เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 592 บทสรุป (3)
สตรีในตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ก็ใช้ชีวิตผ่านกันมาแบบนี้ไม่ใช่หรือ
แน่นอนว่า ก่อนอื่นต้องทำให้ตนเองมีน้ำหนักในใจหัวหน้าตระกูลบ้างเล็กน้อย ถึงจะสามารถมีโอกาสไปปรากฏหน้าได้
วั่นจื่ออิ๋งที่คิดได้แล้ว ก็หัวเราะเบาๆ
“ชุนหลิ่ว เจ้าไปนำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวนั้นของข้ามา ได้ยินมาว่า ทุกวันหลังจากพักผ่อนยามบ่าย ฮูหยินผู้เฒ่าชอบไปเดินเล่นในสวน วันนี้พวกเราก็จะไปเช่นกัน”
“อืม” ผู้เป็นนายของตนเองคิดได้แล้ว ใบหน้าชุนหลิ่วก็เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเบิกบานใจ
หลายวันนี้ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ก็วันส่งท้ายปีเก่าแล้ว
หลายวันก่อนหน้านี้ มั่วเชียนเสวี่ยถูกประเพณีต่างๆ ต่างๆ ทรมานเกือบตาย
แม้ว่านางจะไม่ได้ปกครองเรือนหลัง แต่มีฐานะเป็นฮูหยินหัวหน้าตระกูล อธิษฐานขอพรให้ตระกูลหนิงมีความสุขความเจริญนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
วันส่งท้ายปีเก่านี้ไม่ได้หยุดพักเลยสักนาทีเดียว
วันปีใหม่ในตระกูลหนิงย่อมคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนไปๆ มาๆ ไม่ขาดสาย มาคารวะทักทายยามเช้า มาเพื่อขอของขวัญ มาดูเรื่องสนุก จำชื่อได้หรือจำชื่อไม่ได้ล้วนต้องรับมือทั้งนั้น
นางคิดถึงปีที่อยู่ในหมู่บ้านหวังจยาปีนั้นจริงๆ
แม้ว่าคนจะไม่เยอะขนาดนี้ และไม่ได้มีสิ่งของมากมายให้เสพสุข แต่ว่าทั้งสองคนนั่งโต้รุ่งกันเงียบๆ กลับมีความสุขที่สุดบนโลกแล้ว
ยุ่งวุ่นวายมาทั้งนั้น ในที่สุดก็เสร็จเสียที อาหารค่ำของคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไม่เพียงแต่ครอบครัวของหัวหน้าตระกูลจะกินอาหารร่วมกับฮูหยินผู้เฒ่า
แต่เหล่าผู้เป็นนายในจวนหนิงทั้งหมด…
วันแต่งงานวันนั้น คนที่ปรากฏตัวในห้องโถงล้วนมากันหมด และมีสตรีที่ไม่รู้จักอีกเยอะมาก มั่วเชียนเสวี่ยคิดว่าน่าจะเป็นอี๋เหนียงของแต่ละบ้าน
อี๋เหนียงไม่สามารถนั่งรับประทานอาหารร่วมกันบนโต๊ะพร้อมผู้เป็นนายได้ แต่ฉลองปีใหม่ย่อมต้องปรนนิบัติในห้องโถง แสดงถึงการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันของคนในครอบครัว
การฉลองปีใหม่มักจะเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา ผู้ที่ปกติกระทำความผิดย่อมได้รับการละเว้นโทษ ที่ถูกกักบริเวณก็ยกเลิกการกักบริเวณเช่นกัน
ดังนั้น สวี่หยวนหยวนย่อมถูกปล่อยออกมาเป็นธรรมดา
หนิงเซ่าชิงมีอนุภรรยาทั้งหมดสองคน แบ่งกันปรนนิบัติพวกเขาสองคนได้พอดี ย่อมยืนอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังพวกนาง
นางรูปโฉมไม่ด้อย หลังจากผ่านการประทินโฉมแต่งตัว ยืนนิ่งๆ อยู่ข้างวั่นจื่ออิ๋งโดยไม่ขยับเขยื้อน ก็งดงามไม่น้อย
ภายในห้องโถงจัดวางโต๊ะไว้สี่ตัว อาศัยฐานะความอาวุโสของหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อน สี่พี่น้อง หนึ่งครอบครัวต่อหนึ่งโต๊ะ
ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมนั่งโต๊ะเดียวกับพวกนาง
