ณ ทิศตะวันตกของโซลิทานมันคือหุบเขาและป่าสูงที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยมอนสเตอร์ สัตว์ป่าและทรัพยากรธรรมชาติที่ยังไม่ได้ถูกเก็บเกี่ยว ซึ่งในวันนี้เองก็ต่างจากวันปกติออกไปเล็กน้อยที่กำลังมีกลุ่มคนราวๆ 200 กว่าคนกำลังอยู่ในสถานที่เหล่านั้น
“ เอาล่ะค่ะ ท่านความหวังทั้ง 4 วันนี้พวกท่านจะต้องสู้จริงแล้ว ดังนั้นอย่าประมาทเป็นอันขาดนะคะ แม้ว่าพวกท่านจะแข็งแกร่งกว่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราก็ตาม ”
และตอนนี้ที่ด้านหน้าสุดของกลุ่มคนกว่า 200 คนนั้น ก็คือหญิงสาวผมยาวสีออกบลอนด์เงิน ดวงตาของเธอนั้นถูกซ่อนอยู่หลังแว่นตาขอบเหลี่ยมสีดำ ดวงตานั้นช่างแดงดุจเลือดของมนุษย์ไม่มีผิด และใบหน้าของเธอก็อ่อนเยาว์อย่างเป็นที่สุด ส่วนรูปลักษณ์ของเธอนั้นก็มิอาจจะรู้ได้ว่าเป็นเช่นไรเพราะชุดแม่ชีที่ใส่มันปิดบังทุกสัดส่วนอย่างมิดชิด
“ ไม่ต้องกังวลหรอกครับท่านเฟนทินี่ ”
“ ตามที่ไอ้ยูดะพูดนั้นแหล่ะเจ๊ ไม่ต้องมาห่วงพวกข้านักหรอก ”
“ เดี๋ยวเถอะ!! เรียกใครว่าเจ๊กันยะ!! ”
อย่างไรเสียแม้ว่าตัวของเฟนทินี่จะมียศสูงถึงระดับคาร์ดินัล แต่ก็ไม่พ้นการถูกปฏิบัติแบบขอไปทีของจะฮิน ซึ่งสำหรับคนทั่วไปก็คงจะโดนเรียกไปปรับทัศนคติแล้ว แต่จะฮินที่เป็นถึงผู้ถูกอัญเชิญมาเป็นความหวังจึงไม่ตกอยู่ใต้กฎทั่วไปของโซลิทาน
“ เน่เน่?? นานาวันนี้เค้าต้องเจ็บตัวจริงๆอ๋อ?!? ”
“ แน่นอนสิอาโอะ ก็เธอเป็นโล่ห์ของพวกเราไม่ใช่เหรอ ไม่สิ ของชั้นคนล่ะมั้ง? ”
ส่วนทางด้านของหญิงสาวสายซัพกับแทงค์นั้นทั้งคู่ก็ดูจะกล้าๆกลัวๆเล็กน้อยเพราะพวกเธอไม่เคยใช้ความรุนแรงมาก่อน สิ่งเดียวที่ทั้งสองทำในการซ้อมก่อนหน้าก็คือรับดาเมจและสนับสนุนยูดะกับจะฮืนที่อยู่แนวหน้า
ตึก ตึก ตึก ตึก
“ ท่านคาร์ดินัลขอรับ พวกเราเจอมอนสเตอร์แล้วขอรับ ”
ทว่าระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น อัศวินในเกราะสีเงินก็วิ่งเข้ามาหาเฟนทินี่พร้อมกับคุกเข่าลงแล้วรายงานในสิ่งที่เขาเจอให้กับหญิงสาวตรงหน้า ส่วนเฟนทินี่นั้นก็พยักหน้าตอบรับก่อนจะหันไปมองเหล่าความหวังทั้ง 4 คน
“ ท่านความหวังทั้งหลาย เชิญทางนี้ค่ะ… ”
“ รบกวนด้วยนะครับ ”
“ ฝากนำทางด้วยล่ะเจ๊ ”
“ เห้ออ..ค่ะ ”
หลังจากนั้นทั้ง 5 คนก็ได้เดินตามอัศวินคนที่ว่าไปยังที่หมายทันทีโดยมีกองกำลังอีกเกือบ 200 คนตามมาข้างหลังติดๆ และเพียงไม่นานพอพวกเขามาถึงก็ได้เห็นมอนสเตอร์ที่ว่า มอนสเตอร์สูง 2 เมตรที่มีหัวเป็นไก่ ตัวเป็นยักษ์กล้ามเนื้อแน่นเปรี๊ยะสีเข้มข้น พร้อมกับถือเสาหินอันเท่าตัวมันเองไว้อยู่
“ นั้นมัน…คูริตซ่า มอนสเตอร์ระดับ A อืมม ถือว่าหามาได้ดีเลยนะ ”
“ ขอบคุณขอรับท่านคาร์ดินัล ”
เฟนทินี่นั้นรู้จักมอนสเตอร์ที่ว่าเป็นอย่างดี สัตว์ประหลาดที่ในหัวไม่มีอะไรนอกจากซัดทุกอย่างที่ตัวเล็กกว่ามัน โดยเป้าหมายก็เพื่อป้องกันถิ่นของตนเท่านั้น ซึ่งทันทีที่ระบุเป้าหมายได้การต่อสู้ก็ได้เริ่มขึ้นทันทีภายใต้การควบคุมของเฟนทินี่
คนแรกที่เข้าไปก็คือจะฮิน หมอนี้พุ่งเข้าไปตรงๆ พร้อมกับดาบใหญ่ในมือของเขา ตามมาติดๆกันก็คือยูดะ เขาใช้จะฮินเป็นกำบังในการอำพรางตัวเพื่อจะลอบโจมตี อาโอะยังคงยืนถือโล่ห์กับพลั่วของเธอไว้ โดยด้านหลังก็มีนานาที่เตรียมตัวจะร่ายเวทย์ซัพพอร์ตให้กับแนวหน้าทั้ง 2 คน
