[เอเลี่ยนเกยตื้น] สเปซทรัคเกอร์ รูดี้คุง - ตอนที่ 9 ประวัติศาสตร์ของดวงดาว
ตอนที่9 ประวัติศาสตร์ของดวงดาว
“จะว่าไปแล้ว ฉันเห็นคุณออกมาจากเขาวงกตนี่นา คุณไม่ได้เจอกับ มาดาระ (อสูรลายจุด)ที่อยู่ในนั้นเหรอ?”
รูดี้ เอียงหัวงุนงงไปกับคำถามของ นาโอมิ
ก็พอจะเดาได้ว่าเขาวงกตที่เธอพูดถึงคือยานอับปางลำนั้น แต่ไอ้เจ้า “มาดาระ”เนี่ย มันคืออะไรหว่า?
“มาดาระ? เดส”
“ในเขาวงกตนั่นมันมีอสูรกินคนที่มีขนเป็นลายด่าง และไม่ว่าจะเป็นการโจมตีทางกายภาพ หรือเวทมนต์ก็ทำอะไรมันไม่ได้เลยสักนิด อาศัยอยู่มาไม่รู้กี่ร้อยปีแล้ว ถ้าเข้าไปในนั้นละก็จะถูกมันโจมตีแน่ๆ คนส่วนใหญ่ถ้าไม่ถูกมันกินทั้งเป็น ก็ต้องหนีหางจุกก้นเท่านั้นแหละ แต่ว่ารูดี้กลับเดินออกมาแบบสบายๆ ฉันเลยสงสัยว่าคุณเข้าไปทำอะไรในนั้น แล้วคุณไม่ได้เจอกับมันระหว่างทางเหรอ?”
“อย่างนี้นี่เอง ก็เจอกับมาดาระอยู่นะ แต่อัดมันจนเละไปแล้ว เดส ส่วนเหตุผลที่เข้าไปก็คือ เพื่อการตรวจสอบ เดส”
เมื่อได้ยันคำตอบของรูดี้ นาโอมิก็ขมวดคิ้ว
*อัดมันจนเละ? หรือว่าเขาจะสื่อว่าได้โค่นมันไปแล้ว? แต่ว่าฉันไม่รู้สึกถึงพลังเวทของเจ้าหนูนี่เลยแม้แต่นิดเดียว แล้วโครงร่างของเขาก็ไม่ได้ดูเหมือนจะแข็งแกร่งอะไรด้วย หรือว่าเจ้าตัวที่เหมือนจะเป็นโกเลมที่อยู่กับเขามันจะแข็งแกร่งสุดๆไปเลยอย่างนั้นเหรอ?
*(TL note: รูดี้มันพูดว่า “โบโกะโบโกะ นิชิเตะยัตตะ” นาโอมิ ถึงงงว่า “โบโกะโบโกะ” เนี่ยหมายถึงอะไร)
“ตรวจสอบอะไรเหรอ?”
“จะให้พูด…เรื่องมันก็ยาว เดส”
“ถ้าทางนั้นไม่มีปัญหาอะไร ก็ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมล่ะ?”
” ทำไมเหรอ? เดส”
“เพราะว่ามันน่าสนใจไงล่ะ ฉันปลีกตัวออกมาจากโลกภายนอกเพราะมันวุ่นวาย แต่พอมาอยู่ในป่าแบบนี้ก็ทำให้ฉันว่างสุดๆ เลยอยากหาอะไรที่มันน่าสนใจทำน่ะ “
รูดี้ กระพริบตาปริบๆให้กับเหตุผลอันเห็นแก่ตัวของเธอ
แต่พอคิดดูแล้วก็เห็นว่า ถ้าเป็นคนๆนี้ละก็คงไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นเขาจึงเริ่มเล่าเกี่ยวกับสาเหตุที่เขามาที่ดาวดวงนี้ให้เธอฟัง
“ก็อย่างที่ว่าไป จริงๆแล้ว ผมเป็นเด็กหลงทาง เดส”
“เด็กหลงทาง?”
