เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 420 มีเพียงคนเดียวที่ถอนตัวไปได้อย่างปลอดภัย (1)
ข้างในนอกจากเสียงเปลวเพลิงลุกไหม้แล้วก็ไม่มีเสียงอื่นๆ สักนิดเดียว
เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำเช่นนี้ ไม่มีเสียงผู้คนก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว
ลักษณะเพลิงไหม้เช่นนี้ ดับไฟไปก็ไร้ประโยชน์ ข้ารับใช้และเหล่าองครักษ์สบตากันและพากันร้องไห้ออกมาทันที
เหล่าข้ารับใช้ร้องไห้เพราะว่าพวกเขาถือจวนกั๋วกงเป็นบ้าน ยามนี้บ้านพบกับภัยพิบัติ พวกเขามีเจ้านายและมีคนในครอบครัว ภัยพิบัติในครั้งนี้มีคนล้มตายและได้รับบาดเจ็บนับไม่ถ้วน จึงเกิดความรู้สึกโศกเศร้าใจขึ้นมาทันที
มั่วเหยียนกับมั่วสิงร้องไห้เพราะปฏิบัติภารกิจที่นายท่านมอบให้ไม่สำเร็จ
เหล่าทหารกล้าที่มาจากชายแดนตะวันตกร้องไห้เพราะสายเลือดสุดท้ายของวีรบุรุษที่พวกเขาเคารพรักมาที่สุดต้องสูญสิ้นในกองเพลิง
เผชิญหน้ากับเสียงร่ำไห้เหล่านี้ สุดท้ายแล้วองครักษ์ลับซึ่งรอดชีวิตที่ตามมาแต่ละคนก็หมดอาลัยตายอยาก
จวนกั๋วกงถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง เสียงดังขนาดนี้ สร้างความตกอกตกใจให้กับผู้ที่อาศัยอยู่รอบๆ ทางหนึ่งก็ดับไฟ อีกทางก็ส่งคนไปแจ้งที่ว่าการท้องถิ่น…หน้าที่ลาดตระเวนเมืองหลวงในยามค่ำคืนเป็นของจวนแม่ทัพเก้าประตูเสมอมา
จวนแม่ทัพเก้าประตูที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนี้เป็นใต้เท้าน่าพอดี และในวันนี้จวนแม่ทัพกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ รอจนกระทั่งมีคนมาแจ้งถึงได้ส่งคนไปสืบสาวราวเรื่อง
รอจนหนิงเซ่าชิงได้รับข่าวสารแล้ว ตอนที่ห้อตะบึงไปถึง ไฟก็ดับไปแล้ว หรือจะกล่าวว่าจวนกั๋วกงไม่มีสิ่งใดที่จะไหม้ได้อีกแล้ว เพราะว่าพวกมันถูกเผาราบเป็นหน้ากลอง หลงเหลือเพียงแค่เศษซากกำแพงอันทรุดโทรม ดำเป็นตอตะโกไปทั่วทุกแห่ง
เมื่อทัศนียภาพดังกล่าวปรากฏเข้าสู่สายตา หนิงเซ่าชิงที่คลุ้มคลั่งก็หัวใจแตกสลาย ร้อนรน บ้าคลั่ง สับสน เจ็บปวด กังวล เดือดดาล…คำเหล่านี้ล้วนมิอาจอธิบายสภาพจิตใจของเขาได้
แต่ ในตอนที่เขากำลังจะพุ่งเข้าไปตามหาร่างของมั่วเชียนเสวี่ย มั่วเหยียนและมั่วสิงที่รอดจากหายนะในครั้งนี้กลับเดินเข้ามาคุกเข่ารายงานด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “คุณหนูใหญ่มั่ว…จากไปแล้ว นายท่านโปรดระงับความเสียใจด้วยขอรับ”
ดวงจันทราลอยเด่นอยู่กลางนภาในค่ำคืนอันโหดร้าย
ความเงียบงันในเมืองหลวงถูกเรื่องใหญ่โตนี้ทำลายลง อึกทึกครึกโครมเกินกว่าจะรับไหว จวนแม่ทัพเก้าประตูออกคำสั่งใช้กฎอัยการศึกทั่วเมือง
ภายในเรือนที่ลับตาผู้คนกลางเมืองหลวง หัวหน้าตระกูลมั่วเดินไปเดินมา ภายในห้องยังมีผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรอง
“พวกเขาสามคนทำอันใดกัน เหตุใดถึงยังไม่ส่งคนมาอีก”