การต่อสู้นั้นจึงเป็นแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แม้ว่ามันอาจจะดูอันตรายแต่ก็อย่างที่ได้บอกไป เฟนทินี่นั้นคอยจับตาดูทั้ง 4 คนอยู่เสมอ เพราะนี้เป็นหน้าที่ของเธอในวันนี้ มันจึงทำให้โอกาสที่จะเกิดอันตรายแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
แซค แซค แซค
ใช่… เป็นไปไม่ได้เลย หากคิดเพียงแค่ปัจจัยตรงหน้าอย่างมอนสเตอร์ที่กำลังโดนรุมโดยคน 4 คนซึ่งมีคนอีกกว่า 200 คนรอหนุนหลังในกรณีที่อันตรายอยู่ ทว่า ในวันนี้เฟนทินี่ก็ลืมคิดถึงปัจจัยอื่นอย่างศัตรูของพวกเธอ
“ บุก!!!! ”
“ “ โอ้!!!!!! ” ”
ในพุ่มไม้ของป่าแห่งนี้นั้น จู่ๆก็เกิดเสียงดังสนั่นก้องไปทั่วและเพียงไม่นานเจ้าของเสียงก็ปรากฎตัวขึ้น เหล่ากองทัพในชุดเกราะสีดำ ที่กำลังยกธงสีดำตราเลือดขึ้นสูง
“ เพื่อท่านจอมมาร!! จงฆ่าไอเด็กเปรต 4 ตัวนั้นซะ!! ”
“ “ แด่ท่านจอมมาร!! ” ”
พวกนั้นคือ…กองทัพจอมมาร เกือบพัน ที่ได้มาดักรอศัตรูของพวกเขาอยู่นานแล้ว เป้าหมายไม่ใช่อื่นใดนอกไปจากตัวของผู้กล้าหรือเหล่าความหวังทั้ง 4 คน ที่ถูกอัญเชิญมาจากต่างโลก ตอนนี้ทั้งหมดจึงกำลังพุ่งชาร์จไปที่ 4 คนนั้นอย่างไม่ลังเล
[ ชิ!! พวกมันรู้ได้ยังไงว่า พวกเราพาท่านความหวังมาซ้อมจริงที่นี้!! อุตส่าห์ปิดเป็นความลับกับเลือกจุดที่ห่างจากแนวหน้าแล้วแท้ๆ!! ]
เฟนทินี่ต้องคิดเช่นนั้นเพราะสิ่งที่กำลังเกิดอยู่มันเกินกว่าที่เธอคาดไว้มาก แต่อย่างไรก็ตามเจ้าตัวก็หาใช่จะยืนนิ่งเรื่อย รอให้ศัตรูเข้ามาจัดการคนสำคัญของโซลิทานได้ง่ายๆ
“ เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งโซลิทาน จงแสดงเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ของท่านเลวิทานและปกป้องเหล่าความหวังเอาไว้ให้ได้!! ”
“ “ น้อมรับบัญชาขอรับท่านคาร์ดินัล ขอให้ท่านเลวิทานทรงคุ้มครองพวกเรา!! ” ”
ทันใดนั้นการปะทะของสองฝั่งจึงได้เริ่มขึ้น และเพียงไม่นานแนวของสงครามก็เริ่มจะปรากฎให้ได้เห็นอย่างไม่เกินคาดภายใต้การคาดเดาของเฟนทินี่ ฝ่ายของเธอนั้นกำลังได้ชัยเหนือกว่าพวกจอมมารขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ
[ หึ!! คิดว่าคนไม่ถึงหมื่นจะเอาชนะกลุ่มอัศวินศักดิ์สิทธิ์และเหล่าความหวังที่ได้รับพรตรงๆจากท่านเลวิทานได้รึไง!! จอมมารนี้มันงี่เง่าจริงๆ!! ]
“ ทุกคนอย่าบุกเกินไป ให้ไอพวกโสมมนั้นเข้ามาแล้วสัมผัสกับแสงแห่งการคุ้มครองของท่านเลวิทาน!! ”
เธอยังคงสั่งการต่อ ณ ใจกลางของกองอัศวินของเธอ อีกทั้งเหล่าความหวังเองก็ดูจะไม่เกรงกลัวศัตรูและลงมือจัดการกองทัพจอมมารได้อย่างไม่ยากเย็น ทว่า…
“ โอเค้! ดูท่าจะได้เวลาแล้วสินะ ปะ ไปกันเถอะ ”
ในเงามืดที่ซ่อนตัวบนต้นสนทั่วทั้งป่า เสียงของหญิงสาวขี้เล่นได้ดังขึ้นและทันใดนั้นเองจากเงาธรรมดาๆ ก็มีกลุ่มคนในชุดเกราะประหลาดมากมายกำลังยืนอยู่แทน ชุดเกราะสีดำรัดรูปพร้อมกับสวมหน้ากากเรียบเนียนไม่โดดเด่นแต่อย่างใด
“ จำไว้นะเป้าหมายคือใครก็ได้ใน 4 คนนั้น อย่าให้พลาดล่ะ ”
“ รับทราบครับ/ค่ะ ท่านหญิง ”