“ใช่แล้ว อวกาศเป็นเด็กหลงทาง… เป็น…ที่–…จาก? ไม่ใช่สิ เด็กหลงทางในอวกาศ เดส”
“ถึงฉันจะไม่รู้ก็เถอะ แต่อวกาศนี่มันกว้างมากเลยเหรอ?”
“อวกาศมันกว้างจนไร้ขอบเขตเลย เดส”
“กว้างจนไร้ขอบเขตเหรอ…จินตนาการไม่ออกเลยนะ”
“เพราะแบบนั้นเลยต้องใช้เกท แล้ว วาร์ป ข้ามไปยังที่หมายในทันทียังไงล่ะ เดส”
“ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีของแบบนั้น แต่มันก็เหมือนกับการใช้ประตูเวทมนต์เพื่อกระโดดข้ามไปยังอีกสถานที่หนึ่งใช่ไหม?”
เขาพยักหน้าให้กับการเปรียบเทียบของนาโอมิ
“ที่เกทนั่น ตอนที่ยานของผมกำลังจะวาร์ป มีบางอย่างผิดพลาด แล้วพอรู้ตัวอีกที่ ก็มาโผล่ในสถานที่ ที่ไม่รู้จักแล้ว กลับไปไม่ได้ เดส แต่สถานที่ที่ผมโผล่ออกมา มันก็อยู่ใกล้ๆกับดาวดวงนี้พอดี เดส”
“เดี๋ยวนะ”
ระหว่างที่เขากำลังอธิบายจู่ๆนาโอมิก็ยกมือขึ้นมาแล้วหยุดเขาไว้
“ขอถามก่อนสักหนึ่งเรื่องได้ไหม?”
“อะไรเหรอ?”
“พื้นที่พวกเรายืนเหยีบอยู่ในตอนนี้มันคือ หนึ่งในดวงดาวที่ฉายแสงอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนใช่ไหม?”
“….?”
ในระหว่างที่เขากำลังงุนงงว่าเธอจะถามเรื่องที่มันแน่นอนอยู่แล้วไปทำไม ฮาลก็ติดต่อเข้ามาผ่านสมองอิเลคทรอนิกส์ของเขา
[มาสเตอร์ ไม่แน่ว่าเธอกำลังพูดถึงทฤษฎี ที่ว่า “โลกเป็นศูนย์กลาง” อยู่เหรอครับ? ]
*(TL note: geocentric)
“ทฤษฎี โลกเป็นศูนย์กลาง นี่มันอะไรกัน?”
[ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว มันเป็นแนวคิดที่เชื่อกัน ก่อนที่มนุษย์จะเริ่มออกเดินทางไปในอวกาศ เนื้อหาของมันอธิบายไว้ว่า จักรวารนั้นหมุนรอบดาวเคราะห์ที่พวกเขาอยู่กัน ครับ]
“ล้อเล่นอะไรของนายเนี่ย?”
[น่าเสียดายที่มันเป็นทฤษฎีที่เคยมีอยู่จริงครับ]
“เอาจริงดิ!…….”
“เอาล่ะ! สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เอาภาพของคาวดวงนี้ที่ถ่ายจากยานไนกี้ขึ้นจอที”
[ครับ มาสเตอร์]
ภาพที่ฮาลส่งมาจากยานไนกี้ถูกแสดงขึ้นที่หน้าจอบนกำแพงของห้องทานอาหาร
“น่ะ!?!”
ในระหว่างที่นาโอมันกำลังงงอยู่ว่าทำไมรูดี้เงียบไป จู่ เธอก็เห็นว่า มีภาพของ ทรงกลมสีน้ำเงินปนเขียว ปรกคลุมด้วยควันสีขาวที่หมุนวนปรากฏขี้นบนแผงที่แขวนอยู่บนพนัง
ประหลาดใจกับภาพนั้น นาโอมิลุกขึ้นจากเก้าอี้ของเธอ
“นี่คือ ดวงดาวที่นาโอมิอาศัยอยู่ มันเป็นดาวเคราะห์ เดส”
รูดี้เริ่มอธิบายเกี่ยวกับดวงดาวที่แสดงอยู่บนหน้าจอ แต่ทว่า นาโอมิ ที่ถูกดึงดูดโดยความงามของภาพที่เห็น ไม่ได้ตั้งใจฟังคำอธิบายจากเขาเลย
นี่คือ ดวงดาวที่ฉันอาศัยอยู่ในตอนนี้สินะ แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ส่วนต้านล่างของดาวมันจะไม้กลับหัวกลับหางหรอกเหรอ?
