั้งตัวของผมเองก็จะเข้ามาช่วยในการวางแผนและดำเนินการรบด้วยตัวเองจนกว่ากองทัพจอมมารจะถอยล้นกลับไป นั้นคือสิ่งที่โซลิทานจะได้หากการเป็นเชื่อมสัมพันธไมตรีเกิดขึ้น ”
“ …ช่างใจกว้างจริงๆนะราชินีแห่งยูโทเปีย ”
คำพูดนั้นทำให้เลวิทานนั้นค่อนข้างจะประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าจะมีประเทศใดที่กล้าพูดข้อเสนอเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะเหรอ ก็อย่างที่บอกไป โซลิทานนั้นโดดเดี่ยว ไม่มีเรือเข้ามาค้าขาย ไม่มีการเดินทางที่ง่ายดาย แต่ยูโทเปียกลับบอกว่าจะหาของมาให้
“ ตัวเรานั้นดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ว่าในทางกลับกันพันธไมตรีนี้ โซลิทานจะต้องเสียอะไรบ้างเพื่อให้ได้ซึ่งการสนับสนุนของยูโทเปียล่ะบอริส ”
เลวิทานเธอไม่เหมือนคนอื่นที่มองว่าพันธไมตรีเป็นสัญญาพึ่งพากัน จากประสบการณ์ตลอดการมีอยู่ของเธอ เลวิทานรู้เสมอว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไม่มีราคา แม้แต่ศรัธราเองก็ด้วย ทว่าบอริสที่ถูกเธอมาอย่างนั้นเขาก็แอบยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
“ ทางยูโทเปียจะไม่คิดค่าอาวุธพื้นฐานอันได้แก่ ดาบ โล่ห์ และ ไม่คิดค่าเสบียงที่ขนมาให้ แต่สำหรับยากับอาวุธอย่างอื่นที่ยูโทเปียไม่ได้ใช้นั้น จะคิดไปในราคาที่ถูกลงกว่าที่ขายในตลาดและอาจจะถูกยิ่งขึ้นตามจำนวนของที่ต้องการครับ ”
“ อาวุธอย่างอื่นที่ยูโทเปียไม่ได้ใช้ มันหมายความว่าอย่างไรกันเหรอบอริส? ”
เลวิทานนั้นไม่สนใจในเรื่องยานัก เพราะโซลิทานนั้นมีป่าไม้ที่เต็มไปด้วยสมุนไพรอยู่แล้ว สิ่งที่เธอสนใจคืออาวุธอย่างอื่นที่บอริสพูดถึง โซลิทานนั้นพออยู่อย่างสันโดษเช่นนี้ จึงมิได้รับรู้ว่าเทคโนโลยีภายนอกไปถึงไหนแล้ว
“ เช่นนั้นผมขออนุญาตนำของที่ว่าเข้ามาได้หรือเปล่าครับท่านเลวิทาน ”
“ ตัวเรานั้นอนุญาต ”
ซึ่งทันทีที่ได้รับการยืนยัน เขาก็หันกลับไปมองผู้ติดตามทั้งสองพร้อมกับพยักหน้าเป็นการสั่งให้พวกเธอไปขนของตัวอย่างเข้ามา และพอได้รับคำสั่งทั้งคู่ก็รีบวิ่งออกไปโดยมีเหล่าอัศวินตามไปสังเกตุการณ์ด้วย
ในขณะนั้นเองเหล่าความหวังทั้ง 3 ที่ได้มองดูก็เริ่มเปลี่ยนจากเรื่องที่จะหาทางไปช่วยอาโอะมาเป็นเรื่องของยูโทเปียแทน พวกเขาในตอนนี้ต่างรู้สึกเหมือนกันว่าชายหญิงตรงหน้านั้นเหมือนกับหลุดมาจากโลกของพวกเขา
“ เครื่องแบบนั้นเอย ท่าทางเอย อย่างกับทหารที่โลกของพวกเรา…เลย ”
“ ว่างั้นอ๋อ? แต่ว่าทหารโลกเราไม่หล่อ ไม่ผมยาวแบบนี้ไม่ใช่หรือไงยูดะ? ”
“ นั้นสิขนาดพ่อของชั้นเป็นทหารยังต้องตัดผมตลอดเลยไม่มาไว้ยาวเป็นเปียแบบนั้นหรอกนะ ”
“ อ้าวเหรอ? กุก็นึกว่าทหารไว้ผมยาวได้ซะอีก ”
“ เห้ออ ดูหนังมากไปนะเราน่ะ ”
“ เห้ย เห้ย เห้ย ไหงมาบอกว่าข้าดูหนังมากไปเฉยเลยวะไอยูดะ??!! ”
…
กึง กึง กึง กึง ตึ้ง!
