เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 574 เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องบำรุงด้วยหรือ (3
เรื่องนี้จะโทษนางได้อย่างไร นางอยู่ในจวนหนิงมาสิบกว่าปี นางจะไปรู้ได้เช่นไรว่า สถานการณ์ตระกูลอวี่เหวินในตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่
อีกอย่าง พี่ใหญ่เป็นผู้มีอำนาจจัดการดูแลตระกูล ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้ แต่นางกลับรู้ดียิ่ง
นั่นเป็นบุรุษที่ปากเอ่ยวาจาไพเราะน่าฟัง แต่มือถือมีดเตรียมแทงข้างหลัง
ไม่เพียงเท่านี้ ยังเป็นพวกชอบกินแต่เกียจคร้านในการทำงาน และมักมากในตัณหาตั้งแต่เยาว์วัย
สาวใช้ที่รูปโฉมงดงามเล็กน้อยในคฤหาสน์คนไหนบ้างที่ไม่ถูกเขาร่วมหลับนอนด้วย
ได้ยินมาว่าระยะนี้สนใจในตัวคณิกาชาย มีเงินทองมากมาย ก็เกรงว่าจะถูกกินใช้จนหมด เกรงว่าตระกูลนั้นล้วนอาศัยพี่สะใภ้ค้ำยันเอาไว้
พี่สะใภ้เป็นคนจัดการดูแลครอบครัว เหล่าบุตรีอนุภรรยาสุขภาพอ่อนแอเจ็บป่วย นางจะจัดการอย่างไร?! สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ก็เกรงว่าจะเป็นเพราะบุตรีเหล่านี้สามารถผูกสัมพันธ์งานแต่งงานดีๆ ให้กับตระกูลอวี่เหวินได้ เพื่อสร้างอิทธิพลอำนาจให้กับบุตรชายของตนเองถึงได้อนุญาตให้มีชีวิตต่อไป
เอ่ยถึงตระกูลอวี่เหวิน เหมยฮูหยินกับจิ้งฮูหยินล้วนไม่กล้าเอาน้ำมันไปราดในกองไฟ[1] จึงเกลี้ยกล่อมกันสองสามประโยค ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้คลายโทสะลง
นางหันไปสั่งฉือหมัวมัว “ให้ครัวใหญ่เคี่ยวน้ำแกงโสมบำรุงร่างกายส่งไปให้เซ่าชิง”
“เจ้าค่ะ”
หนิงเซ่าชิงถูกกลิ่นหอมของอาหารรมให้ตื่น
มั่วเชียนเสวี่ยไม่เพียงแต่เคี่ยวข้าวต้ม นางกลัวว่าข้าวต้มจะเย็นเร็ว ก็นึกถึงหม้อไฟยุคปัจจุบันขึ้นมา
ดังนั้นจึงนำเตาที่ให้ความอบอุ่นกับมือวางไว้ใต้ข้าวต้ม ใช้ไฟอ่อนๆ อุ่นเอาไว้ กลิ่นหอมจึงลอยออกไป
“นี่คือสิ่งที่เจ้าเคี่ยวหรือ” หนิงเซ่าชิงลืมตาก็เห็นมั่วเชียนเสวี่ยจัดวางอาหารอยู่ที่โต๊ะ
“อืม” แม้ว่าจะมีชูอีคอยดูไฟ แต่วัตถุดิบล้วนเป็นนางที่ผสม เครื่องปรุงก็เป็นนางที่ใส่ สุดท้ายก็มีนางเป็นคนปรุงรส อิอิ…ย่อมนับว่านางเป็นคนทำ
หนิงเซ่าชิงที่ได้กลิ่นหอม ท้องก็ส่งเสียงร้องจนหมดความสง่างาม
มั่วเชียนเสวี่ยเหลือบตามอง พลางหัวเราะเบาๆ “หิวแล้วล่ะสิ ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก”
เดิมก็สวมเสื้อผ้านอน หนิงเซ่าชิงลุกขึ้น พริบตาเดียวก็ไปนั่งที่โต๊ะ
สูดลมหายใจลึก นี่คือกลิ่นหอมของอาหารที่คุ้นเคย
“อาหารจานนี้ก็มีเจ้าเป็นคนผัด?”
