มิซากิ ฮิมิยามะ part 3
[มุมมองของ มิซากิ ฮิมิยามะ]
มีเพียงคำถามเดียวที่ผุดขึ้นมาในใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็คือ
ทำไมถึงมาพูดแบบนั้น?
แล้วฉันจ้องไปที่ใบหน้าของอดีตคู่หมั้นของฉันอีกครั้ง
เริ่มต้นใหม่ นี่คุณหมายถึงอะไรกับที่ว่ามานั่นกัน? ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนเหรอ? ตลอดเวลาที่ผ่านมาแล้วนี้น่ะนะ? เราต่างก็ได้ใช้เส้นทางที่แตกต่างกันแล้ว จากนั้นจะให้เรากลับมาเชื่อมโยงกันอีกครั้งในแค่ไม่กี่นาทีนี้ นี่เราสามารถทำอะไรในแบบนี้ในโลกได้ด้วยเหรอ? ฉันเองก็ไม่เด็กๆแล้วที่จะพยักหน้าให้เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้
ถึงแม้ว่าเราจะเคยรักกัน แต่บางครั้งมันก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะทำอะไรได้ ถ้าหากพวกเราแต่งงานกัน มันก็จะเป็นเรื่องที่มากกว่าแค่เราสองคน ที่คุณสมบัติของใครคนหนึ่งจะต้องถูกทดสอบจากคนอื่นที่อยู่ในครอบครัว และมันก็เป็นเรื่องธรรมดาๆก็เท่านั้น ซึ่งฉันนั้นก็ไม่ได้มีคุณสมบัติที่ว่ามานี้
“ฉันไม่เคยคิดนะ ว่าคุณจะพูดแบบนี้ออกมาเอาในตอนนี้…….” (มิซากิ)
“ฉันขอโทษ แต่ฉันพูดจริงนะ! ถ้าหากว่าคุณยังไม่มีคู่ในตอนนี้ ได้โปรดช่วยพิจารณามันที” (มิกิยะ)
มันฟังดูค่อนข้างกลวง แม้จะมันจะเป็นคำพูดที่ฟังดูเร่าร้อนจากปากเขา แต่ความรู้สึกไม่สบายใจนั้นก็กลับเกาะติดอยู่กับฉัน ก่อนที่จะได้รู้สึกปิติและมีความสุข แต่ว่าก็ดูเหมือนเขานั้นจะไม่ได้โกหก ซึ่งถ้าเขาหย่าร้างไปแล้วและความสัมพันธ์ได้จบลง เขาเองก็จะมีอิสระที่จะไปอยู่กับใครก็ได้ตามที่เขาต้องการ
จะเป็นไปได้เหรอ ที่เขาจะกลับมาเลือกฉันเป็นคู่ของเขา?
ทำไมล่ะ–?
เพราะรัก?
แต่ แต่มัน แต่ว่า!
แล้วนั่นก็ยังมีสาเหตุที่ฉันยังไม่เชื่อเขาไม่ลง
“ทำไมล่ะ?” (มิซากิ)
แล้วคำพูดเดียวกับที่สิ่งที่เข้ามาในหัวก็หลุดออกมาจากปากของฉันไปเองอย่างเป็นธรรมชาติ
“มันเป็นเพราะว่าฉันรักคุณ ฉันน่ะหยุดคิดถึงเธอไม่ได้เลยนะ มิซากิ” (มิกิยะ)
“ถ้างั้นทำไมล่ะ!” (มิซากิ)
ฉันกำลังจะขึ้นเสียง แต่ฉันก็อดกลั้นเอาไว้ได้ทัน
ฉันน่ะได้ตัดความรู้สึกนั้นของฉันทิ้งไปแล้วนะ แต่ถึงอย่างนั้น หัวใจของฉันก็กลับยังคงสับสนอลหม่าน ฉันที่คิดว่าฉันน่าจะสามารถเชื่อมั่นในตัวเองได้อีกครั้งแล้ว และฉันก็คิดว่าฉันยอมรับมันได้แล้ว มันเป็นอนาคตที่ฉันนั้นได้ยอมแพ้ไปแล้ว ฉันมั่นใจว่าเหตุผลที่ฉันคิดแบบนี้ได้ ก็เพราะว่าฉันนั้นเพิ่งจะกลับเจอเด็กคนนั้นอีกครั้ง
“แล้วทำไมคุณถึงได้ไม่สู้อะไรเพื่อฉันกันล่ะ มิกิยะซัง?” (มิซากิ)
“นั่น…..” (มิกิยะ)
