เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 506 ความวุ่นวายในพิธีหมั้น (1)
อย่างไรเสียหนิงเซ่าชิงก็เป็นลูกชายที่เขาภาคภูมิใจที่สุด ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยนั้น นายท่านก็เคยชมต่อหน้านางไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งด้วย
พวกนางยืดเวลาออกไปเช่นนี้ คิดจริงๆ หรือว่าจะยังสามารถยื้อไว้ได้นาน
“เรื่องนี้ก็เอาตามนี้แล้วกัน!” เหมยฮูหยินกับจิ้งฮูหยินรับปากว่าจะไม่มีทางเอ่ยออกไปเด็ดขาด จากนั้นหนิงเหล่าฮูหยินก็เบนสายตามามองจื่อฮูหยิน
“จื่อหลิ่ว เจ้าล่ะ!”
จื่อฮูหยินรีบลุกขึ้นค้อมกายคำนับให้หนิงเหล่าฮูหยิน ก่อนเอ่ยรับปากว่า “ข้าก็ไม่มีทางเอ่ยออกไปเช่นนี้เจ้าค่ะ เหล่าฮูหยินวางใจได้”
“โอ้! คงไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไปกระมัง”
จื่อฮูหยินเพิ่งจะตกคำรับปากออกไป ทางเหมยฮูหยินก็ปิดปากหัวเราะขึ้นเบาๆ ทันที ในน้ำเสียงเหน็บแนมอย่างปิดไม่มิด
“นายท่านรั้งพักอยู่ที่เรือนจื่อหว่านทุกค่ำทุกคืน เกิดวันดีคืนดีเจ้าเป่าหูข้างหมอนนายท่านขึ้นมา เช่นนั้นคำสัญญาของพวกเราจะไม่สูญเปล่าหรอกรึ”
ประโยคนี้มีเหตุผล!
หนิงเหล่าฮูหยินมองจื่อฮูหยินด้วยแววตาคมกริบ ราวกับว่าจื่อฮูหยินทำลายแผนที่นางวางไว้เรียบร้อยแล้วอย่างไรอย่างนั้น!
จื่อฮูหยินรับมือกับวาจาเหน็บแนมไม่ไว้หน้าของเหมยฮูหยินด้วยไร้สีหน้าพลุ่งพล่านใดแม้แต่น้อย นางฟังถ้อยคำที่อีกฝ่ายเอ่ยจบอย่างเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “หากท่านพี่เป็นกังวล เช่นนั้นน้องจะรั้งพักอยู่ที่นี่กับเหล่าฮูหยินตั้งแต่วันนี้เลยเจ้าค่ะ”
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าหลายปีมานี้เหล่าฮูหยินเอ็นดูจื่อฮูหยินเพียงคนเดียว เห็นจิ้งฮูหยินกับเหมยฮูหยินเป็นอากาศธาตุ
ส่วนพวกนางสองคนไร้สมองกันยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนายท่านจึงได้ทำกับพวกนางเช่นนี้ คิดแต่ว่านังจิ้งจอกจื่อหลิ่วยั่วยวนนายท่าน พวกนางจึงได้โกรธมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วมาฟ้องกับทางเหล่าฮูหยิน
ทว่าพวกนางไม่มีใครรู้ว่าความจริงแล้วสาเหตุที่นายท่านไม่ชอบพวกนางก็เป็นเพียงเพราะพวกนางสองคนเกิดจากตระกูลอวี่เหวินก็เท่านั้นเอง
“เช่นนั้นก็ดี…”
“ไม่ต้องหรอก!”
ทางเหมยฮูหยินกำลังจะเห็นด้วยที่จื่อฮูหยินจะรั้งอยู่ที่เรือนฉือหนิงอย่างเบิกบานใจ ทว่ากลับถูกหนิงเหล่าฮูหยินห้ามไว้
“เจ้ากลับไปที่เรือนจื่อหว่านของเจ้าดีกว่า ข้ายังคงไว้ใจเจ้าอยู่!”
ขิงแก่ย่อมเผ็ดร้อน!
เหมยฮูหยินคิดแค่ว่าตราบใดที่จื่อหลิ่วนังแพศยานี่รั้งพักอยู่ที่เรือนฉือหนิง เช่นนั้นขอแค่นางใช้แผนนิดหน่อย นายท่านต้องไปเรือนเหมยหยวนของนางแน่!
แต่หนิงเหล่าฮูหยินกลับไม่คิดเช่นนั้น!