ทันใดนั้นเองกลุ่มคนราวๆ 10 คนก็ได้กระโดดลงจากต้นไม้ที่ใช้หลบซ่อนอยู่ พร้อมกับชักเอาดาบยาวออกมา ดาบพื้นๆที่เห็นได้ทั่วไปในสนามรบตอนนี้ รวมไปถึงหยิบเอาผ้าคลุมสีทรายมาคลุมกันจนหมดและทันทีที่เท้าแตะถึงพื้น พวกเขาทั้งหลายก็กรูเข้าจากซ้ายและขวาของแนวรบทันที
“ นั้นมันพวกไหนกันวะยูดะ?? ”
“ ไม่รู้สิ ท่านเฟนทินี่กฌไม่เห็นบอกว่ามีกองเสริมมาด้วยนะ งั้นก็ระวังตัวไว้ก่อนแล้วกัน ”
“ อ่า อ่า เข้าใจแล้ว ”
“ อื้อ! เดี๋ยวเค้าจะคุ้มกันนานาไว้ให้เอง ”
“ ระวังงั้นสินะ โอเค เข้าใจแล้วล่ะยูดะ แต่ยังไงพวกนายเองก็ระวังด้วยล่ะถ้าออกไปไกลชั้นก็รักษาให้ไม่ได้นะ ”
“ ขอบใจที่เตือนนะนานา ”
ส่วนเหล่าความหวังทั้ง 4 คนนั้นก็เห็นกลุ่มคนที่ว่าด้วย พวกเขาและเธอจึงระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น รูปแบบการต่อสู้เองก็เริ่มบีบแคบเข้ามาจนอยู่ห่างกันไม่เกิน 10 เมตร เป็นรูปแบบการรบที่ระมัดระวังเป็นพิเศษ โจมตีก็ได้ ตั้งรับก็ดี
[ เดี๋ยว?!?! พวกนั้นมันอะไรน่ะ?!? มาจากไหนกัน? เดี๋ยวนะ เดี๋ยว!! กำลังเสริมของจอมมาร?!?… ]
ส่วนทางเฟนทินี่เธอนั้นตอนนี้กำลังตกใจเป็นอย่างมาก กองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้เข้าโจมตีมาจากสองฝั่งซึ่งนั้นมันจะเป็นการปิดล้อมเหล่าอัศวินเอาวไว้ได้ง่ายๆ แทนที่จะเป็นการปะทะมาจากด้านหน้าด้านเดียว ซึ่งทางยุทธศาสตร์แล้วมันถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ อีกทั้งพวกนั้นเองก็สามารถวิ่งฝ่าอัศวินเข้าไปหาความหวัง ได้อย่างรวดเร็วจนไม่มีใครเข้าขัดขวางไงไว้ได้
“ เอาล่ะ ไหนเอ่ย ฝีมือของพวกคนที่ถูกอัญเชิญมาขอดูสักพักก่อนก็แล้วกันนะ ”
ทว่าเจ้าของเสียงนั้น เธอไม่ได้โดดลงมาตามลูกน้องของเธอเลย กลับกันตอนนี้เจ้าตัวกำลังนั่งกินขนมอยู่บนกิ่งไม้เพียงลำพังพร้อมกับกล้องส่องทางไกลไว้คอยดูคนทั้ง 4 คนนั้นที่เริ่มจะได้ปะทะกับลูกน้องของเธอ
ฟุบ กึก!!
“ เชี้ยเอ้ย!! ไอพวกนี้มันบ้าอะไรกันวะ!! ”
“ ทนหน่อยนะจะฮิน เดี๋ยวชั้นจะเพิ่มพลังให้เดี๋ยวนี้แหล่ะ!! ”
และคนแรกที่ต้องปะทะเลยก็คือจะฮิน ดาบยักษ์ของเขาที่เหวี่ยงเข้าปะทะหาศัตรูในชุดคลุมตรงหน้า มันไม่อาจจะตัดผ่านได้เหมือนกับศัตรูก่อนหน้าได้เลย ทุกการโจมตีของเขาถูกหยุดไว้ด้วยหลังมือของศัตรูทั้งสิ้น
ควับ ควับ ควับ
[ ไอเจ้าพวกนี้มันรู้ได้ยังไงกันว่าเราหลบอยู่ตรงนี้!? แบบนี้ก็ลอบโจมตีไม่ได้น่ะสิ!! ]
ส่วนทางด้านของยูดะเองเขาก็ตึงมือพอๆกับจะฮิน ศัตรูนั้นโจมตีเข้าใส่เขาได้แม้ว่าตัวของเขาจะแอบหลบซ่อนอยู่ด้วยสกิลของเขา สกิลที่จะลบและจางตัวตนของเขาลงเป็นอย่างมากถึงขนาดที่แม้จะอยู่ตรงหน้าก็ไม่สามารถเห็นได้
ทว่าก็อย่างที่บอกไป ตอนนี้เขากำลังถูกไล่ฟัน ไล่ซัดอยู่อย่างต่อเนื่อง ขนาดที่ตอนนี้เจ้าตัวจะป้องกันและสวนกลับก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงเหลือเพียงแค่การหลบ หลบ หลบ ไปอย่างเรื่อยๆ
“ ไม่มีใครเก่งเลยแหะ อุตส่าห์ตั้งความหวังไว้เยอะเลยนาาา ”