“ตอนนั้นคุณไม่ได้ปกป้องฉันเลย” (มิซากิ)
“ฉันรู้ ว่าฉันก็มีปัญหาในตัวของตัวเอง” (มิกิยะ)
เขานั้นเป็นทายาทของโรงเแรม และในฐานะประธานบริษัทคนต่อไป มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขานั้นไม่สามารถสละทิ้งได้
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ฉันนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ ฉันยอมรับแล้วในเรื่องนั้น ฉันต้องยอมรับ มันเป็นความผิดของฉันเองตั้งแต่แรก ฉันน่ะไม่สามารถไปตำหนิเขาได้ เลิกกันเถอะ ซึ่งในเวลานั้น ฉันเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต้องพยักหน้ารับกับคำพูดของเขาที่ว่านั้น ฉันยังคงไร้เดียงสามากที่ได้ไปเลือกเส้นทางดังกล่าว
ไม่มีทางที่ฉันจะไปเทียบกับพวกเขาได้ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็คิด
กับเด็กชายผู้ซึ่งได้ต่อสู้อยู่เพียงลำพัง ต่อต้านให้กับทุกสิ่ง เขาที่เต็มไปด้วยรอยบาดแผล แต่ก็ยังดื้อรั้นฝ่ามันออกไป
ปกติแล้ว ฉันน่ะทำตัวให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ มันมีบางอย่างที่ยังสำคัญสำหรับฉัน บางอย่างที่ฉันยังไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้ และมันก็กำลังผูกมัดฉันไว้มากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนนั้นต่างก็กลัวที่จะสูญเสียอะไรบางสิ่งไป แล้วนี่เขาไม่มีอะไรอย่างนั้นบ้างเลยเหรอ?
แต่เด็กผู้ชายคนนั้นก็เป็นแบบนั้น ถึงแม้หากว่าเขาจะสู้คนเดียวไม่ได้ บางที อาจจะ หากได้ทำร่วมกัน พวกเราก็คงจะผ่านมันไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว กับพวกเราก็ยังคงเลือกที่จะแยกทางจากกันอยู่ดี พวกเรานั้นเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด พวกเรานั้นไม่ได้คิดที่จะสู้กับมัน เราก็แค่ปรับไปตามสภาพแวดล้อมที่เราเป็นอยู่
“ไม่นะ คุณน่ะเข้าใจผิด! มันจะไม่เป็นไรแล้วในครั้งนี้ เพราะแม้แต่แม่ของฉันก็คิดว่าคุณ—!” (มิกิยะ)
อะไรนะ แม่ของคุณคิดเรอะ?
นั่นมันเป็นไปไม่ได้ มันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติโดยสัญชาตญาณ
ฉันที่ไม่ได้รับการยอมรับจากแม่ของเขา เธอเองนั้นเป็นคนคัดค้านการแต่งงานของเรา และฉันก็ไม่สามารถลบล้างเหตุผลของเธอได้ ฉันเป็นคนที่มีลูกให้ไม่ได้ นั่นเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรงที่สุด ไม่มีอะไรที่ฉันจะสามารถทำได้กับเรื่องนี้ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่มันแปลก ถึงเขาจะหย่ากับเธอไปแล้ว เขาก็ควรที่จะหาคนอื่นสิ ฉันไม่คิดว่าแม่ของเขาจะมาสนใจฉันที่ฉันมีลูกไม่ได้หรอกนะ
งั้นทำไมล่ะ?