หากจื่อหลิ่วรั้งอยู่ที่นี่ แม้ว่าจะมีเหตุผลเหมาะสมบอกว่าอยู่เป็นเพื่อนนางอะไรทำนองนั้น แต่ตราบใดที่เป็นคนมีสมองก็จะเข้าใจได้ว่าที่จื่อหลิ่วรั้งอยู่ที่นี่ย่อมเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างแน่!
เพื่อไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่น นางจึงจำต้องให้จื่อหลิ่วกลับไปที่เรือนจื่อหว่านของตัวเอง
…
ณ ห้องทรงพระอักษรในวังหลวง
ฝ่าบาทนั่งตัวตรงอยู่หลังโต๊ะหนังสืออย่างน่าเกรงขาม นิ้วหมุนแหวนหยกบนนิ้วหัวแม่มืออย่างช้าๆ สีพระพักตร์คล้ายกำลังคิดบางอย่างอยู่
ที่นั่งเบื้องล่างของพระองค์มีน้องชายอย่างเจิ้นหนานอ๋องยืนอยู่ เขาเพิ่งจะกลับมาจากชายแดนทางใต้
ในห้องทรงพระอักษรมีแค่พวกเขาสองคน
เงียบงันยิ่งนัก
แม้ว่าจะเป็นลู่กงกงที่เป็นคนสนิทของฮ่องเต้ยามนี้ก็ยังไม่ได้รับเกียรติให้แอบฟังบทสนทนาระหว่างพวกเขาพี่น้องเลย
เจิ้นหนานอ๋องท่าทางราวๆ สามสิบกว่าปี รูปร่างแข็งแรงกำยำ ดูแล้วเหมือนจะหนุ่มกว่าฮ่องเต้มากนัก
เพียงแต่มองดูแล้วฮ่องเต้จะสุขุมนุ่มลึก แต่เจิ้นหนานอ๋องดูโหดเหี้ยม
แม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาที่เขม็งเกร็งอยู่ตลอดก็ยังไม่คลายลงเลยสักนิด แววตาดำทะมึน ซ้ำมุมปากยังแฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายทำเอาคนไม่กล้าสบตาด้วยตรงๆ
อย่างไรเสียในศึกแย่งชิงบัลลังก์ปีนั้น คนที่สามารถรอดชีวิตมาได้ล้วนไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาอะไรอยู่แล้ว
หากมิใช่เพราะมีแผนการ ไหนเลยจะสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งเจิ้นหนานอ๋องภายใต้อำนาจของฝ่าบาทในยามนี้ได้
“เสด็จพี่ ขอโปรดทรงแถลงเรื่องนี้ให้ชัดเจนด้วย!”
เจิ้นหนานอ๋องเห็นว่านานเพียงนี้แล้วฮ่องเต้ยังไม่ตรัสอะไรสักคำ จึงอดร้อนรนขึ้นมาไม่ได้ เขาค้อมกายประสานมือทูลไปอย่างจริงใจ
สำหรับเจิ้นหนานอ๋องแล้ว แม้จะมีหรือไม่มีตำแหน่งฮ่องเต้ก็ได้ เพราะเขาเฝ้ารักษาการณ์ที่ด่านใต้ เขาอยู่นั่นก็เป็นราชาเจ้าถิ่นอยู่แล้ว แต่คนบางคนกลับไม่อาจกำจัดได้
เช่นเดียวกับข่าวลือที่เขาได้รับมา ไอ้พวกหนิงเซ่าชิงผู้นั้นกับมั่วเชียนเสวี่ยน่ะ ล้วนต้องตายให้หมด
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนฆ่ามั่วกั๋วกง แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย
เขาเชื่อมาโดยตลอดว่าตัดหญ้าต้องถอนโคนด้วย
ในเมื่อผิดพลาดไปแล้ว เช่นนั้นก็กำจัดข้อผิดพลาดนี้ให้ราบเสีย!