และทางด้านหญิงสาวผู้นั้นก็ด้วย เธอกินขนมจนเสร็จแล้วก็โดดลงจากต้นไม้มายืนอยู่ที่ด้านล่างด้วยท่าทางที่ผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าก็เป็นเพียงชั่วครู่ที่เธอแสดงอาการอย่างนั้น เพราะทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นมาแสงก็สาดส่องให้ได้เห็น
หญิงสาวผู้สวมชุดรัดรูปสีดำและสวมหน้ากากที่ปล่อยหมอกออกมาตลอดเอาไว้ เธอหยิบเอามีดเล่มเล็กขึ้นมาแล้วชะโลมมันด้วยของเหลวสีชมพูทันที
“ เอาล่ะ มารีบจบภารกิจของนายท่านกันเลยดีกว่า จะได้กลับไปนั่งเย็บชุดใหม่สำหรับงานหนังสือคราวหน้าต่อให้เสร็จ ”
พูดจบหญิงสาวผู้นี้ก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เธอเข้ามาสู่พื้นที่ที่เต็มไปด้วยดวงไฟสีฟ้ามากมายนับไม่ร้อยกำลังมุ่งตรงไปยังทางข้างหน้า ส่วนตัวของเธอนั้นก็มีเทียนไขที่จุดไฟสีดำหมุนอยู่รอบกาย
………
[ ถอยก่อน!! ใช่ต้องถอยไม่งั้นแย่แน่ๆ!! ]
“ ถอย!! ถอยเร็วเข้า!! เจ้าพวกผ้าคลุมนั้นมันต้องเป็นระดับสูงของพวกจอมมารแน่!! ถ้าเรายังสู้ต่อท่านความหวังจะตกอยู่ในอันตราย!! เร็วเข้า!! รีบถอยซะ!! ”
เฟนทินี่นั้นมองออกถึงสถานการณ์ตอนนี้ ศัตรูเพียงไม่ถึงหยิบมือกลับสามารถต้อนเหล่าความหวังที่ได้รับพรจากเลวิทานได้อย่างง่ายดาย ขืนปล่อยต่อเธอจะต้องเสียพวกเขาไปแน่ๆ นั้นทำให้เธอกล้าจะออกคำสั่งนั้นในทันที
ซึ่งทันทีที่คำสั่งนั้นถูกถ่ายทอดออกไปกองอัศวินก็ทำตามอย่างรวดเร็วพวกเขาถอยพร้อมกับคอยเข้าคุ้มกันเหล่าความหวังทั้ง 4 ทันที ทว่าการออกคำสั่งนั้นไปมันก็เหมือนไปดึงความสนใจจนเกิดเป็นช่วงเวลาที่ “ผิดพลาด”
“ นานา เราต้องถอยกันแล้วนะ เร็วเข้าเดี๋ยวเค้าจะกันเอาไว้ให้!! ”
“ อื้อ!! ฝากด้วยล่ะอาโอะ!! ”
แน่นอนว่ากลุ่มที่ต้องถอยก่อนเสมอคือกลุ่มของแนวหลัง โดยเฉพาะนานากับอาโอะที่ไม่ความสามารถด้านโจมตีอยู่เลย และด้วยโชคยังดีที่พวกเธอไม่ได้ถูกกลุ่มชุดคลุมเข้าถึงตัวได้ไวเหมือนกับที่ยูดะกับจะฮินเจอ
หมับ
“ หุ หุ หุ จะไปไหนกันน่ะจ้ะเด็กๆ? ”
แต่แล้ว สิ่งที่ทั้งสองไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้น จู่ๆที่ด้านหลังโล่ห์ยักษ์ของอาโอะ ก็ปรากฎร่างของหญิงสาวผู้สวมหน้ากากซึ่งมีหมอกถูกปล่อยออกมาตลอดเวลา และทันทีที่เธอปรากฎตัวออกมานั้น มือข้างหนึ่งของคนตรงหน้าจับเข้าที่แขนของอาโอะอย่างรวดเร็ว
“ เอาล่ะไป กันเถอะ… ”
ฟุบ
“ อาโอะ? อาโอะ?!? ”
และเพียงพริบตาเดียวเท่านั้นอาโอะที่ควรจะถือโล่ห์ยักษ์เอาไว้ก็ได้หายไปราวกับว่าเธอไม่เคยออยู่ตรงนั้นมาก่อน ทิ้งให้นานายืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้น
ตึก ตึก ตึก
“ นานา!! อาโอะล่ะ?!? อาโอะหายไปไหน ”
“ เชี้ยเอ้ย แม่งบ้าอะไรวะเนี้ย!! จู่ๆพวกเวรผ้าคลุมก็หายไป? อ้าว อาโอะล่ะ??! ”
เพียงชั่วครู่ แนวหน้าทั้งสองก็กลับมา ทว่าทันทีที่ทั้งคู่มาถึงก็เห็นเพียงโล่ห์กับพลั่วของอาโอะ และนานาที่ยืนนิ่งพร้อมกับจ้องมองไปที่สิ่งของตรงหน้าเธอด้วยดวงตาที่เริ่มจะมีน้ำไหลรินออกมา
“ อาโอะ.. อา โอะ…ถูกพวกมัน..ฮึก…เอา…ฮึก…ตัว..ไป… ”
“ จะฮิน… ”
“ ชิ!! อ่า เข้าใจแล้วน่ายูดะ เห้ย!! เจ๊ทอง!!กุไม่ถงไม่ถอยนะเว้ย!! ยัยอาโอะรอเดี๋ยวนะ!! เดี๋ยวพวกกุจะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหล่ะ!! ”