“ เปิดเลยบาลอฟน้า บูเรนย้า… ”
“ “ ค่ะพันเอก!! ” ”
จนกระทั่งเวลาผ่านไปราวๆ 10 นาที พวกเธอก็กลับมา พร้อมกับกล่องเหล็กขนาดใหญ่กว่าร่างกายของพวกเธอถึง 3 เท่า กล่องนั้นถูกวางลงพร้อมกับส่งเสียงกระแทกที่แสดงให้เห็นว่ามันหนักขนาดไหน และทันทีที่เปิดออกเหล่าความหวังทั้ง 3 ก็ถึงกับตาเหลือกทันที สิ่งที่อยู่ในนั้นพวกเขารู้จักมันหน้าตาที่แค่เห็นก็รู้ได้ว่ามันคือ…
แกร็ก
“ นี้ครับอาวุธที่ว่า ปืนยุค 0.5 แต่ว่านี้ไม่ใช่ปืนทั่วๆไปที่มีกระจายอยู่ตามเผ่ามนุษย์หรือบีสต์โฟค ปืนนี้มันสามารถหักล้างเวทย์มนต์ระดับกลางลงมาได้ และเป็นปืนที่ได้ปลดประจำการแล้วในยูโทเปีย ทว่าก็ไม่ได้ขายให้กับประเทศใดเป็นอิสระ เว้นแต่กับประเทศพันธมิตรเท่านั้นซึ่งตอนนี้ก็มีบลิซเพียงที่เดียวที่ได้ครอบครองปืนเหล่านี้อยู่… ”
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายปืนทีละกระบอก โดยกระบอกแรกที่เขาหยิบขึ้นมามันเป็นปืนไรเฟิลยาวที่มีไม้เป็นองค์ประกอบที่เห็นได้มากกว่าส่วนที่เป็นเหล็ก
“ ปืนนี้มีชื่อว่า ลีเอนฟิล รุ่น R หรืออีกชื่อก็คือ สไมลี่R ที่สามารถจุกระสุนได้ทีละ 5 นัด ความสามารถของมันอธิบายง่ายๆก็คือ สามารถยิงสังหารอัศวินในชุดเกราะที่ระยะ 300 เมตรได้อย่างไม่ยากเย็น… ”
เขาวางปืนนั้นลงพร้อมกับหยิบประบอกถัดไปทันที ทว่ากระบอกนี้พอเขายกขึ้นมาก็เห็นได้ว่ามันเป็นปืนที่เป็นเหล็กเกือบทั้งหมด อีกทั้งขนาดของมันก็ยาวมากๆเสียด้วย
“ นี้มันคือมาร์ติน เฮนรี่ รุ่น R เป็นปืนที่จุกระสุนได้ทีละนัด ทว่าแม้จะจุได้ทีละนัดก็ตาม มันก็มาพร้อมกับพลังทำลายที่รุนแรงพอจะล้มมอนสเตอร์ระดับ C ได้ในการยิงเพียงไม่กี่นัด ”
และสุดท้ายเขาวางปืนที่ถือลงไว้ข้างๆปืนก่อนหน้านี้ แล้วก็หยิบเอาปืนกระบอกสุดท้ายขึ้นมาด้วยมือทั้งสอง ปืนที่มีขนาดใหญ่ซึ่งมีจานเหล็กหนาติดตั้งอยู่บนปืนนั้น
“ ถัดมาเป็นปืนตัวสุดท้ายที่เรียกว่า เลวิส รุ่น R สำหรับแม็กกาซีนที่ยูโทเปียจะขายให้จุกระสุนได้ทีละ 47 นัด มันเป็นปืนที่ยิงได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็มีความแม่นยำที่สูงกับพลังทำลายเทียบเท่า สไมลี่R รวมทั้งยังใช้กระสุนประเภทเดียวกันด้วย จึงง่ายต่อการสั่งและนำส่ง ทว่ามันก็ยากในเรื่องการผลิตราคาจึงอาจจะสูงกว่า 2 ตัวหน้าค่อนข้างมากนะครับ ”
อย่างไรเสียผู้คนที่อยู่ในห้องต่างไม่ค่อยจะเชื่อว่าปืนพวกนี้จะทำอะไรได้ พวกเขาต่างหันมาคุยกันด้วยเสียงที่เบาเพื่อไม่ให้บอริสได้ยิน ซึ่งใจความทั้งหมดก็ไปในทางที่ว่าบอริสกับผู้ติดตามนั้นเป็นนักต้มตุ๋นไม่ใช่ตัวแทนจากที่ใดทั้งนั้น โดยเฉพาะเฟนทินี่เธอนั้นเรียกได้ว่าไม่มองทั้งสามคนเป็นแขกเลยด้วยซ้ำ