มั่วเทียนฟ่างสั่งสอนได้ถูกต้อง ชาวชายแดนตะวันตกล่วงเกินด้วยยาก หากพวกเขาต้องการจะหาเรื่องอีกฝ่าย เรื่องก็จะเงียบได้ยาก…
ความน่าเกรงขามของราชวงศ์จะมาท้าทายไม่ได้ง่ายๆ
ยิ่งไปกว่านั้นหนิงเซ่าชิงกับมั่วเชียนเสวี่ยก็ยื่นมือเข้ามาสอดเกินไปแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของพวกนั้นส่งผลกระทบต่อความน่าเกรงขามของราชวงศ์เขาอย่างร้ายแรง เขาจึงต้องกำจัดทิ้ง
อีกทั้งฝ่าบาทก็ทรงคิดเช่นเดียวกัน เหตุใดจึงไม่ผลักดันให้ฝ่าบาทออกหน้านำให้เขาไปจัดการ แล้วให้ฝ่าบาทหลบอยู่ข้างหลังพักฟื้นกำลังให้ยิ่งใหญ่ล่ะ
ฮ่องเต้คิดอย่างไร
พระองค์ย่อมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกมั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงจะตกตายกันไปให้หมดอยู่แล้ว
ทว่ายามนี้ป้ายไม้ดำอยู่ในมือมั่วเชียนเสวี่ย พวกชาวชายแดนตะวันตกเหล่านั้นล้วนเชื่อฟังมั่วเชียนเสวี่ย กองทัพหลายแสนนายพวกนั้นก็ไม่ใช่ของเล่น
ฮ่องเต้คิดมาถึงตรงนี้ก็วางมือที่เล่นแหวนลง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเจิ้นหนานอ๋องนิ่งๆ
“ช้าก่อน เรื่องนี้ไม่รีบร้อน ที่ข้าเรียกเจ้ากลับเมืองหลวงมาตอนนี้ เชื่อว่าเจ้าก็รู้ว่าเพราะเหตุใด”
“หนานหลิงมารุกรานชายแดนครั้งแล้วครั้งเล่า เจิ้นหนานอ๋องอย่างเจ้าควรสร้างผลงานอะไรให้แก่ข้าดูบ้างมิใช่รึ!”
ฟุ่บ!
เจิ้นหนานอ๋องได้ยินดังนั้นก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที เขาค้อมกายประสานมือเอ่ยว่า “ดวงใจกระหม่อม ฟ้าดินเป็นพยานได้ หนานหลิงไอ้พวกระยำเหิมเกริมได้อีกไม่นานหรอกพ่ะย่ะค่ะ รอให้กระหม่อมนำทัพกลับหนานหลิงก่อน จะสังหารพวกมันชาวหนานหลิงให้เกลี้ยงเลย”
ฮ่องเต้ได้ยินถ้อยคำฮึกเหิมห้าวหาญเช่นนี้ สีพระพักตร์ที่เดิมทีบึ้งตึงก็มีรอยยิ้มจางๆ
ถ้อยคำเมื่อครู่ของฮ่องเต้เพียงแค่ลองหยั่งเชิงดูเท่านั้น พระองค์ไม่ได้จะให้เจิ้นหนานอ๋องสร้างผลงานต่อต้านการรุกรานของหนานหลิง แต่ต้องการให้เจิ้นหนานอ๋องมอบคำพูดที่หนักแน่นให้แก่พระองค์
เหมือนกับการต้องการได้ของสักชิ้น ก็ต้องให้คนเขารับปากก่อนจึงจะได้ของสิ่งนั้นมาไว้ในมืออย่างราบรื่น
ตอนนั้นพระองค์ไว้ชีวิตเจิ้นหนานอ๋องก็เพราะเขาเคยสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อพระองค์ตลอดชีวิต จะไม่มีทางเกิดความคิดหักหลังขึ้นแน่นอน
“ดี!” ฝ่าบาทเบิกบานพระทัย พระองค์ลุกขึ้นเดินไปยังข้างกายเจิ้นหนานอ๋อง ก่อนก้มลงไปประคองเจิ้นหนานอ๋องให้ลุกขึ้นด้วยพระองค์เอง
“เสด็จน้อง แผ่นดินของเทียนฉีแห่งนี้คงต้องพึ่งพาเจ้าและบรรดาลูกหลานของเจ้าแล้ว!”
เจิ้นหนานอ๋องเฝ้ารักษาการณ์ชายแดน และหนานหลิงเป็นขอบเขตดินแดนหลัก เช่นเดียวกับชายแดนตะวันตกที่ด้านหลังล้วนมีแคว้นอื่นคอบจ้องจะตะครุบ ชายแดนตะวันตกมีชาวชังเฝ้ารักษาการณ์ ส่วนหนานหลิงมีเจิ้นหนานอ๋องเฝ้ารักษาการณ์!
ถ้อยคำนี้ของฮ่องเต้ชัดเจนยิ่ง
หากเฝ้ารักษาการณ์ชายแดนใต้ ลูกหลานของเจ้าย่อมมีเกียรติไร้ที่สิ้นสุด ตรงกันข้ามแม้ว่าจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขตระกูลกู ข้าก็ไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย!