เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 362 หน้าเนื้อใจเสื้อ จัดการแต่ละฝ่าย (2)
ขอเพียงพวกนางยอมรับผิด ช่วยท่านหญิงซูซูกอบกู้ชื่อเสียงมาได้ก็พอ มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ จึงได้โบกมือให้พวกนางหยุดตบปากตนเอง พร้อมกับเตือนเสียงเย็นว่า “เดิมท่านหญิงซูซูก็เป็นสตรีที่เปิดเผย ตรงไปตรงมา จะเป็นผู้ที่ให้พวกเจ้ากุเรื่องโกหกขึ้นมาถากถางตามใจชอบได้เช่นนั้นหรือ จำบทเรียนในวันนี้เอาไว้เสีย ภายหน้าตายอย่างไร จะได้รู้ต้นสายปลายเหตุ! ไสหัวไป…”
หลังจากสตรีหลายนางตอบว่ารับทราบแล้วเสียงเบา ก็กุมใบหน้าที่เห่อแดงถอยออกไป
เมื่อสตรีเหล่านั้นจากไป มั่วเชียนเสวี่ยก็หมุนกายกลับไปยังสถานที่เมื่อครู่
ซูซูยังรอนางอยู่ที่นั่น!
เมื่อหมุนกายกลับไปบริเวณด้านหลัง ก็เห็นว่าซูซูยืนรอตนเองตามที่คิดเอาไว้เลยจริงๆ
เมื่อเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยสามารถจัดการสตรีที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีทั้งหมดได้ในไม่กี่ประโยค ซูชีก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
มั่วเชียนเสวี่ยก้าวเข้าไปตบบ่านางอย่างกล้าหาญชายชัย เมื่อเห็นสีหน้ารวดร้าวปานจะขาดใจของซูซู พลางกล่าววาจากึ่งล้อเล่นกึ่งปลอบใจ
“อย่าไปสนใจสายตาคนเลวทรามพวกนั้นมากเกินไป เจ้าเป็นสตรีที่ดีคนหนึ่ง ในภายหน้าจะต้องหาสามีได้ตามที่ปรารถนาแน่นอน พวกเราจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันไปตลอด มีข้าอยู่ จะไม่มีทางยอมให้ผู้ใดมารังแกเจ้าเด็ดขาด!”
ซูซูนึกถึงภาพที่มั่วเชียนเสวี่ยออกหน้าแทนตนเองเมื่อครู่นี้แล้ว ก็รู้สึกอบอุ่นใจ ทว่าเมื่อคิดถึงซูชี นางก็เกิดความรู้สึกย้อนแย้ง จึงก้มหน้าเล็กน้อย
มั่วเชียนเสวี่ยตบหลังนางเบาๆ พลางถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง
ท่านหญิงซูซูเงยหน้าขึ้นราวกับว่าตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้วหลังจากคิดใคร่ครวญ นางหยั่งเชิงด้วยความระมัดระวัง “ถ้าหากว่าผู้ที่รังแกข้าคือซูชีเล่า”
กล่าวจบ ก็มองมั่วเชียนเสวี่ยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยการเฝ้ารอ นางไม่อยากเสียมิตรภาพที่มีกับมั่วเชียนเสวี่ยในครั้งนี้ไปจริงๆ
“ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ข้าจะยืนอยู่ข้างเจ้าโดยไม่ลังเล”
แต่เดิม มั่วเชียนเสวี่ยคิดจะเป็นคนกลางจับคู่ให้ซูชีกับท่านหญิงซูซู อีกอย่างนางก็เดาความรู้สึกที่ซูซูมีต่อซูชีได้ตั้งนานแล้ว จึงตอบคำถามได้อย่างเป็นธรรมชาติและรวดเร็ว
นัยน์ตาที่กระจ่างใส และเปิดเผย รวมถึงมุมปากที่โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ อย่างจริงใจ ทำให้ความไม่แน่ใจต่อบางสิ่งในใจนางกลับกลายเป็นแน่ใจขึ้นมาทันที
นางลอบด่าตนเองที่ทำตัวใจแคบเหมือนกับสตรีไร้มารยาท ไม่เหมาะสมที่จะปรากฏตัวในที่สาธารณะเช่นนั้น นางยื่นมือไปจับมือที่ยื่นออกมาของมั่วเชียนเสวี่ย และกระชับมือแน่นด้วยความอดสู
ไม่ว่าเรื่องราวระหว่างมั่วเชียนเสวี่ยกับซูชีจะเป็นเช่นไร แต่อย่างน้อยเชียนเสวี่ยก็จริงใจกับนางมาก! เห็นนางเป็นสหายและพี่น้องจริงๆ
เรื่องที่เชียนเสวี่ยจะแต่งให้กับหัวหน้าตระกูลหนิงนั้น มิอาจเปลี่ยนแปลงได้
ถึงซูชีจะคิดเกินเลยไปมากกว่านี้ ก็ถูกกำหนดให้เขาเป็นคนของนางเท่านั้น
เขาวิ่งหนี นางจะไล่ตาม!