เดิมนี่เป็นพระบรมราชโองการลับของฮ่องเต้ หัวหน้าตระกูลมั่วยังไม่อยากให้ผู้อาวุุโสใหญ่กับผู้อาวุุโสรองรู้
แต่มั่วจื่อฮว่ากับมั่วจื่อเยี่ยที่เข้าร่วมกระทำการเป็นหลานชายที่เกิดแต่ภรรยาเอกของผู้อาวุุโสใหญ่กับผู้อาวุุโสรอง จึงทำได้เพียงแค่แจ้งให้ทั้งสองคนทราบ
หัวหน้าตระกูลมั่วที่เดินไปถึงประตูหันกลับมามองผู้อาวุโสรอง “ไม่อย่างนั้นส่งคนไปให้การสนับสนุนอีก…”
ผู้อาวุุโสรองสบตาแวบหนึ่ง ความจริงแล้วในใจพวกเขาก็ร้อนรน แต่ตอนนี้กลับทำได้เพียงแค่โน้มน้าวปลอบใจ “รออีกสักพักเถอะ แม้ว่าท่านผู้นั้นจะจัดการเรื่องทั้งหมดที่ต้องดำเนินการในจวนกั๋วกงเรียบร้อยแล้ว แต่เหล่าองครักษ์ในจวนกั๋วกงก็ไม่ใช่พวกไร้ความสามารถ ไม่แน่ว่าตอนนี้ต่างฝ่ายต่างกำลังไม่ยอมอ่อนข้อให้กันอยู่ก็ได้…หากมีคนรู้เรื่องนี้เยอะเกินไปกลับไม่เป็นผลดี…”
หัวหน้าตระกูลมั่วพยักหน้า “ก็ถูก!” จากนั้นก็หมุนตัวเตรียมไปนั่งอีกครั้ง
ทว่าด้านนอกกลับมีคนพุ่งเข้ามา “หัวหน้าตระกูล ไม่ดีแล้ว ไฟไหม้จวนกั๋วกงแล้วขอรับ”
หัวหน้าตระกูลมั่วยังไม่ทันจะนั่งลง และไม่ทันจะได้ตำหนิคนสนิทที่บุ่มบ่ามมารายงานผู้นี้ ก็ต้องทรมานใจเสียแล้ว “ยังไม่รีบไปดับไฟอีก”
คนสนิทผู้นั้นคุกเข่าลงกับพื้น “เพลิงไหม้รุนแรงเกินไป ได้ยินมาว่าจวนกั๋วกงไหม้เป็นเถ้าถ่านในพริบตาเดียวเลยขอรับ”
หัวหน้าตระกูลมั่วตาเบิกกว้าง
ไหม้เป็นเถ้าถ่านในพริบตาเดียว?
นี่ใช้…น้ำมันหรืออย่างไรกัน?!
จวนกั๋วกง! ตำแหน่งบรรดาศักดิ์กั๋วกงคือเกียรติยศของตระกูลมั่ว หากไม่มีจวนมั่วแล้ว ก็ยังมีคฤหาสน์ เมื่อสิ้นคฤหาสน์แล้ว ก็ยังสามารถสร้างใหม่ได้
แต่จวนกั๋วกงเป็นคฤหาสน์ที่ฮ่องเต้ปูนบำเหน็จให้กับเจิ้นกั๋วกง ถ้าหากว่าถูกไหม้จนไม่เหลือแล้วจริงๆ พวกเขาตระกูลมั่วก็ไม่มีอำนาจในการสร้างขึ้นมาใหม่!
หัวหน้าตระกูลมั่วตะคอกเสียงดังด้วยความเดือดดาล “เป็นผู้ใด”
คนสนิทตอบว่า “ข้าน้อยก็มิรู้ว่าเพลิงมาจากที่ใด รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้ในเมืองหลวงวุ่นวายโกลาหลยกใหญ่แล้วขอรับ…”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ไร้หนทางที่จะแก้ไขแล้ว
หัวหน้าตระกูลมั่วสูดลมหายใจลึก พยายามให้ตนเองใจเย็นลง แต่ประกายความแค้นและความอัดอั้นตันใจในแววตา ทำอย่างไรก็สงบไม่ลง “นางแพศยานั่นล่ะ”
คนสนิทตัวสั่นงันงก หัวหน้าตระกูลสามารถเรียกคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วว่านางแพศยาได้ แต่เขาที่เป็นข้ารับใช้นั้นมิกล้าบุ่มบ่ามเด็ดขาด
“เรือนเสวี่ยหว่านก็ถูกเปลวเพลิงไหม้ราบเป็นหน้ากลองเช่นกันขอรับ คนของพวกเราที่เตรียมให้การสนับสนุนอยู่ไม่ไกลจากจวนกั๋วกงตลอดไม่เห็นคุณชายทั้งสามพาคุณหนูใหญ่มั่วออกมาจากประตูหลัง…”
โทสะในแววตาของหัวหน้าตระกูลมั่วเปลี่ยนเป็นความกังวลลึกๆ และยังมีความกลัวที่มิอาจสังเกตเห็นด้วยเล็กน้อย “ไม่ออกมา…แล้วคนเล่า?”