ทั้งสามคนคนที่เหลืออยู่ ก็ล้วนคิดว่านี้เป็นฝีมือของจอมมารแน่ๆ และเริ่มโจมตีกลับอย่างกล้าหาญทันทีโดยไม่สนใจคำสั่งถอยของเฟนทินี่แต่อย่างใด ทำให้ พวกจอมมารที่ตอนแรกเริ่มจะได้เปรียบต้องกลับไปเสียเปรียบอีกครั้ง…
……
…
เพล้ง
“ อะไรนะ!! เซบาสนี้แกจะบอกว่ากองทหารที่ข้าคัดมาแล้วส่งไปจัดการผู้กล้าตายหมดเนี้ยนะ?? ”
ภายในห้องโถงของปราสาทสีดำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซึ่งกว้างขวางและใสสะอาด ที่นี้คือวังของจอมมาร วังหลังใหม่ที่ย้ายมาเพราะเหตุการณ์การโจมตีของแมลงประหลาดจนกองทัพจอมมารไม่ได้หลับไม่ได้นอนหลายวันติดๆกัน
“ ขอรับท่านจอมมาร กองทัพอันเกรียงไกรของท่าน ทัพ “ไม้เรียวฝาดหน้าจนก่อเกิดหยดน้ำตาแห่งผู้กล้า” โดนเหล่าผู้กล้าทั้ง 3 คนและเหล่าอัศวินของโซลิทานสังหารจนหมดครับ ”
และที่ด้านหน้าของเขาก็คือเซบาสตุนพ่อบ้าน ชายหนุ่มหน้าชราร่างท้วมหุ่นดีผมยาวล้านเตียน กำลังคุกเข่ารายงานต่อจอมมารผู้เป็นนายเหนือหัวอยู่
“ ชิ ไอพวกนั้นมันอะไรกันวะ!!! ”
“ ใจเย็นก่อนไม่เป็นหรือไงเป็นจอมมารแท้ๆ แต่ไร้วุฒิภาวะชะมัด.. เออ แล้วเมื่อกี้บอกว่า 3 คนใช่หรือเปล่าเซบาสตุน ถ้าชั้นจำไม่ผิดตอนแรกบอกว่ามี 4 คนไม่ใช่รึไง? ”
“ ไร้วุฒิภาวะ?? แกกกกก!! ”
โป๊ก
“ อ๊ากกก หัวข้าาา หัวเข่าของข้าาาาา!! ”
“ เอ่อ ลงไปนอนดิ้นอยู่นั้นแหล่ะไอเจ้าจอมมารเศษเดน ”
แน่นอนว่าจอมมารอย่างออฟซิลนั้นก็ต้องโกรธเป็นธรรมดาตามปรกติของเขาที่โดนต่อว่าแบบนั้น ทำให้เจ้าตัวกระโดดเข้าใส่หวังจะจัดการกับฟารุน ส่วนฟารุนก็สวนกลับง่ายๆด้วยการเตะอัดหัวเข่าจอมมารเข้าไปจนล้มลงไปนอนร้องกับพื้น
“ ขอรับท่านฟารูน เดอรัน ออฟลิฟวิ่งเดท อินเดอะเอ็าส์ โฮลล์จูนีเอ็ตต้า ตามรายงานของสายมีเพียง 3 คนขอรับ ”
“ เห้ออ หยุดเถ้ออขอร้องล่ะไอเรื่องเรียกชื่อเนี้ย…แต่ว่า… 3 คน งั้นก็จริงสินะ ที่ว่ามีมือที่ 3 เข้ามาก่อเรื่องให้พวกเราโดนหมายหัวหนักกว่าเดิม ”
ฟารูนนั้นตอนนี้เธอปลงกับการเรียกชื่อของเซบาสตุนไปแล้ว แต่ว่านอกจากเรื่องนั้น ตอนนี้เธอก็กำลังกังวลอีกเรื่องนั้นก็คือการประกาศอย่างชัดเจนจากโซลิทานว่าจะทำสงครามเต็มรูปแบบกับกองทัพจอมมาร เพราะพวกนั้นเข้าใจว่ากองทัพจอมมารลักพาตัว 1 ใน ผู้กล้าไป
ไอการประกาศแบบนี้ก็เป็นสัญญาณแล้วว่า ต่อจากนี้โซลิทานจะเริ่มเป็นฝ่าย “บุก” บ้าง ซึ่งตัวของฟารูนก็รู้ดีว่าโซลิทานจะไม่ทำแบบนี้แน่ๆ เพราะโซลิทานเป็นอาณาจักรที่รักสงบเป็นอย่างมากและสงครามก็คงไม่เกิดขึ้นแน่ๆ
“ เห้อ… เพราะแกแท้ๆเล้ย ไอจอมมารเวร แค่ชั้นไม่อยู่ไม่กี่เดือนก็ก่อเรื่องก่อราวจนได้สินะ ”
ถ้าไม่ติดที่ว่า…ช่วงที่เธอกำลังสืบเรื่องของทวีปใหม่อยู่นั้น จอมมารที่รู้สึกเบื่อก็คิดจะหาอะไรทำ เช่นการส่งทหารของเขาไปเกรียนประเทศที่ดูอ่อนแอ และประเทศที่อ่อนแอในสายตาของจอมมารก็คือประเทศที่ไม่เคยคิดจะเปิดใครก่อน
ซึ่งที่ที่ว่าก็แสนจะอยู่ใกล้ตัว โซลิทาน ที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตร นั้นจึงทำให้เขาสั่งการกองทัพจอมมารไปทำการป่วนประสาทและโจมตีใส่หัวเมืองของโซลิทานไปเรื่อย
“ เอาเถอะ จะมาบ่นไปก็ไม่ได้อะไรแล้วด้วยสิ เซบาสตุนต่อจากนี้ก็ฝากคุมไม่ให้ไอบ้านั้นออกจากห้องไปทำอะไรพิเรณๆอีกล่ะ แล้วก็กระจายคำสั่งไปว่าเราจะต้องจัดการกับโซลิทานก่อนที่อื่นไม่งั้นคงแย่ๆแน่ ”