เขาหนีไปสุดขอบฟ้า นางก็จะจับเขากลับมา
ท่านหญิงซูซูที่คิดตกแล้ว ก็ไม่กังวลเรื่องอื่นอีก นางกล่าวถึงซูชีกับมั่วเชียนเสวี่ยทันที ทั้งยังกล่าวถึงความรู้สึกและการตัดสินใจของตนเองด้วย
“ซูซู เจ้าตัดสินใจแล้วหรือว่าชั่วชีวิตนี้ต้องเป็นซูชีเท่านั้น”
ทั้งสองคนเดินอยู่ในสวนบุปผา รอบด้านเต็มไปด้วยบุปผางามสะพรั่งแลดูงดงามเป็นพิเศษ ทว่าซูซูก็เป็นสตรีที่รูปร่างหน้าตาพริ้มเพรางามแฉล้มเช่นกัน เมื่อนางยืนอยู่ท่ามกลางมวลบุปผา ก็กลับกลายเป็นว่าคนงดงามยิ่งกว่าบุปผา
คำถามของมั่วเชียนเสวี่ยทำให้ท่านหญิงซูซูชะงักไป นางหยุดเดิน พลางหันไปสบตามั่วเชียนเสวี่ยตรงๆ นางมองเห็นตนเองที่มีสายตาแน่วอย่างสุดซึ้งจากนัยน์ตาสีนิลของมั่วเชียนเสวี่ย!
นางยอมรับโดยที่ใบหน้าไม่แดงระเรื่อ หัวใจไม่เต้นระรัวว่า “ใช่! ข้าชอบเขาแต่เด็ก เดิมนึกว่าพวกเราสองคนจะมีความรู้สึกชอบพอกันแต่เยาว์วัย เมื่อเติบใหญ่ก็จะแต่งงานกัน แต่กลับคาดไม่ถึงว่า หลังจากเขาออกจากเมืองหลวง จะไปนานหลายปีขนาดนี้ ทั้งยังลืมเลือนเรื่องในวัยเยาว์จนหมด! ตอนนี้เขากลับมาแล้ว ทั้งยังไม่ได้แต่งงาน และข้าก็ยังไม่ได้แต่งเช่นกัน ดังนั้นทุกอย่างก็ยังทันอยู่”
มั่วเชียนเสวี่ยคิดมาโดยตลอดว่า ระหว่างซูซูกับซูชีเป็นเพียงแค่รักแรกพบเท่านั้น นางคาดไม่ถึงเลยว่าตอนที่ยังเยาว์วัย ทั้งสองคนก็มีสัมพันธไมตรีต่อกันแล้ว
ก็แค่การผายปอดช่วยชีวิตเท่านั้นเอง จะนับเป็นอะไรได้ ก็ได้ๆ ในใจของคนโบราณที่มีความอนุรักษ์นิยม ความจริงแล้วก็ถือว่าเป็นคู่รักที่มีใจให้กันตั้งแต่เด็กๆเช่นกัน!
ทว่า หากมองจากเรื่องนี้แล้ว ซูชีก็เป็นบุรุษที่มีความรับผิดชอบคนหนึ่งจริงๆ แม้ว่าจะถูกคนเข้าใจผิด ก็ยังยืนหยัดในความมุ่งมาดปรารถนาเดิมของตนเอง สนใจเพียงความรู้สึกที่แท้จริง ไม่นำพาความคิดเห็นของผู้อื่นมาใส่ใจ แต่น่าเสียดายที่คนที่นางได้พบก่อนคือหนิงเซ่าชิง
สำหรับมั่วเชียนเสวี่ย ซูชีเป็นเพื่อนที่ดี เพื่อนสนิทเพศชาย ความคิดพวกนั้นของซูชีถูกเขาเก็บซ่อนเอาไว้ลึกมาก ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่เคยคิดในทางนั้นเลย
แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถม้าในครั้งนั้น ถึงมั่วเชียนเสวี่ยจะด้านชา แต่ลึกๆ ในใจก็ยังมีความรู้สึกหดหู่ใจที่บรรยายออกมาไม่ได้อยู่ดี
มั่วเชียนเสวี่ยสูดลมหายใจลึก บอกกับตนเองว่า ซูซูกล้าที่จะตามหาความสุขของตนเอง สุภาพบุรุษเช่นซูชีควรจะมีคนที่เข้าใจเขา รักเขา รู้จักเขา และอยู่เป็นเพื่อนเดินร่วมทางเคียงคู่เขาไปตลอดชีวิตนี้ นางควรจะดีใจแทนพวกเขาถึงจะถูก
เมื่อปล่อยวางเรื่องที่หนักใจได้ มั่วเชียนเสวี่ยก็เอ่ยยิ้มๆ “ความจริงแล้วข้าก็รู้จักซูชีผู้นี้ได้ไม่นาน นั่นเป็นตอนที่…”
จากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยกับซูซูก็เดินเล่นในทะเลบุปผากันสองคน