“แน่นอน”
“ไม่ได้กินอาหารที่เจ้าทำนานมากแล้ว”
“หลังจากนี้ขอเพียงแค่ท่านอยาก ข้าจะทำให้ท่านกินทุกวัน”
หนิงเซ่าชิงจ้องมอง พลางดึงมั่วเชียนเสวี่ยมานั่งบนตักตนเอง “มีเจ้าแล้วดีจริงๆ”
มีฮูหยินตระกูลใดล้างมือต้มน้ำแกงในวันที่เป็นเจ้าสาววันแรก แล้วมีฮูหยินตระกูลใดที่มีฝีมือการทำอาหารเหมือนกับนาง
มั่วเชียนเสวี่ยมองเขานิ่งๆ “ควรจะกล่าวว่ามีท่านแล้วดีจริงๆ”
แสงไฟเหลืองนวล ระลอกคลื่นแห่งความปรารถนาอันอุ่นร้อนค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นภายในห้องทั้งอย่างนี้
มั่วเชียนเสวี่ยถูกมองจนเขินอายเล็กน้อย ทั้งยังเป็นห่วงว่าหนิงเซ่าชิงจะหิวมาก จึงเป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อน “มองแล้วทำให้ท้องอิ่มได้หรือ” หนิงเซ่าชิงถูกนางหยอกเล่นจนหัวเราะเสียงดัง
เสียงหัวเราะสบายอกสบายใจเช่นนี้ปรากฏขึ้นบนตัวเขาน้อยมาก มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นจากตักเขา หยิบตะเกียบคีบอาหารให้เขา “รีบกินเถอะ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”
แม้ว่าในห้องจะอบอุ่น จานที่ใส่อาหารก็ผ่านการต้มน้ำเดือดมาเพื่อไม่ทำให้อาหารเย็นเร็วเกินไป แต่สุดท้ายมั่วเชียนเสวี่ยก็ยังเป็นห่วงว่าหนิงเซ่าชิงจะเหนื่อยเกินไป ตอนเช้ากับกลางวันก็ไม่ได้กินดีๆ จะทำให้เสียสุขภาพได้
หนิงเซ่าชิงหยุดหัวเราะ “อืม”
ต่อมา อาหารมื้อนี้ก็กินกันเงียบมาก และอบอุ่นมาก
ไม่รู้ว่าหิวเกินไป หรือว่าข้าวต้มของมั่วเชียนเสวี่ยเคี่ยวได้อร่อยมาก ทั้งสองคนแทบจะกินข้าวต้มหม้อหนึ่งจนหมด อาหารเรียกน้ำย่อยบนโต๊ะก็กินไปพอสมควร
เพิ่งจะกินข้าวเสร็จ ข้างนอกก็มีฉือหมัวมัวที่ได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่าก็มาส่งน้ำแกงโสม
บอกว่าชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปให้กับหนิงเซ่าชิง
เพียงแต่น่าเสียดายที่ฮูหยินผู้เฒ่าอาศัยอยู่ในเรือนหลังมาชั่วชีวิต มีวิธีจัดการสตรีที่ดีมาก แต่สำหรับบุรุษ แม้ว่าจะเป็นหลานชายของนาง นางก็ไม่เข้าใจ
สิ่งที่บุรุษเกลียด กลัว และรำคาญที่สุดก็คือมีคนบอกว่าเขาไม่ไหว โดยเฉพาะหนิงเซ่าชิงที่เป็นบุรุษประเภทภายนอกสุภาพสงบนิ่ง แต่ภายในเร่าร้อน
เพิ่งจะแต่งงาน ก็บอกว่าเขาสุขภาพไม่ดี ส่งน้ำแกงบำรุงมาให้เขา ทั้งยังเป็นน้ำแกงโสมอีกด้วย
ความหมายในนั้นปรากฏชัดเจน หนิงเซ่าชิงจึงมีสีหน้าทะมึนทันที
มั่วเชียนเสวี่ยก้าวเข้าไปไกล่เกลี่ย นางไม่อยากดึงหนิงเซ่าชิงเข้ามาในสงครามระหว่างนางกับฮูหยินผู้เฒ่า
หนิงเซ่าชิงไร้มารดาตั้งแต่วัยเยาว์ ฮูหยินผู้เฒ่าให้การดูแลเขาเยอะมาก นางไม่อยากให้หนิงเซ่าชิงลำบากใจ ยิ่งไม่อยากให้หัวใจที่อบอุ่นของหนิงเซ่าชิงได้รับบาดเจ็บอีก
มั่วเชียนเสวี่ยขอบคุณฉือหมัวมัวแล้ว ก็ให้ฉือหมัวมัวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าแทนนางด้วย
ซุนหมัวมัวเห็นว่ามีโอกาสก็รีบหยิบเหอเปาออกมาให้รางวัลฉือหมัวมัว
ฉือหมัวมัวจากไปแล้ว ซุนหมัวมัวย่อมต้องไปส่ง