“ ดูท่าหลายๆท่านจะไม่เชื่อสินะครับ เช่นนั้นไหนๆห้องโถงที่นี้ก็กว้างขวางและยาวเกือบ 150 เมตรแล้ว ผมขออนุญาตได้หรือเปล่าครับท่านเลวิทาน ขออนุญาตให้ผมได้แสดงอำนาจของมัน ”
เลวิทานที่ยังไม่ไว้ใจในปืน เพราะความเชื่อของเธอที่ว่าปืนอย่างมากก็มีไว้แค่ล่าสัตว์ จะสามารถทำในสิ่งที่บอริสพูดได้ แต่เธอก็ใช่จะกีดกัน ความอยากรู้นั้นนำพาให้เธออนุญาตท่ามกลางการพยายามขัดค้านของเฟนทินี่ที่ไม่เชื่อในปืนแม้แต่น้อย
“ เอาสิบอริส ถ้าเจ้าอยากจะแสดงว่าสิ่งที่เจ้าถือมันทรงพลังขนาดก็ทำได้ แต่…ห้ามฆ่าใครในนี้ เข้าใจหรือเปล่า? ”
“ ขอบคุณครับท่านเลวิทาน เช่นนั้น… ”
“ เช่นนั้นเดี๋ยวชั้นจัดการเรื่องเป้าเอง พวกแ.. พวกนายรออยู่ที่นี้นั้นแหล่ะ ”
และพอได้รับคำอนุญาตมาเช่นนั้นการเตรียมการก็ได้ถูกจัดขึ้นโดยเป้าที่ใช้ยิง เฟนทินี่เป็นคนเตรียมทั้งสิ้นเพื่อไม่ให้มีการหลอกลวงเกิดขึ้น เป้านั้นจึงเป็นเกราะของเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งหนาและแข็งเป็นพิเศษเพราะเป็นการทำขึ้นผ่านการตีเหล็กด้วยมือ ไม่ใช่การหล่อขึ้นมาเหมือนทหารทั่วๆไป
[ หึ!! พวกแกพลาดแล้วที่คิดจะมาหลอกพวกเราและคิดที่จะหลอกท่านเลวิทานด้วยอาวุธโง่ๆนั้น ]
อีกทั้งระยะห่างของมันก็ห่างออกไปจนถึงหน้าทางเข้าห้องโถงนี้เลยทีเดียว โดยขณะที่เฟนทินี่เดินกลับมานั้นเธอก็มีท่าทีชัดเจนว่าต้องการจะทำให้บอริสอับอายให้ได้ เช่นเดียวกับความคิดของคนในห้องโถงนี้ซะส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าดาบกับธนูและเวทย์มนต์คือคำตอบมากกว่าไอท่อเหล็กเหล่านั้น
“ อึก… มีของแบบนั้นจริงๆด้วยสินะ ”
“ เสียงมันจะดังไม่อ่ายูดะ?? ”
“ ผมว่าเราควรไปหาอะไรมาอุดหูรอไว้เลยดีกว่านะ ที่ปิดแบบนี้เสียงมันจะดังกว่าปกติ ”
เว้นแต่ความหวังทั้ง 3 คนที่รู้ดีถึงพลังอำนาจของปืน แม้ปืนที่เห็นจะไม่ได้ใหม่ หรือทันสมัยเท่าของที่เห็นได้ในยุคที่พวกเขาจากมา แต่มันก็ยังคงเป็นปืนอยู่ดี
“ “ พร้อม ” ”
“ เอ้าเชิญเลย คุณตัวแทนจากยูโทเปีย ”
เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมแล้วเฟนทินี่ก็บอกชายที่ถือปืนด้วยท่าทางเยาะเย้ยอย่างเห็นได้แม้จะไม่ชัดเจนหรือตรงๆก็ตาม บอริสเองก็เดินไปไปพร้อมกับปืน สไมลี่R ในมือพร้อมกับโหลดกระสุนจากด้านบนให้ทุกคนในห้องเห็น กระสุน 5 นัดถูกยัดลงไปในตัวปืน ก่อนที่เขาจะดันกลไกทำให้ลูกกระสุนนัดแรกเข้ารังเพลิงพร้อมยิง