แล้วความคิดของฉันก็ได้กลับไปที่คำถามนั้น
พอลองคิดดู “เรียวกัง อุมิบาระ” นั้นได้มีกำไรเพิ่มขึ้นด้วยการเปลี่ยนไปใช้ความต้องการจากภายนอกที่เข้ามา จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนญี่ปุ่นนั้นมีเกิน 30 ล้านคน และจุดสถานที่ท่องเที่ยวนั้นเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ คาดว่าจำนวนจะยิ่งมีเพิ่มขึ้นในอนาคต และสำนักกระทรวงการท่องเที่ยวก็ได้ออกมาประกาศว่าจำนวนนั้นก็น่าจะเกิน 40 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม กับโลกที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ในฉับพลัน ได้ทำให้ปัจจุบันมีการจำกัดการเข้าออกจากต่างประเทศและมีการบังคับใช้กฎหมายการเข้าเมือง ฉันสงสัยว่า เรียวกัง อุมิบาระ จะสามารถอยู่รอดได้ภายใต้สถานการณ์แบบนี้รึเปล่ากันนะ
“ธุรกิจของโรงแรมยังคงไหวอยู่หรือเปล่า?” (มิซากิ)
นอกจากนี้ ว่ากันว่าเมื่อเรียวกังหันความสนใจไปที่ตลาดที่เป็นนักท่องเที่ยวขาเข้า คนญี่ปุ่นก็จะมักเริ่มออกห่าง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติที่โรงแรมจะถูกกั้นแยกจากกันเพราะมันเป็นเรื่องของความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม และยิ่งพวกเขาให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวขาเข้ามากเท่าไร ดูพวกเขาก็น่าจะยิ่งได้รับความเสียหายมากขึ้นเท่านั้น ใช่สิมันก็แค่ผลประโยชน์เท่านั้น
“ชะ-ใช่ คือมันค่อนข้างลำบาก แต่เราได้ใช้มาตรการต่างๆนะ เราน่ะกำลังไปขอเงินกู้จากธนาคาร……”
ก็เพราะอย่างนี้นี่เอง นี่เขาถึงได้ยอมมาไกลถึงขนาดนี้เพื่อพยายามกลับมาคบกับฉันงั้นเหรอ?
แล้วความไม่เป็นปกติก็ถูกเร่งเร้าขึ้น และจากนั้นฉันก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกไม่สบายใจ
“ฉันก็ว่าแล้วมันดูแปลกๆ นี่แม่ของคุณบอกให้คุณมาที่นี่งั้นสินะ?” (มิซากิ)
”–! ไม่นะ คุณเข้าใจผิด มันไม่เป็นความจริง!” (มิกิยะ)
“คุณกำลังจะหลอกใช้ฉันงั้นสินะ?” (มิซากิ)
ฉันเองก็รู้ได้ถึงคุณค่าของอำนาจที่อยู่ในมือแล้ว และในแง่นั้น ฉันจึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่นมานานแล้ว มีคนมากมายที่ได้เข้ามาหาฉันด้วยโดยมักจะมีความตั้งใจอะไรบางอย่างแอบแฝง บางทีนั่นล่ะคงจะเป็นเหตุผล พอมันมากถึงจุดหนึ่ง ฉันก็เลยมีความรู้สึกรับรู้ได้ไวกับสิ่งเหล่านั้น
“น่าเสียดายนะ เพราะคุณจะไม่ได้อะไรแบบนั้น” (มิซากิ)
“มันไม่ใช่เรื่องโกหกนะ ฉันยังชอบคุณอยู่! แต่ฉันก็แค่ต้องการความช่วยเหลือเล็กน้อย” (มิกิยะ)
“ที่คุณกำลังต้องการน่ะไม่ใช่ฉัน ใช่ไหมล่ะ?” (มิซากิ)
“คุณผิดแล้ว! มิซากิ จริงๆนะฉัน—-” (มิกิยะ)
ดิ๊งด่อง!