“….ฉันไม่เข้าใจ ทำไมมนุษย์ที่อาศัยอยู่ด้านล่างของดาวไม่ตกลงไปข้าล่าง?”
“ดาวเคราะห์ มีแรงโน้มถ่วง …หรือจะพูดอีกอย่างคือ แรงโน้มถ่วงเกิดจากตัวของดาวเคราะห์นั่นเอง เดส”
“แรงโน้มถ่วงคืออะไรเหรอ?”
“เรื่องไม่ยาก เดี๋ยวอธิบายให้ฟัง เดส”
เพื่อตอบคำถามของเธอ รูดี้ ก็สอน นาโอมิเกี่ยวกับ แรงโน้มถ่วง และกลไกการทำงานของมัน
“…นี่มันน่าทึ่งจริงๆ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าโลกใบนี้มันมีอะไรแบบนั้นอยู่ด้วย”
รูดี้แปลกใจที่เห็นว่า นาโอมิซึ่งกำลังมีตาเป็นประกายระยิบระยับสามารถทำความเข้าใจถึงทฤษฎีแรงโน้มถ่วงสากลได้อย่างง่ายดาย ….”ไม่แน่ว่าคนๆนี้อาจจะเป็นอัจฉริยะก็เป็นได้”
นาโอมิได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
โลกใบนี้เป็นลูกทรงกลม และหมุนวนไปรอบบดวงอาทิตย์มันใช้เวลา1วันในการหมุนรอบตัวเองและ1ปีในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ และฤดูกา]ก็เป็นเพราะแกนกาวหมุนของมันเอียง! น่าสนใจ..ช่างน่าสนใจจริงๆ..
“ฉันไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยว่าฉันใช้ชีวิตอยู่บนดาวที่สวยงามขนาดนี้”
ขณะที่นาโอมิจ้องมองดาวเคราะห์ที่สวยงามบนหน้าจอด้วยความปลื้ม รูดี้ก็พูดกับเธอ
“น่าจะได้เวลากลับเข้าเรื่องละ เดส”
“…..จะว่าไปแล้วเรากำลังพูดถึงเรื่องของรูดี้อยู่นี่นะ”
“นาโอมิบอกให้ผมกับมนุษย์บนดาวดวงนี้ดูเหมือนกันใช่ไหม? ที่ผมเข้าไปในยานอวกาศลำนั้นก็เพื่อที่จะตรวจสอบเรื่องนั้น เดส”
“ยานอวกาศ? คือจะบอกว่าไอ้สิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นเขาวงกตมาตลอดนั่นคือยานอวกาศแบบเดียวกันกับที่นายขับมางั้นหรอกเหรอ อีกอย่างนะ ไม่ใช่ (บอกให้) แต่เป็น (บอกไว้ว่า) ต่างหาก ”
“บอกไว้ว่า?….บอกไว้ว่า…แก้ละ… แล้วก็ มันเป็นยานคนละรุ่น เพราะผลิตมาต่างยุคกัน ยานลำนั้นมันเป็นของเมือ1200ปีก่อน เดส “
เมื่อฟังเรื่องที่ รูดี้ พูด นาโอมิก็เงยหน้าขึ้นมา
“ไม่แน่ว่า บางทีพวกฉันก็อาจจะมาที่ดาวดวงนี้ จากนอกอวกาศเหมือนกัน นั่นคือสิ่งที่นายอยากจะบอกใช่ไหม?”