ระหว่างที่คุยเล่นกัน มั่วเชียนเสวี่ยเล่าถึงกระบวนการในการทำความรู้จักกับซูชีขึ้นมา รวมถึงความเห็นที่ตนเองมีต่อซูชีอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่าเรื่องต่างๆ บนรถม้า นางย่อมปิดปากไม่กล่าวถึง เรื่องต่างๆ ในหมู่บ้านหวังจยา ก็กล่าวโดยสังเขปตามความสัมพันธ์ที่หนิงเซ่าชิงกำหนดเอาไว้
ตลอดเวลานั้นท่านหญิงซูซูตั้งใจฟังอย่างจริงจังมาก
มองจากมุมมองที่มีพื้นฐานบนข้อเท็จจริง โดยไม่ดึงความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง ซูซูก็รู้แล้วว่า มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้มีความรู้สึกคลุมเครืออันใดกับซูชีเลยสักนิดเดียว และความรู้สึกที่นางมี ก็แค่มิตรภาพอันบริสุทธิ์ที่ไร้สิ่งใดแอบแฝง กับความชื่นชมประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง
นางยิ่งมั่นใจว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของซูชี ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่พูดจาฉะฉานอย่างมีหลักการเช่นนี้
ขณะที่โล่งใจก็รู้สึกสงสารซูชีเช่นกัน
นางไม่ใช่คนโง่ และไม่ได้ตาบอด ย่อมมองสายตาที่ตามติดมั่วเชียนเสวี่ยของซูชีออก มันมีทั้งความรักข้างเดียว การอดทนข่มกลั้นความรู้สึก ความสงสาร แต่ที่มีมากกว่านั้นคือความสิ้นหวัง
น่าจะเป็นเพราะว่าตัวซูชีเองก็เข้าใจว่า ระหว่างเขากับมั่วเชียนเสวี่ยนั้นเป็นไปไม่ได้? แม้ว่าในใจจะรู้ดี แต่ถึงอย่างไรหัวใจก็อยู่เหนือการควบคุม
เมื่อคิดถึงซูชี ก็นึกถึงเฟิงอวี้เฉิน จากนั้นก็หนิงเซ่าชิงที่เป็นผู้ชนะในตอนท้าย ท่านหญิงซูซูหันไปพิจารณามองใบหน้าด้านข้างของมั่วเชียนเสวี่ย บุรุษที่ยอดเยี่ยมสามคนนี้ล้วนมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อนาง มั่วเชียนเสวี่ยช่างโชคดีจริงๆ?
นางมีพลังเวทมนตร์ที่ทำให้สายตาของทุกคนวนเวียนอยู่รอบตัวนาง นางคือไข่มุกล้ำค่าที่เปล่งประกาย!
ฟ้าค่อยๆ มืดลง
หลันรั่วเมิ่งเชื้อเชิญให้มั่วเชียนเสวี่ยเข้าร่วมงานเลี้ยงชมบุปผา แต่กลับถูกมั่วเชียนเสวี่ยปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
ตอนกลางวันเกิดขึ้นเรื่องมากมายขนาดนั้น ทั้งแผนการที่เปิดเผยและแผนการลับ นางจึงรู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้าง ยามค่ำคืนก็มืดมิดและเงียบสงัด แม้ว่านางจะไม่กลัว แต่ท้ายที่สุดก็คือรังเกียจความวุ่นวาย
มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวขอบคุณและปฏิเสธการเชื้อเชิญของหลันรั่วเมิ่งเรียบร้อยแล้ว ก็กล่าวคำอำลากับท่านหญิงซูซู และเดินทางกลับจวน
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าชีวิตของขุนนางชนชั้นสูงจะเหนื่อยเช่นนี้ แต่สถานที่ที่มีผู้คนย่อมมีการต่อสู้กัน เรื่องนี้เป็นกฎเกณฑ์ตายตัวที่ไม่มีวันเปลี่ยน
เมื่อกลับไปถึงเรือนเสวี่ยหว่าน มั่วเชียนเสวี่ยก็สั่งให้บรรดาสาวใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้ถอยออกไป ส่วนตัวนางก็นอนหมดแรงอยู่บนเตียงตัวใหญ่
ในสมองมักจะคิดถึงอวี่เหวินหันเหล่ยกับกุ้ยเสี่ยวซีผู้นั้น