ราวกับจะขัดจังหวะคำพูดของเขา เสียงของกริ่งประตูก็ได้ดังขึ้น
————————————————————————–
[มุมมองของ ยูกิโตะ]
“ฉันขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้ต้องเข้ามาเหมือนอยู่แทรกกลางระหว่างคุยอะไรแบบนี้น่ะ” (มิซากิ)
“ผมเข้าใจล่ะ ก็คุณมีแขกนี่ งั้นเรามาเปลี่ยนเป็นวันอื่นไหมครับ?” (ยูกิโตะ)
“ไม่ ไม่เป็นไรหรอก พอดีฉันเสร็จธุระแล้วน่ะ” (มิซากิ)
แล้วฮิมิยามะซัง ก็ออกมาต้อนรับผมด้วยรอยยิ้มที่ดูเศร้าเล็กน้อย และมีรองเท้าของผู้ชายอยู่ที่ทางเข้าประตู ผมรู้ว่ามีคนมาเยี่ยมที่บ้าน แต่ว่าเป็นคนที่เธอรู้จักหรือเปล่านะ? หรืออาจเป็นทนายความ นักสอนศาสนา หรือไม่ก็พนักงานขายประกันชีวิต? อย่างไรก็ตาม มันก็มีชายที่หน้าตาน่าสงสัยวนเวียนอยู่หน้าอาคารอพาร์ตเมนต์เมื่อวันก่อน และฮิมิยามะซังนั้นก็อยู่คนเดียว ไม่มีวิธีใดที่จะดีไปมากกว่าการระมัดระวังตัว
“คุณคือ….?” (มิกิยะ)
ผมที่ได้เดินเข้าไปและก็ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ดูเหมือนเขาจะดูมีอารมณ์ที่รุนแรง มันดูไม่เหมือนสถานการณ์ที่น่ายินดี มันให้ความรู้สึกตึงเครียดระหว่างเขากับฮิมิยามะซัง
เอ๋ สถานการณ์แบบนี้มันคืออะไรเนี่ย?
ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ผมได้ให้คำตอบที่ทำให้ดูน่าสงสัยน้อยที่สุดไปเท่าที่ผมนั้นคิดได้
“ผมเป็นช่างไฟในเมืองนี้ครับ” (ยูกิโตะ)
“ช่างไฟ?” (มิกิยะ)
“ผมมาที่นี่เพื่อติดตั้งคอมพิวเตอร์น่ะ” (ยูกิโตะ)
“นี่ทำไมเธอ ถึงได้ดูเปลี่ยนคำพูดไปหน่อยๆเนี่ย ยูกิโตะคุง?” (มิซากิ)
“ก็ผมคิดว่ามันฟังดูแล้วผมก็จะเหมือนกับช่างไฟในท้องที่น่ะ” (ยูกิโตะ)
“ก็ไม่เชิงทีเดียวนะจ๊ะ” (มิซากิ)
“โอ้ เข้าใจแล้ว งั้นผมจะเลิกมันละ” (ยูกิโตะ)
แต่ดูชายคนนั้น ดูเหมือนจะเชื่อคำพูดของผมนะ ถึงไม่ว่าผมนั้นจะพูดไปแล้วดูเหมือนช่างไฟหรือไม่ก็ตามเถอะ
“งั้น นายคือเด็กที่มิซากิพูดถึง” (มิกิยะ)
“ผมเป็นเด็กจากบริษัทไฟฟ้า ต้องขอโทษที่ขัดจังหวะ ผมพร้อมทุกเมื่อเลยทันทีที่คุณพร้อมนะครับ” (ยูกิโตะ)
“ไม่เป็นไรจ๊ะ ยูกิโตะคุง ฉันเองก็ต้องการที่จะสามารถใช้งานมันได้โดยเร็วที่สุด มิกิยะซัง คุณช่วยกลับบ้านไปก่อนได้ไหม” (มิซากิ)
“โอ้ ใช่ แต่ว่ามิซากิ ฉันน่ะพูดจริงนะ ฉันจริงจังกับ—-” (มิกิยะ)
“มิกิยะซัง พอได้แล้ว!” (มิซากิ)
แล้วฮิมิยามะซังก็ขึ้นเสียงของเธออย่างเฉียบคมราวกับเป็นการปิดโอกาส
ชายคนนั้นดูคงจะแปลกใจกับคำพูดของเธอ แต่ก็ยืนขึ้นและมุ่งหน้าไปที่ประตู
“แล้วฉันจะกลับมาใหม่นะ มิซากิ” (มิกิยะ)
“มิกิยะซัง คุณรู้ว่าฉันกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เราน่ะจบธุระกันแล้ว” (มิซากิ)
ทั้งสองคนกำลังคุยกันด้วยเรื่องบางอย่างที่ประตูทางเข้า
ด้วยความที่ไม่อยากจะเข้าไปขัดจังหวะพวกเขา ผมก็เลยต้องปล่อยให้สายตาเหม่อลอยไปและก็ได้ไปเห็นแก้วบนโต๊ะ ถ้วยแก้วคู่จากชุดสองใบที่ดูคุ้นๆ และนั่นมันก็คงจะหมายถึงได้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
ฮ่า ฮ่า ผมเข้าใจล่ะ นี่มันฉากๆนึงในเรื่องเกี่ยวกับชู้สาวไม่ใช่รึไงกัน?
ผมเข้าใจแล้วกับสิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่! เฮ้ แล้วทำไมต้องให้ผมมารบกวนคุณแบบนั้นล่ะ ผมน่ะหวังว่าผมจะไม่ถูกลบออกจากการเป็นพยานที่ได้เห็นนะ ผมไม่ได้อยากที่จะติดอยู่ในดราม่ากลางวันแบบนี้หรอก ผมขอกลับบ้านตอนนี้เลยได้ไหม
พอฮิมิยามะซังได้กลับเข้ามา เมื่อเธอสังเกตเห็นการจ้องมองของผม เธอนั้นก็เริ่มตื่นตระหนก
“เธอเข้าใจผิดแล้วนะ ฉันไม่ได้เตรียมสิ่งนี้ไว้สำหรับมิกิยะซัง–” (มิซากิ)
“ไม่เป็นไรครับ คุณไม่ต้องบอกผม ผมก็เข้าใจ” (ยูกิโตะ)
“แต่ดูเหมือนเธอจะยังไม่เข้าใจนะ งั้นฉันจะบอกความจริงให้เธอฟังเอง คือมันเป็นเรื่องบังเอิญที่มิกิยะซังมาที่ได้มานี่ในวันนี้น่ะ และสิ่งที่เธอเห็นนี่ก็เป็นสิ่งที่ฉันเตรียมไว้สำหรับเธอนะ” (มิซากิ)
“ผมเป็นคนเข้าใจภาพรวมได้ดีนะครับ เพราะฉะนั้นโปรดอย่ากังวลไปเลย” (ยูกิโตะ)
“นั่นมันไม่ได้เรียกว่าเข้าใจภาพรวมเลยนะ เธอเข้าใจไหม?” (มิซากิ)
ผมเข้าใจในความรู้สึกผิดนี้ดี แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีนะ……แล้วด้วยความคิดนี้ ผมก็เริ่มหันแกะกล่องบรรจุภัณฑ์เพื่อที่จะเริ่มงาน
แต่ผมก็ยังคงไม่คิดว่าการนอกใจนั้นเป็นความคิดที่ดี……ด้วยความคิดนี้ในใจ ผมก็เริ่มฉีกบรรจุภัณฑ์ออกเป็นชิ้นๆ เพื่อแกะมัน
BTO นั้นย่อมาจากคำว่า Build To Order ซึ่งมันหมายถึงระหว่างผลิตภัณฑ์เชิงการค้าและผลิตภัณฑ์ที่ทำเอง สิ่งที่คุณจะต้องทำคือการปรับเลือกชิ้นส่วนต่างๆตามความต้องการของคุณ และไม่เลือกสำหรับชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็น ดังนั้นมันจึงใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง เนื่องจากคุณไม่เพียงแต่จะต้องประกอบติดตั้งคอมพิวเตอร์ของคุณเท่านั้น แต่ยังจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ต่อพ่วง อย่างเช่น เครื่องพิมพ์อีกด้วย มันเป็นแบบที่รวมเอาเครื่องสแกนไว้เข้าด้วยกัน ฮิมิยามะซังดูเหมือนจะเป็นคนประเภทที่ไม่คิดมากที่ใช้จะเงินไปกับการลงทุนเริ่มต้น
“ผมคิดว่าผมทำเสร็จแล้วล่ะ คุณแน่ใจว่าคุณใช้เป็นใช่ไหมครับ?” (ยูกิโตะ)
“ขอขอบคุณนะ ฉันเองก็ใช้คอมพิวเตอร์มาหลายครั้งแล้ว ฉันว่าสบายมาก” (มิซากิ)
แล้วฮิมิยามะซัง ก็ได้ชงกาแฟมาให้ผมแก้วนึง มันเต็มไปด้วยนมและน้ำตาลในแบบที่ผมชอบ แล้วผมก็นั่งลงบนโซฟา และก็เหมือนกับปกติทุกที เธอมานั่งอยู่ข้างๆ ผม ผมหนีมันไม่พ้นแฮะ…….