มั่วเชียนเสวี่ยวางน้ำแกงไว้บนโต๊ะ และหัวเราะเสียงดังอย่างหมดภาพลักษณ์
เจ้าหมอนี่ ยังต้องกินน้ำแกงบำรุงประเภทนี้ด้วยหรือ คนที่สมควรจะดื่มน้ำแกงบำรุงน่ะคือนาง
“อยากจะดื่มสักหน่อยไหม”
“เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องบำรุงหรือ”
“เอ่อ…” มั่วเชียนเสวี่ยถูกทำให้สำลัก
สายตาของหนิงเซ่าชิง ให้ความรู้สึกว่าหากว่ามั่วเชียนเสวี่ยกล้าเอ่ยว่าจำเป็น ก็จะกัดนางตายคาเตียงอย่างนั้นแหละ
มั่วเชียนเสวี่ยไอแห้งๆ เล็กน้อย นางเป่าน้ำแกงชามนั้นเบาๆ “ท่านไม่ดื่ม ข้าช่วยท่านดื่มก็เหมือนกัน”
หากไม่ดื่มน้ำแกงบำรุงชามนี้ก็สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าหากนางดื่มลงไปจะเลือดกำเดาไหลหรือไม่
หนิงเซ่าชิงยิ่งมีสีหน้าทะมึน แย่งชามมาวางไว้บนโต๊ะ
“เจ้า…หากเจ้าต้องบำรุง…”
ขณะที่เอ่ย สีหน้าทะมึนของหนิงเซ่าชิงก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอบอุ่น หลังจากนั้นก็จ้องมั่วเชียนเสวี่ยเขม็ง จริงจังอย่างยิ่ง “วันหลังข้าจะให้คนเขียนเทียบยาให้เจ้าใหม่ นี่ไว้ให้บุรุษกิน”
“หนิงเซ่าชิง…ท่าน…”
ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
กลางดึก ข้างนอกหิมะตกหนักมาก ทั้งสองคนกอดกันอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น
หนิงเซ่าชิงกอดมั่วเชียนเสวี่ยจากด้านหลัง มั่วเชียนเสวี่ยเล่าเรื่องในหนังสือออกมา
บางครั้งอ่านถึงจุดที่มีความรู้สึกเหมือนกัน ทั้งสองคนก็จะสบตากันแล้วหัวเราะ
การดำรงชีวิตที่เงียบสงบ ชั่วชีวิตนี้มั่นคงปลอดภัย
แต่ทว่าเมื่อถึงช่วงเวลากลางคืน ก็ปรากฏเสียงที่ไม่เข้าพวกดังขึ้นครู่หนึ่ง “ปักๆๆ…” หลังจากเสียงนั้นผ่านไป…
“ข้าหวังดีเคี่ยวข้าวต้มให้ท่านกิน เพื่อบำรุงร่างกายท่าน เพื่อให้ท่านมาทรมานข้าหรือ”
“เจ้าเป็นคนบอกเองว่า ทำให้สามีผิดหวังในคืนแรกที่ส่งตัวเข้าหอ คืนนี้ต้องชดเชยให้สามี!”
“แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้ อ๊า…ฮือๆ นี่มันกี่ครั้งแล้ว เอวของข้าใกล้จะถูกท่านทำให้หักแล้ว”
“ข้าไม่ได้ให้เจ้าขยับ เป็นเจ้าเองที่สุดท้ายต้องการจนทนไม่ไหว ยังจะมาโทษข้า…”
“ท่าน…ไม่ใช่ว่าถูกคนชั่วร้ายเช่นท่านกระตุ้นหรือไง…ท่านมันคนชั่วร้าย…ท่าน…อุ๊บ…”
ฟ้าสว่างเล็กน้อย ก็มีเสียงต่างๆ ดังขึ้น มั่วเชียนเสวี่ยก็ตื่นนอนแต่เช้าเช่นกัน
เป็นสะใภ้ของผู้อื่น ก็ไม่เหมือนตอนอยู่ที่จวนกั๋วกงที่สามารถนอนจนตื่นขึ้นมาเองตามธรรมชาติได้
ทว่าเมื่อก่อนตอนอยู่หมู่บ้านหวังจยา นางก็ไม่ได้เหมือนกับคนอื่นหรอกหรือ ไก่ร้องขัน ต้องจุดไฟทำอาหาร ทำงานบ้าน ทำเต้าหู้อะไรพวกนี้
วันนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว นางยังมีอะไรให้บ่นกัน
สภาพแวดล้อมหนึ่ง ก็มีวิธีการใช้ชีวิตแบบหนึ่ง นางพอใจในสิ่งที่ตนเองมีมาโดยตลอด
วันนี้แต่งงานเป็นวันที่สาม ตามกฎ หลังจากคารวะฮูหยินผู้เฒ่า นางก็สมควรกลับจวนกั๋วกงแล้ว
[1] เอาน้ำมันไปราดในกองไฟ เป็นการเปรียบเปรยถึงการทำให้สถานการณ์ที่ย่ำแย่อยู่แล้วเลวร้ายลงไปอีก