“ถึงจะยังยืนยันไม่ได้ แต่มันก็มีความเป็นไปได้สูงมาก เดส”
“อาฮาฮาฮา นั่นมันน่าสนใจสุดๆเลย!! ไม่แน่ว่าบรรพบุรุษของฉันอาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวด้วยก็ได้ใช่ไหม? “
จู่ๆ นาโอมิก็ระเบิดหัวเราะออกมา ทำให้รูดี้กังวลว่า เธอเสียสติไปเพราะสถานการณ์มันเกินขอบเขตุการทำความเข้าใจของเธอหรือเปล่านะ?
แต่หลังจากที่นาโอมิหยุดหัวเราะและซับน้ำตาของเธอ เธอก็เริ่มเล่าเรื่องของประวัติศาสตร์ของดาวดวงนี้ให้เขาฟัง
“จากประวัติศาสตร์ ที่ฉันรู้มา ดูเหมือนว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่มนุษยชาติเกือบจะสูญพันธุ์”
“บอกเรื่องนั้นมาเดี๋ยวนี้…เดี๋ยวนี้? ….ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย เดส”
รู้สึกว่าเรื่องนั้นมันน่าสนใจเขาจึงคะยั้นคะยอให้นาโอมีเล่าต่อ
“จากบันเอกสารโบราณที่ฉันรวบรวมมาได้ตอนที่ยังเด็กอยู่ ดูเหมือนว่ามนุษย์ จะเคยใช้อะไรบางอย่างที่เรียกว่า เวทย์โบราณ จนกระทั่ง 800ปีที่แล้ว เวทย์มนต์พวกนั้นมันเป็นระบบที่แตกต่างจากเวทย์มนต์ที่เรามีอยู่ในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง และสิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือพวกเขาไม่ท่องคาถา แต่ว่าใช้อุปกรบางอย่างแทน ว่ากันว่าพวกเขาเริ่มการทำงานของเวทย์โบราณกันแบบนั้น”
หรือว่าเวทย์โบราณจะหมายถึง ปืน และ โดรน? ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่ เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ ของพวกเขา คงอยู่ได้ถึง400ปีหลังยานตก
ระหว่างที่รูดี้คิดถึงเรื่องเหล่านั้น นาโอมิก็ยังคงเล่าต่อไป
“อย่างไรก็ตาม เมื่อ800ปีก่อน จู่ๆพวกมอนสเตอร์ ก็โผล่ออกมา บนดาวด้วงนี้ และดูเหมือนว่าพวกมันจะไล่ต้อนมนุษยชาติไปจนเกือบจะล่มสลาย ด้วยความแข็งแกร่งอันเหนือชั้น จะว่าไป ฉันคิดว่าเวทย์โบราณ น่าจะเป็นอุปกรที่เหมือนกับของที่อยู่บนยานลำนี้ แต่พอมันถูกทำลายโดยมอนสเตอร์ พวกเราก็เลยเสียวิทยาการที่นำมาจากอวกาศไปด้วย”
ดูเหมือนว่านาโอมิจะคิดแบบเดียวกันกับรูดี้
“เพราะอย่างนั้นฉันเลยมีคำถามอีกอยางหนึ่ง แม้แต่ตอนนี้เองมนุษย์ก็ยังคงต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่โผล่มาเมื่อ800ปีก่อนพวกนั้น หรือว่าพวกมันเองก็เป็นสิ่งมีชีวิติที่มาจากอวกาศด้วยเหมือนกัน”
“ก๊อบลิน…ถึงแม้พวกมันจะต่างจากพวกที่อยู่บนอวกาศอยู่มาก แต่มันก็ดูเหมือนกับพวก ผู้รุกราน ที่มาจากภายนอกของ กาแล็คซื่ นี้ จากตรงนี้จะเป็นแค่การคาดเดา บางที่ยานของพวกมันอาจจะบังเอิญมาพบดาวดวงนี้เข้าในยุคที่ต่างออกไป ซึ่งผมคาดว่าน่าจะเป็นช่วง800ปีที่แล้ว เดส”
“พวมมันมาทำอะไร?”