“ถึงอย่างนั้น คุณก็ดูค่อนข้างจริงจังนะครับ” (ยูกิโตะ)
“ฉันเองก็เริ่มคิดแล้วล่ะว่าฉันเองก็ควรที่จะพยายามให้มากกว่านี้นะ” (มิซากิ)
“อย่างนั้นเหรอครับ?” (ยูกิโตะ)
“ใช่จ๊ะ” (มิซากิ)
ผมคิดว่าไม่ได้ถามคำถามอะไรมากไปนะ แต่ผมแน่ใจว่าในทุกคนนั้นก็มักจะมีหนึ่งอย่างหรือสองอย่างที่พวกเขานั้นไม่ได้ต้องการจะบอกกับใคร ผมนั้นจำได้ว่าเธอนั้นบอกว่า เธอจะเริ่มทำงานเป็นติวเตอร์ที่โรงเรียนกวดวิชา ผมน่ะแน่ใจว่าฮิมิยามะซังจะต้องเป็นครูที่ดี และเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนแน่
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็รู้สึกว่าจะต้องพูดอะไรบางอย่างออกไป ผมก็เลยตัดสินใจ
“ผมขอโทษที่จะต้องเป็นคนบอกคุณในเรื่องนี้นะครับ แต่ผมคิดว่าคุณควรเลิกการนอกใจนะ” (ยูกิโตะ)
“ดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจฉันซะเลย ยูกิโตะคุง อุฟุฟุฟุ” (มิซากิ)
อุฟุฟุฟุ นั้นมันช่างดูน่ากลัวนา
อย่างไรก็ตาม ถ้าผมไม่ได้พูดออกไปตรงนี้ มันก็จะเป็นเธอเองที่จะต้องถูกทำร้ายในที่สุด ผมน่ะเป็นหนี้บุญคุณฮิมิยามะซังอยู่สำหรับความช่วยเหลือของเธอที่ผ่านมา ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะมาเกลียดผมในที่นี้ ฉันก็จะต้องพูด
“มันเป็นเรื่องที่จะทำให้คุณไม่มีความสุขนะ” (ยูกิโตะ)
“ก็อย่างที่บอก ไม่ใช่เรื่องชู้สาว…” (มิซากิ)
“ฮิมิยามะซัง!” (ยูกิโตะ)
แล้วผมก็หันไปหาเธอที่อยู่ข้างๆทั้งที่ยังอยู่ในอาการอึกอัก แล้วก็คว้ามือจับไปที่ไหล่ของฮิมิยามะซัง เธอดูจะตกใจ แต่ว่าผมก็ไม่ได้ใส่ใจ
“ผมน่ะไม่อยากให้คุณต้องเศร้าเสียใจนะ ฮิมิยามะซัง!”
“จะ-จ๊ะ อืม แต่มันก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ นั้นนะ” (มิซากิ)
“ผมแน่ใจว่าคุณจะต้องได้พบคนที่ดีกว่า” (ยูกิโตะ)
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ยูกิโตะคุง วันนี้เธอดูก้าวร้าวมากเลยนะ?” (มิซากิ)
“ก็ผมเป็นกังวลเกี่ยวกับคุณ!” (ยูกิโตะ)
“ฉะ ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะจัดการเรื่องต่างๆระหว่างมิกิยะซังให้เรียบร้อย ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้นะ…….” (มิซากิ)
ผมสงสัยว่าผมพอจะช่วยให้ฮิมิยามะ ได้หลุดพ้นไปจากโลกแห่งดราม่าเวลากลางวันแบบนี้ได้หรือเปล่า การที่จะมีชู้หรือความสัมพันธ์นอกใจนั้นมันไม่ใช่เรื่องดี มันจะไม่มีใครจะมีความสุขได้ ผมรู้ ถ้าหากคุณยังคงสานต่อความสัมพันธ์แบบนี้ต่อไป มันจะยิ่งกลายเป็นบาดแผลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วในที่สุดมันจะหวนกลับไปไม่ได้ มันเลยจำเป็นจะต้องหยุดถึงแม้ว่ามันจะเจ็บในตอนนี้ก็ตาม
ผมมองตรงเข้าไปในดวงตาของฮิมิยามะซัง แต่ไม่รู้เพราะอะไรผมน่ะสามารถบอกได้ว่าแก้มของเธอเริ่มออกจะมีสีแดงขึ้นมาเล็กน้อย
“ฉันเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะต้องมาสนใจฉันเลยนะ ยูกิโตะคุง ฉันเองก็ชอบที่เธอที่เป็นฝ่ายรุกนะ” (มิซากิ)
แล้วมือของฮิมิยามะซังก็ค่อยๆ โอบเข้าที่ด้านหลังผม
หืมมมม นี่ผมได้ทำอะไรพลาดไปรึเปล่าเนี่ย?