“ จะจัดการให้ตามที่ท่านบัญชาเลยขอรับท่านฟารูน เดอรัน ออฟลิฟวิ่งเดท อินเดอะเอ็าส์ โฮลล์จูนีเอ็ตต้า ”
“ ส่วน…แนวการรบเอาเป็นยิดยื้อและลอบโจมตีไปเรื่อยๆให้ศัตรูบาดเจ็บหนักไว้ก่อนก็แล้วกัน ฮ้าาา แต่ยังไงก็ต้องเรียกพวกขุนศึกกลับมาก่อนล่ะนะ ”
ฟารูนนั้นถอดหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องโถงนี้ไป พร้อมกับคิดวนไปวนมาถึงการจัดการต่อจากนี้ การจัดการภาระที่จอมมารก่อไว้ให้กับเธอ
“ ทั้งๆที่ค่อยๆทำตามแผนไปป่านนี้โลกครึ่งใบก็เป็นของเราได้แล้วแท้ เพราะแกแท้ๆเลย ไอ้ออฟซิลน่าโง่ แล้วก็ไอพ่อบ้าที่เลี้ยงมันมาอย่างงี้ด้วย… ”
……
…
“ เอาล่ะ เอาล่ะ หมดเวลาสนุกแล้ว ได้เวลาประชุมแล้วนะ ”
“ ค้าาาาา ”
“ เจ้าค่ะ ”
“ ได้ตามบัญชาของนายท่านค่ะ ”
ใต้ภูเขาใจกลางยูโทเปียที่นั้น มาร์ได้เรียกประชุมกลุ่มเมดที่ยังอยู่บนเกาะของเขาเพื่อกำหนดเป้าหมายฉุกเฉินใหม่ในปีนี้ เป้าหมายฉุกเฉินที่เจ้าตัวไม่ได้อยากให้เกิดขึ้นสักเท่าไหร่
“ หัวข้อการประชุมครั้งนี้ก็อย่างที่ได้บอกไป เราต้องกำหนดเป้าหมายฉุกเฉิน เพราะตอนนี้ผมได้รับแจ้งแล้วจากสายข่าวอย่างเพนเท อ่า…แล้วขอบใจนะเพนทสำหรับข้อมูลที่ไปหามา… ”
“ ยินดีเสมอค้าาา นายท่านขาาา!! ”
มาร์หันไปยิ้มให้กับเพนเทที่นั่งอยู่ ณ เก้าอี้หมายเลข 5 ของเธอพร้อมกับทักชุดอะไรบางอย่างไปด้วย ตัวของมาร์นั้นไม่ได้จะห้ามเธอ เพราะเขารู้สึกว่าไหนๆ เพนเทก็ทำงานได้เป็นอย่างดีให้เจ้าตัวได้ทำตามใจบ้างคงไม่เป็นอะไร
“ …ข่าวนั้นคือไออาณาจักรที่ชื่อว่าโซลิทานเนี้ย ได้ทะลึ่งไปอัญเชิญสิ่งที่เรียกว่า คนจากต่างโลกมาเป็นที่เรียบแล้ว แน่นอนว่าพอมีสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาแบบนี้ ผมจึงได้ออกคำสั่งให้เพนเทไปสังเกตุการณ์มาแล้วก็พบว่า ที่อัญเชิญมานั้นมีถึง 4 คนเลยทีเดียว อีกทั้ง 4 คนที่ว่าก็น่าจะเติบโตเป็นบุคคลทรงพลังที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ไม่ยาก ”
เขาพูดเสร็จก็หยิบเอาน้ำขึ้นมาดื่ม ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วหยิบเอากระดาษที่พกมาขึ้นมาอ่าน ในขณะเดียวกันภาพที่จอก็เปลี่ยนไปเป็นภาพมุมสูงของเหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้ เหตุการณ์จับกุมคนบุกรุกทั้ง 4 คนโดยหน่วยพิเศษ
“ ส่วนนอกจากไอเรื่องนั้นก็มีปัญหาอีกอย่าง นั้นก็คือกองทัพของจอมมารที่ไม่ว่าจะมองยังไงก็เป็นปัญหากับพวกเราได้แน่ๆในอนาคต หากปล่อยไปเรื่อยๆไม่สนใจ คำถามว่าทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะกองทัพเวรนั้นไม่สนอะไรเลยน่ะสิจ้องแต่จะตีมันเสียทุกฝ่าย ตีแบบมีแบบไม่มีแผนด้วยซะส่วนใหญ่ล่ะนะ เห็นง่ายๆก็จากการที่รุกรานทุกประเทศไปทั่ว อีกทั้งเอ่อ… ทิเรีย เอนนาสอบสวนเสร็จแล้วใช่หรือเปล่า? ”
แต่ละหว่างที่พูดอยู่นั้นมาร์ก็หยุดและหันไปมองเอนนากับทิเรียที่นั่งอยู่ใกล้ๆกัน ทั้งสองลุกขึ้นก่อนจะตอบคำถามของเขาด้วยท่าทีที่สุภาพเรียบร้อยและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ เจ้าค่ะนายท่านพวกเรา"สอบถาม" ผู้บุกรุกพวกนั้นเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ”