ด้านซ้ายของฮูหยินผู้เฒ่าคือหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อน ด้านข้างหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนคือหนิงเซ่าชิง
มั่วเชียนเสวี่ยนั่งอยู่ข้างซ้ายมือหนิงเซ่าชิง
ระหว่างหนิงเซ่าชิงกับมั่วเชียนเสวี่ยมีน้องสาวที่เป็นบุตรีอนุภรรยานั่งอยู่หลายคน
โต๊ะที่คึกครื้นที่สุดคือโต๊ะของนายท่านสี่
บุตรชายและบุตรีมาก อี๋เหนียงที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างเยอะยิ่งกว่า อีกทั้งยังแต่งกายงดงามหยาดเยิ้ม
โต๊ะที่คนน้อยที่สุดคือโต๊ะบ้านหนึ่งของนายท่านใหญ่
บนโต๊ะมีคนแค่สี่คน
อิ๋งเหล่าฮูหยิน นายท่านใหญ่ ฮูหยินใหญ่ หนิงเซ่าฟัง
หนิงเซ่าฟังอายุน้อย แม้ว่านายท่านใหญ่จะอายุมากแล้ว แต่ไม่มีแม้กระทั่งอนุภรรยา ดังนั้นจึงมีเพียงแค่สาวใช้คอยปรนนิบัติข้างๆ
คนที่ปรนนิบัติไม่ค่อยแยแสโต๊ะของนายท่านใหญ่ แต่กับโต๊ะของฮูหยินสี่นั้นกลับกระตือรือร้นมาก
ดูท่าในตระกูลใหญ่ ก็มีการประจบสอพลอต่อคนมีอำนาจ และเย็นชาต่อผู้สูญเสียอำนาจเช่นกัน
การที่สมาชิกในครอบครัวกินอาหารพร้อมหน้ากันในวันที่สามสิบของปี ได้มีการจัดเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแต่แรกแล้ว ครู่หนึ่ง อาหารก็ถูกลำเลียงมาไว้บนโต๊ะ
มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้น เตรียมไปปรนนิบัติหนิงเซ่าชิงกินอาหาร
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับดึงนางเอาไว้ ให้นั่งอยู่ข้างกายตนเอง
พร้อมกับหันไปสั่งวั่นจื่ออิ๋งที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“วั่นอี๋เหนียง ฮูหยินของเจ้าสุขภาพไม่ค่อยดี วันนี้ให้เจ้าเป็นผู้ปรนนิบัติหัวหน้าตระกูลของเจ้า เจ้าอย่าได้เลินเล่อเหมือนสวี่อี๋เหนียงในครั้งที่แล้วเล่า”
นางเอ่ยวาจากับวั่นจื่ออิ๋ง ทว่าสายตากลับมองมาที่หนิงเซ่าชิง
นัยน์ตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตา มีความนัยว่า ครั้งที่แล้วเจ้ากระทำการก่อกวน ย่าปล่อยเจ้าไป แต่คราวนี้อย่าได้ซุกซนอีก
วาจาและความนัยของฮูหยินผู้เฒ่าล้วนเต็มไปด้วยการเอาใจใส่ดูแลเขากับมั่วเชียนเสวี่ย ใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม
แม้หนิงเซ่าชิงจะไม่อยากให้มั่วเชียนเสวี่ยโกรธ แต่หลังจากคราวที่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ดีกับเขา และมั่วเชียนเสวี่ยมากมาโดยตลอด อีกทั้งตอนนี้ก็เป็นช่วงวันปีใหม่ เขาก็ไม่สะดวกที่จะไม่ไว้หน้าฮูหยินผู้เฒ่า
เขามองไปทางมั่วเชียนเสวี่ยอย่างขอร้อง
มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากทำให้หนิงเซ่าชิงลำบากใจ และคิดว่าแค่อาหารมื้อเดียว ต่อหน้าธารกำนัล วั่นจื่ออิ๋งจะทำอันใดได้ จึงทำตาขวางใส่เขาแวบหนึ่ง แล้วไปสนทนาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าต่อ
วั่นจื่ออิ๋งไปปรนนิบัติหนิงเซ่าชิง มั่วเชียนเสวี่ยยังกินอาหารอยู่บนโต๊ะ สวี่หยวนหยวนจึงทำได้แค่ปรนนิบัติมั่วเชียนเสวี่ย
สวี่หยวนหยวนโกรธแค้นคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งนัก