————————————————————–
[มุมมองของ มิซากิ ฮิมิยามะ]
ใบหน้าของฉันนั้นร้อนผ่าวราวกับถูกลนไว้ด้วยไฟ ใจของฉันนั้นก็ยังสั่นไม่หยุด
เขาก็ออกไปแล้ว แต่ฉันเองกลับไม่รู้สึกอยากจะทำอะไรเลย ฉันก็เลยทรุดตัวลงไปบนโซฟา
ฉันนั้นครุ่นคิดกับคำพูดที่ยังอยู่ในหัว “ผมไม่อยากให้คุณต้องเศร้าเสียใจนะ” เขาบอกแบบนั้น ฉันที่ได้ยอมแพ้อะไรไปมากแล้ว ฉันที่ยอมแพ้ให้กับความฝัน กับความรัก ฉันไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างเลย ก็ฉันไม่มีทางเลือกนี่ ฉันนั้นก็ไม่สมควรได้รับมันอยู่แล้ว มันได้กลายมาเป็นบรรทัดฐานและฉันก็ใช้ชีวิตมาจนถึงจุดนี้ด้วยความเฉี่อยชาเฉยเมยและด้วยความเกียจคร้าน
ฉันสงสัยว่านี่น่ะมันจะโอเคไหมนะ ที่จะมีความสุข และควรที่จะต้องการอะไรบ้าง……
ไม่มีใครเคยบอกฉันเลย มีแค่เขาเพียงคนเดียว
มันเป็นดั่งคำมั่นที่ไม่มีวันจะเข้าใจได้ผิด
ฉันน่ะคิดว่ามันคงจะสายเกินไป แต่ว่าไม่ มันไม่ใช่ มันยังไม่สายเกินไป
แต่ฉันกลัว เพราะตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็กลัวที่จะยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนในฐานะผู้ให้การศึกษา วิธีที่พวกเขานั้นมองมาที่ฉัน ดูเหมือนกับจะบอกว่าพวกเขาจะไม่มีวันยอมให้ฉันได้ยืนอยู่ที่นั่น ขาของฉันสั่น เสียงของฉันก็แหบหาย และจิตใจของฉันก็ถึงกับว่างเปล่า ไม่มีทางเลยที่ฉันจะเป็นครูในสภาวะแบบนั้นได้
แล้วฉันก็ลุกขึ้นและหยิบกล่องใบเล็กๆ ออกมาจากตู้
และในนั้นก็คือจดหมายที่ฉันส่งให้กับเขาไปไม่ได้ในวันนั้น
“จะพอให้โอกาสกับฉันอีกสักครั้งได้ไหม?” (มิซากิ)
ฉันได้เปิดมันออกมา เพราะฉันได้ถึงขีดจำกัดแล้ว ฉันทนกับความคิดที่จะเก็บซ่อนมันจากเขาต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมา ฉันก็จะยอมรับมันและก้าวต่อไป มาทิ้งอดีตนั้นไป เอาชนะมันซะ และจะได้พบกับความสุข ถ้าหากว่าฉันไม่เริ่มทำอะไรมันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาได้
และแล้วเวลาของฉัน ซึ่งได้ถูกหยุดเอาไว้ก็กำลังจะเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้งแล้ว
MANGA DISCUSSION