“ เอาล่ะครับ รบกวนทุกคนช่วยระวังเรื่องเสียงเอาไว้ให้ดีนะครับ เพราะมันค่อนข้างจะดังเลยทีเดียว ”
ปั้ง
“ !!!! ”
พูดจบเจ้าตัวก็หันกลับไปเล็งแล้วยิงอย่างรวดเร็ว เสียงปืนนั้นดังสนั่นไปทั่ว มันก้องกังวาลเพราะที่นี้ไม่มีที่ให้เสียงออกไปนอกจากทางเข้าห้องโถง
อย่างไรเสียคนที่อยู่ปลายทางนั้นก็เดินไปดูยังเป้าที่อยู่ในชุดเกราะเหล็กและเขาก็ต้องล้มลงไปนั่งกับพื้นทันที เกราะนั้นมีรูเหล็กๆปรากฎอยู่ ทว่าสิ่งที่น่าตกใจกว่าคือ หลังจากรูเล็กๆที่เกิดขึ้นที่ด้านหน้า มันยังมีอีกรูที่ด้านหลังของเกราะ และอีกรูที่ประตูทางเข้าห้องโถงนี้
“ อ อ อึก… ทะลุ ทะลุผ่าน น น น หน้าหลัง.. ”
หลังจากยืนยันได้แล้ว ทุกคนก็ต่างตกอยู่ในความเงียบสงบ พวกเขาเข้าใจในทันทีว่าอาวุธปืนนี้ต่างออกไป มันจะทำให้การสู้รับเปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งเรื่องระยะที่ไกลกว่าดาบและหอก พลังโจมตีที่แม้จะเล็กแต่ก็ทรงพลังหากใช้ดีๆ
“ เอ้า!! รบกวนช่วยหลบออกไปเร็วๆด้วยครับ ผมจะเริ่มยิงต่อแล้ว!! ”
“ อี๊!!! ”
ทว่ามันไม่ได้จบแค่นั้น บอริสตะโกนบอกอีกครั้ง เพราะเขาจะเริ่มยิงปืนกระบอกถัดไปแล้ว ปืนเลวิส R ที่ตั้งอยู่กับพื้น ซึ่งทันทีที่ชายคนนั้นลุกขึ้นเขาก็รีบวิ่งออกจากแนวยิงทันที
“ เอ้า!! อุดหูกันด้วยครับ!! ”
“ !!! ”
ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง … ปั้ง ปั้ง ปั้ง
ทันใดนั้นบอริสก็ตะโกนบอกกับทุกคน ก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 47 ครั้ง พร้อมกับภาพของเกราะอัศวินที่พรุนจนไม่อาจจะเรียกว่าเกราะได้อีกต่อไป
“ เอาล่ะสุดท้ายก็… ”
แกร็ก ตู้ม
“ กรี๊ดดด!! ”
“ อ๋าา!! หูชั้น!! ”
และสุดท้ายเจ้าตัวก็หยิบปืนที่ผู้ติดตามส่งให้ ปืนมาร์ตินเฮนรี่R เข้านอนลงไปกับพื้น ตั้งท่าแล้วยิงทันที เสียงปืนนั้นดังสนั่นจนเหล่าสาวกหลายๆคนถึงกับยืนไม่ไหว ส่วนเป้าหมายน่ะเหรอพังยับเยิน เศษเหล็กกระจายไปทั่วบริเวณ และที่ประตูเองก็มีรอยรอยขนาดเล็กเกิดขึ้น บอริสลุกขึ้นมาแล้วหันไปถามกับเลวิทานด้วยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ว่า
“ สรุปแล้วท่านสนใจจะตอบรับข้อเสนอและเป็นพันธมิตรกับยูโทเปียเลยดีหรือเปล่าครับ เพราะถ้ายืนยันตอนนี้ผมอาจจะขออนุญาตให้ท่านอควา ยอมให้ขายสัตว์เหล็กที่ไม่ได้ใช้แล้วกับโซลิทานก็ได้นะครับ สัตว์เหล็กที่มีเป็นดั่งป้อมปราการเคลื่อนที่น่ะครับ ”
……
MANGA DISCUSSION