“คน…คน…” คนสนิทกัดฟันเอ่ย “ตอนที่ไฟไหม้ ผู้ที่วิ่งออกมาจากจวนกั๋วกงมีเพียงแค่ข้าทาสและบ่าวรับใช้ไม่กี่คน ดูจากลักษณะเปลวเพลิงแล้ว เรือนเสวี่ยหว่านไหม้รุนแรงที่สุด เกรงว่า…เกรงว่าคุณหนูใหญ่จะถูกเผาตายไประหว่างที่นอนหลับอยู่แล้วขอรับ”
หัวหน้าตระกูลมั่วถีบคนสนิทไปฝ่าเท้าหนึ่ง “พวกเจ้าตายไปแล้วหรือไร ตอนที่จวนกั๋วกงไฟไหม้ถึงไม่ไปดับไฟ…”
คนสนิทถูกฝ่าเท้านั้นถีบจนหงายหลัง แต่กลับไม่กล้าแกล้งนอนสลบอยู่บนพื้น เขารีบลุกขึ้นมาแล้วคุกเข่าอีกครั้ง “พวกข้าน้อยนึกว่าไฟนั่นเป็นแผนการที่หลอกล่อหูตาคนอื่น ใครจะไปคิดว่าเปลวเพลิงจะลามจนมิอาจจัดการได้ภายในครู่เดียว…”
คนสนิทย่อมไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมในเรื่องนี้
ผู้อาวุโสสองท่านลุกขึ้นประคองหัวหน้าตระกูลมั่วที่โมโหจนหงายหลังอย่างตื่นตระหนก “หัวหน้าตระกูล พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ จิตใจของโอรสสวรรค์ยากจะคาดเดา ล่าช้าเกรงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงได้!”
……
วังหลวง
ห้องทรงพระอักษรในวันนี้ก็ยังคงสว่างไสว ฮ่องเต้ก็ไม่ได้บรรทมตลอดทั้งคืน
ด้านนอกมีคนมาส่งข่าว หัวหน้าขันทีจึงเข้าตำหนักไปรายงาน
ฮ่องเต้โยนหนังสือที่กำลังทอดพระเนตรในมือลงบนโต๊ะ พลางหัวเราะเบาๆ “ส่งคนมาถึงแล้วใช่หรือไม่”
หัวหน้าขันทีที่แทบจะค้อมตัวลงไปถึงพื้นตอบว่า “ทูลฝ่าบาท คนยังมิได้ส่งมา แต่จวนกั๋วกงกลับถูกเปลวเพลิงไหม้เป็นเถ้าถ่านพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ!” ฮ่องเต้ตะลึง ปากอ้าเล็กน้อย
แม้ในใจหัวหน้าขันทีจะเห็นท่าไม่ดี แต่กลับจำเป็นต้องยืนยันอีกครั้ง “ข่าวนี้เพิ่งจะส่งมาจากใต้เท้าน่าซึ่งดำรงตำแหน่งแม่ทัพเก้าประตู จริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ให้คนตระกูลมั่วกับหลูเจิ้งหยางไปจัดการ เขาล้วนรู้หมดแล้ว
ฮ่องเต้เพียงแค่ให้คนตระกูลมั่วนำตัวมั่วเชียนเสวี่ยออกมามอบให้ฮ่องเต้จัดการลงโทษลับๆ และไปสอบถามถึงจุดหมายปลายทางของป้ายไม้ดำ
ฮ่องเต้เพียงแค่ให้หลูเจิ้งหยางหาโอกาสจัดการผู้คนทั้งเรือนเสวี่ยหว่านให้หลับลึก และหลอกล่อหนิงเซ่าชิงให้จากไป พลางขัดขวางผู้คนที่จะมาเยือนเรือนเสวี่ยหว่าน เพื่อซื้อเวลาให้คนตระกูลมั่วนำตัวมั่วเชียนเสวี่ยออกมา
สาเหตุที่ให้ทั้งสองฝ่ายไปจัดการ ก็เพื่อไม่ให้เรื่องนี้มีช่องโหว่ แต่ตอนนี้กลับเกิดเหตุผิดพลาดจากความประมาทเลินเล่อเช่นนี้!
แม้ว่าจะหลบซ่อนได้ชั่วขณะ แต่เป็นเพราะภาระที่พัวพัน สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถหนีพ้น คนตระกูลมั่วหยั่งรากฐานอยู่ในเมืองหลวง สามารถย้ายได้ตลอดเวลา แต่มือของฮ่องเต้ที่ยกขึ้นสูง กลับลดลง และเอ่ยถามเสียงเบาว่า “หลูเจิ้งหยางเล่า”
หัวหน้าขันทีกลับคุกเข่าลง
เขารู้ว่า ตอนที่ฮ่องเต้มีประสงค์จะสังหารใคร มักจะเอ่ยด้วยโทนเสียงเบาและต่ำ มีเพียงแค่ตอนที่จะขู่หรือลงโทษผู้อื่นถึงเปิดเผยโทสะของตนเอง และตวาดเสียงดัง
หัวหน้าขันทีเอ่ยบีบเสียงที่ทั้งเเหลมและเล็กว่า “หลูเจิ้งหยางหายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หายไปแล้ว นี่มันหมายความว่าอย่างไร”