“ ตามที่ทิเรียบอกเลยค่ะนายท่าน พวกนั้นมาจากกองทัพจอมมารแถมดูเหมือนว่าจะผ่านการฝังคำสาปไว้ด้วยค่ะ เพราะทันทีที่ยอมปริปา… ยอมให้ความร่วมมือในการตอบคำถามกับพวกเรา ก็เฉาตายไปในทันทีเลยล่ะค่ะนายท่าน ”
“ เฉาตาย? ”
มาร์นั้นสงสัยในส่วนที่ว่าจึงได้พูดออกมา ซึ่งทั้งสองก็หันไปมองยังหญิงสาวที่นั่งจิบกาแฟอยู่เนื่องๆด้วยใบหน้าเซ็งๆ เอเนอา และเธอที่รู้สึกตัวก็ลุกขึ้นทันทีอย่างเร่งรีบก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสแทน
“ ฮะ!! นายท่าน!! ผมตรวจสอบร่างของผู้ถูกส ส ส อบถามเรียบร้อยแล้วฮะ พบว่าในร่างของพวกเขา เอ่อ…ส่วนของหัวใจได้มีการสลักคำสาปบางอย่างเอาไว้ที่ดูเหมือนว่าจะทำงานให้ร่างกายสูญเสียน้ำกับกล้ามเนื้อทั้งหมดไปหากพูดอะไรที่คนสาปไม่ต้องการหลุดออกมาน่ะฮะ ”
“ คำสาปนี้เอง ขอบใจนะทั้งสามคน… อ่าที่นี้ก็จะเห็นได้ไม่ว่าจะอะไรก็ช่าง มันก็ไม่ได้เปลี่ยนเรื่องที่ว่าเจ้าพวกนั้นกล้าจะลักลอบเข้าเมืองของเราล่ะนะ ”
เมื่อได้รับการอธิบายเรียบร้อยมาร์ก็พูดต่อด้วยท่าทีสบายๆ ในขณะที่ทั้งสามคนนั้นได้แก เอนนา ทิเรีย และเอเนอา ก็นั่งลงพร้อมกับตั้งใจฟัง
“ ดังนั้นเป็นไปได้เพื่อเป็นการตอบแทนความกล้าดีต่อพวกเรา ผมก็อยากให้กองทัพจอมมารเสียหายมากที่สุดโดยไม่ต้องไปเสนอหน้าก่อสงครามเอง แต่ตามตรงก็ไม่ได้ถึงกับอยากให้หายไปเพราะว่าตอนนี้พวกกองทัพจอมมารเนี้ยเป็นเหตุให้ทั่วโลกยังไม่มาสนใจยูโทเปีย หรือมองเราเป็นศัตรูต่ออำนาจของพวกเขาสักเท่าไหร่ ”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้นมาร์ก็ได้เลื่อนไปภาพถัดไป ภาพมุมสูงของโซลิทานที่เต็มไปด้วยเส้นของการวางแผนมากมาย ซึ่งเมดทุกคนในห้องพอได้เห็นก็พยักหน้าพร้อมกับพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งนั้นทันที
“ ตอนนี้โซลิทาน รัฐนี้ ประเทศนี้ ทวีปนี้ อาณาจักรนี้เป็นเพียงไม่กี่ที่ที่ไม่ได้มีชื่อเป็นคู่การค้ากับบริษัทโรงงานผลิตของเล่นGHOSTของพวกเรา และไม่มีแม้แต่ร้านค้าย่อยขององค์กร [ผี] ของพวกเราอยู่เลย ดังนั้นโซลิทานจึงไม่จัดอยู่ในประเภท [ พันธมิตร ] หรือ [ ศัตร ] อย่างชัดเจน ซึ่งก็มีเรื่องดีอีกอย่างก็คือ ที่นี้ดันอยู่ใกล้กับกองทัพจอมมารอย่างพอเหมาะพอดีเลย ”
เจ้าตัวนั่งลงก่อนจะมองไปที่เหล่าเมดของเขา เอนนา ดีย์โอะ ทิเรีย เทเสล่า เพนเท เอ็กซิ อคโต เดคกะ เอเนอา เอปต้า อัลฟ่า เบต้าวันและเบต้าทู ที่นั่งอยู่ ซึ่งที่นี้ขาดไป 2 คนด้วยกันคือ ยูเรย์ที่ติดเรียน กับอัลฟ่าที่ยังต้องคุมบลิสอยู่ในเงามืด
“ ผมจึงได้ข้อสรุปแล้วว่า ในปีนี้เป้าหมายฉุกเฉินของเราก็คือการทำให้เกิดสงครามยืดเยื้อระหว่างโซลิทานกับกองทัพจอมมาร แล้วเราก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยโซลิทานในนามของพันธมิตรใหม่ โดยประโยชน์ที่ผมเล็งไว้มีด้วยกันหลักๆ 4 อย่าง
1.เพื่อให้ปืนของเราเข้าไปสร้างฐานผู้ใช้ในโซลิทานได้
2.เพื่อจับตาดูการเคลื่อนไหวของผู้ที่ถูกอัญเชิญมาอย่างใกล้ชิดได้โดยไม่ผิดสังเกตุรวมไปถึงแทรกซึมสร้างรากฐานองค์กรของเราในนั้น