นางเกลียดมั่วเชียนเสวี่ยมานานแล้ว หากเป็นนิสัยแต่ก่อนของนาง คงพุ่งเข้าไปจัดการฉีกมั่วเชียนเสวี่ยเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว
อวี้กุ้ยเฟยฝึกสอนนางในวังครึ่งปี ทำให้นางเก็บงำนิสัยพวกนี้ไปได้
นางฝืนเค้นรอยยิ้ม คีบอาหารให้มั่วเชียนเสวี่ยคำหนึ่ง
แม้การกระทำจะไม่นับว่านุ่มนวล แต่ก็ถือว่าเหมาะสม
นางไม่อยากคีบอาหาร มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่อยากกินยิ่งกว่า
เพียงแค่เห็นสายตาของสวี่หยวนหยวนที่จับจ้องหนิงเซ่าชิงจนแทบจะกลืนกินเขาเข้าไป เพียงแค่คิดว่าครั้งนี้นางยังคิดจะจู่โจมหนิงเซ่าชิงในขณะที่อีกฝ่ายเผอเรอ มั่วเชียนเสวี่ยก็ยิ่งหงุดหงิดใจ
แต่ทว่า ไม่ต้องให้มั่วเชียนเสวี่ยคิดหาวิธีมาจัดการนาง
นางปรนนิบัติไปปรนนิบัติมา ก็เห็นใบหน้าที่ระบายรอยยิ้มหวานของวั่นจื่ออิ๋ง ตนเองจึงรู้สึกหงุดหงิด จิตใจไม่สงบ
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นน้ำแกงชามหลักยกเข้ามา ก็คิดว่าน้ำแกงจะต้องร้อนมากแน่นอน ดังนั้นจึงให้สวี่หยวนหยวนไปยกชามน้ำแกงของนาง แล้วกระซิบว่าน้ำแกงนี้ดูแล้วไม่เลวเลย ให้นางตักมาเยอะหน่อย
ความสนใจของสวี่หยวนหยวนอยู่ที่หนิงเซ่าชิง มั่วเชียนเสวี่ยบอกอะไร นางก็ทำอย่างนั้น
นางจะสังเกตเห็นว่าน้ำแกงเพิ่งยกเข้ามาเสียที่ไหน ทั้งยังไม่ทันระวังว่าน้ำแกงนั่นจะร้อนมาก และยิ่งไม่ได้สังเกตเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยกำลังอวยพรฮูหยินผู้เฒ่าโดยใช้ชาคารวะแทนสุรา
เดิมนางก็เป็นคุณหนูในตระกูลใหญ่ ได้รับการพะเน้าพะนอมาตั้งแต่เด็ก หลังจากตักน้ำแกงเสร็จแล้ว ก็เก็บมือกลับมา เตรียมจะนำไปไว้ตรงหน้ามั่วเชียนเสวี่ย
ไหนเลยจะรู้ว่าน้ำแกงนี้ร้อนเกินไป ลวกจนมือนางแสบร้อน ดังนั้นจึงปล่อยมือ
นางยังร้องว่าเจ็บปวด ร้อนมากอยู่ตรงนั้น
ในขณะเดียวกันนั้น ชามน้ำแกงกลับตกกระแทกระหว่างมั่วเชียนเสวี่ยกับฮูหยินผู้เฒ่า
พลันเกิดเสียงดังเพล้งขึ้นมาชั่วขณะ
น้ำแกงและเศษชามแตกกระจายไปทั่ว
ผู้ที่ถูกเล่นงานไม่ใช่มั่วเชียนเสวี่ย แต่เป็นฮูหยินผู้เฒ่า
ไม่ใช่ว่ามั่วเชียนเสวี่ยหลบได้เร็ว แต่หลบได้อย่างบังเอิญ
หลังจากนางกินยาที่หนิงเซ่าชิงให้นางในวันแต่งงาน การเคลื่อนไหวตอบโต้ก็เฉียบแหลมและว่องไวนานแล้ว
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ นางกำลังรอให้สวี่หยวนหยวนกระทำการผิดพลาดด้วยตนเองตลอดเวลา และคำนวณเรียบร้อยแล้วว่า น้ำแกงชามนี้นางยกไม่ได้แน่นอน
ดังนั้นน้ำแกงกว่าครึ่งในชามน้ำจึงสาดลงบนร่างของฮูหยินผู้เฒ่า
แน่นอนว่าอยู่ใกล้กันขนาดนี้ ถึงมั่วเชียนเสวี่ยจะหลบได้อย่างบังเอิญอย่างไร ก็ต้องเปรอะเปื้อนส่วนที่กระเด็นเล็กน้อยอยู่ดี
ฮูหยินผู้เฒ่าพลันลุกขึ้น มั่วเชียนเสวี่ยประคอง พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ดทำความสะอาดให้ฮูหยินผู้เฒ่า ปากก็ท่องว่า “ยิ่งล้มยิ่งดี อยู่เย็นเป็นสุขทุกปี ”
จิ้งฮูหยินที่ปรนนิบัติอยู่อีกด้าน ยิ่งโมโห “ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ”
นางชี้ไปที่สวี่หยวนหยวน พลางตวาดด่า “สตรีต่ำช้า เจ้าปรนนิบัติอะไรของเจ้า”
สวี่หยวนหยวนตกใจกลัว อย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้