“เรื่องนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ถ้ามันเป็นมอนสเตอร์ที่มีวิทยาการระดับอวกาศ มันคงกวาดล้างมนุษยชาติได้อย่างไม่ยากเลย พอมาคิดดูแล้ว มันก็แปลกที่พวกเขายังรอดมาได้”
เมื่อได้ยินรูดี้พูดแบบนั้น นาโอมิก็ กอดอก เอามือท้าวคาง แล้วครุ่นคิด
“อืม…ตามบันทึกในเอกสารโบราณ ดูเหมือนว่าอยู่ๆ ก็มีโรคติดต่อร้ายแรงระบาด ในหมู่มอนสเตอร์ แล้วพวกมันส่วนใหญ่ก็ตายลงหลังจากนั้น ดูเหมือนว่าพวกที่ยังรอดจะข้ามทะเลกลับไปที่ฐานของพวกมันที่ตั้งอยู่บนทวีป ทางทิศตะวันออก แล้วถูกกลืนหายไปในเสาเพลิงขนาดยักษ์ ราวกับว่าพวกมันถูกลงโทษที่ไปทำให้เทพพระเจ้าทรงโกรธ อย่างนั้นแหละ “
รูดี้รู้สึกสงสัยกับโรคระบาทที่พูดถึงในเรื่องที่เธอเล่ามา
“มานาที่อยู่บนดาวดวงนี้ จงฆ่าพวกที่มาจากอวกาศ… จง? มันจะฆ่า เดส”
(มานามันเป็นอันตรายต่อมนุษย์เหรอ?)
“มานาเป็นไวรัสที่อันตรายถึงตายถ้าไรภูมิต้านทาน เดส”
“ไวรัสคืออะไร?”
รูดี้อธิบายอย่างคร่าวๆเกี่ยวกับแนวคิดของไวรัสให้กับนาโอมิฟัง
“อย่างนี้นี่เอง พวกมอนสเตอร์ที่มาจากอวกาศมันตายเพราะไม่มีภูมต้านทานต่อ มานา ถ้าอย่างนั้น แล้วมอนสเตอร์ที่ยังเหลือรอดอยู่ในตอนนี้ล่ะ?”
“”น่าจะมาจากการที่ร่างกายของพวกมันสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาโดยบังเอิญ เดส”
“อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่ รูดี้ คุณจะไม่เป็นอะไรเหรอ?”
“ผมได้รับวัคซีนแล้ว ไม่เป็นไร เดส”
“วัคซีน?”
“ยาประเภทหนึ่ง เดส”
“เข้าใจละ …แต่ถ้ามียาแบบนั้นอยู่ ทำไมมอนสเตอร์พวกนั้นไม่ใช้มันล่ะ?”
“นั่นเป็นเรื่องที่เรายังไม่รู้เหมือนกัน ต้องไปตรวจสอบดูก่อน นี่เป็นแค่การคาดเดา แต่ AI ในยุดนั้น อาจไม่รู้ว่ามานาเป็นอันตราย เดส”
“AI ?”
นาโอมิ ถามเกี่ยวกับ AI แต่การอธิบายเกี่ยวกับมันจะใช้เวลานานเกินไปและรูดี้ก็อยากจะเก็บเรื่องของ ฮาลไว้เป้นความลับ เขาเลยไม่ตอบอะไร
“มัน ยากที่จะอธิบาย เดส”
“ถ้ามันเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก ก็ช่างมันละกัน”
รูดี้คิดว่านาโอมิจะพยายามจี้หาคำตอบ แต่ดูเหมือนเธอจะเข้าในใจความต้องการของเขา เธอยักไหล และยิ้มบางๆ ราวกับอยากจะพูดว่า “บอกฉันทีหลังละกัน”
“แล้ว คุณวางแผนจะทำอะไรหลังจากนี้เหรอ?”
“ผมต้องการสำรวจ มันจะต้องใช้เวลาและอุปกรหลายอย่าง เพราะอย่างนั้ เราจะตั้งแค้มป์กันที่นี่ เดส”
“ตอนนี้เลยเหรอ?”
“มันจะใช้เวลาประมาณ4ชั่วโมงกว่าจะเสร็จ เดส”
“ให้ช่วยไหม?”
“ตามสะดวก เดส”
นาโอมิยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้รับอนุญาตจากรูดี้