3.ลดกำลังของจอมมารลงจนพวกนั้นต้องตัดสินใจเดินเกมรัดกุมกว่านี้จนพวกนั้นไม่กล้าทำอะไรสุ่มเสี่ยงอีก
และ 4.เพื่อให้ทั้งโลกทราบข่าวว่ายูโทเปียเป็น ฝ่ายดี ที่เป็นมิตร ”
ทันทีที่เมดทุกคนในตอนนี้ได้ฟัง ก็ต่างหันมาพูดคุยกันเล็กน้อยอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าให้กัน และหนึ่งในนั้นก็ยกมือขึ้น ทิเรียเธอยังสงสัยอยู่อย่างหนึ่งอยู่
“ นายท่านเจ้าคะ ขอเสียมารยาทถามอะไรสักอย่างได้หรือเปล่าเจ้าคะ? ”
“ ว่ามาสิทิเรีย… ”
“ คือว่าดิชั้นสงสัยว่าพวกเราจะเข้าไปยื่นมือได้อย่างไรกันเจ้าคะ ไม่สิจะเข้าไปทำให้ทั้งสองฝั่งก่อสงครามยืดเยื้อได้อย่างไร ในเมื่อทั้งสองฝั่งนั้นเป็นกลุ่มที่ไม่เคยมีความคิดจะประกาศสงครามกันจริงๆจังๆน่ะเจ้าค่ะ ”
ทิเรียถามคำถามนี้ขึ้นมา ซึ่งก็ไม่แปลกนักที่เธอจะถามแบบนั้น เพราะเธอรู้ว่าโซลิทานคงไม่ไปบุกกองทัพจอมมารแน่ๆเพราะเป็นอาณาจักรศาสนาที่รักสงบ ส่วนฝั่งจอมมารก็ไม่เคยจะประกาศสงครามจริงๆสักทีเอาแต่ตีไปทั่วแบบนั้น
“ อ๋อ… เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกอีกไม่นานก็คงประกาศสงครามกันแล้วล่ะ ”
“ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกันเจ้าคะ ?!? ”
เธอที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งสงสัยเข้าไปอีก ทว่ามาร์กับเพนเท ทั้งสองต่างยิ้มออกมา โดยเฉพาะเพนเทที่นั่งอยู่ทักเสื้ออยู่เธอถึงกับหยุดมือลงและหันมามองทิเรียที่นั่งถัดออกไปโดยมีเทเสล่าคั้นกลางเอาไว้
“ ก็ไม่เห็นจะยากนิทิเรีย นายท่านของเค้านะพึ่งสั่งให้เค้าไปลักพา 1 ในนั้นน่ะ พวกคนจากต่างโลก ออกมาเมื่อเช้านี้เองแหล่ะนะ ฮะ ฮ่าๆๆ ”
“ อะไรนะเจ้าคะ!! ”
“ ใช่แล้วล่ะทิเรีย ผมได้สั่งให้เพนเทไป “เชิญตัวมา” มาเพื่อทำการศึกษาเกี่ยวกับคนจากต่างโลกที่ว่าพร้อมโดยทั้งหมดทำไปโดยมีเบื้องหน้าเป็นกองหนุนของกองทัพจอมมาร… ”
และเมื่อมาร์พูดจบ ภาพของคนที่ถูก “เชิญตัวมา” ที่ว่านั้นก็ถูกฉายขึ้นให้เห็นที่ตรงกลางโต๊ะประชุม ภาพของหญิงสาวที่กำลังถูกปิดตาด้วยสายรัดสีดำ กับยัดบอลเล็กๆไว้ในปากไม่ให้เธอได้พูด นอกจากนี้ก็ยังถูกตรึงไว้ด้วยโซ่เหล็กพิเศษที่แขนและขาข้างละ 4 เส้นที่ทำหน้าที่ดูดมานาออกตลอดเวลาเพื่อลดความสามารถลง
ซึ่งเธอคนนี้ก็กำลังถูกจับขังเอาไว้ที่ห้องใต้ดินลึกสุดของฐานทัพ ที่นั้นได้มีการล้อมรอบไปด้วยอุปกรณ์แทรกการติดตามทุกประเภทดังนั้นมันจึงไม่น่าเป็นห่วงเรื่องความจะแตกเลยแม้แต่น้อย
“ …ส่วนหลังจากนี้จะศึกษาอะไรยังไงนั้น อัลฟ่าจะเป็นคนรับผิดชอบต่อไป ฝากด้วยนะอัลฟ่า ”
“ ยินดีเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะนายท่าน ”
อัลฟ่าลุกขึ้นและโค้งตัวลงเคารพนายท่านของเธออย่างสง่างามท่ามกลางสีหน้าอันแสนจะอิจฉาของเอเนอาที่มองเธออยู่ เพราะเจ้าตัวในฐานะนักวิจัยเองก็อยากจะลอง “ศึกษา” คนจากต่างโลกดูเหมือนกัน
“ ข.. ข เข้าใจแล้วเจ้าค่ะนายท่าน เช่นนี้อีกไม่นานโซลิทานก็จะประกาศสงครามเพื่อทวงตัวหญิงสาวคนนี้คืนจากจอมมารสินะเจ้าคะ ”
“ อื้ม ใช่แล้วล่ะ และเมื่อมาถึงตอนนั้นพวกเรา ในฐานะฑูตของยูโทเปียก็จะเข้าไปยื่นมือแล้วใช้โอกาสนั้นทำสงครามยืดเยื้อเพื่อเงินขึ้นมายังไงล่ะ ”
……
MANGA DISCUSSION