เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 289 วางแผน ค่ำคืนที่นอนไม่หลับ (2)
มั่วเชียนเสวี่ยไม่เคยคิดว่า เพราะรักมาก ดังนั้นจึงคิดมากเพราะกลัวจะทำร้ายอีกฝ่าย
ใบหน้าของซูชีกลับมาเป็นคุณชายจอมกะล่อนอีกครั้ง ยิ้มร้ายกาจ “ข้ากลัวว่าขืนเจ้าอยู่ในนี้ต่อไป จะส่งผลต่อชื่อเสียงของเจ้า วันข้างหน้าจะขายไม่ออก…”
เขาอยากจะให้นางตอบเหลือเกินว่า หากขายไม่ออก เช่นนั้นก็จะแต่งงานกับเขา…
ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยที่ดึงสติกลับมาหลังจากคิดไตร่ตรองแล้วนั้นกลับหัวเราะเสียงเบา “เซ่าชิงไม่รังเกียจข้าหรอก หนำซ้ำยังจะภาคภูมิใจในตัวข้า”
พอพูดถึงหนิงเซ่าชิง แววตาของมั่วเชียนเสวี่ยทอประกาย จากนั้นคิดถึงชื่อเสียงอันดีงามขององค์หญิงอวี้เหอ นางหันหลัง พูดด้วยความดูแคลน “ทางเดินที่ตนเดิน ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงที่เป็นเรื่องภายนอกจะมีประโยชน์อะไร คนที่ไม่เป็นห่วงและไม่เห็นความสำคัญของข้า เป็นเพียงคนที่ผ่านเข้ามาแล้วจากไปในชีวิตเท่านั้น เกี่ยวอะไรกับข้า…”
แววตาของซูชีหม่นหมอง อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ เขารู้จักนิสัยของมั่วเชียนเสวี่ยดี ยากนักที่จะฉายความอ่อนโยน “วันพรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ากับพี่ใหญ่ล้วนจะไปประชุมราชสำนัก ข้าจะใช้อำนาจทั้งหมดของทั้งตระกูลซูปกป้องเจ้า ร้องขอฝ่าบาท…”
มั่วเชียนเสวี่ยยืนหันหลังจึงมองไม่เห็นสีหน้าอ่อนโยนนั้น แต่เมื่อได้ยินเสียงทอดถอนหายใจของเขา สัมผัสได้ถึงเจตนาในการปกป้องของเขา นึกถึงเรื่องเมื่อคราวก่อนที่ฮ่องเต้เกือบจะสั่งประหารนาง สะกิดความดื้อดึงในใจของนางขึ้นมาทันที “ร้องขอฝ่าบาท? มีประโยชน์อะไรเล่า พึ่งผู้อื่นไม่สู้พึ่งตนเอง!”
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ นางไม่อยากให้ซูชีเข้ามายุ่ง แต่เวลานี้คนที่นางสามารถพูดความในใจด้วยก็มีซูชีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น “จุดอ่อนของมนุษย์คือ ยามเรื่องเลวร้ายห่างไกลจากตน ก็ง่ายที่จะมองข้าม มีเพียงตอนที่ตนเคราะห์ร้ายประสบปัญญาด้วยตนเอง จึงจะเอาใจเขามาใส่ใจเรา ดังนั้น เมื่อเทียบกับการอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น สู้ทำให้ตนเองแข็งแกร่งยังจะดีเสียกว่า บนโลกใบนี้ ผู้ใดจะเป็นห่วงความบริสุทธิ์และเห็นใจเจ้า! สายตาของผู้อื่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือทำให้เรื่องเป็นเช่นไร เมื่อสำเร็จแล้ว ทุกข้อเสียก็จะกลายเป็นข้อดี เมื่อล้มเหลว ความดื้อดึงของเจ้ารังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลกของผู้อื่น หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดมากจนเกินไป ข้ามั่วเชียนเสวี่ยเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งล้วนจะกลับสู่ตำแหน่งของตน” มั่วเชียนเสวี่ยในเวลานี้คล้ายโอบล้อมด้วยแสงสว่าง ทำให้ซูชีรู้สึกประทับใจอย่างแปลกพิกล เขาไม่เคยคิดว่าสตรีคนหนึ่งจะพูดหลักการชีวิตได้ดีเช่นนี้ ทั้งยังไม่เคยคิดว่าสตรีคนหนึ่งจะมีพลังและความกล้าหาญเช่นนี้
นางเข้าใจสัจธรรมของชีวิตแล้ว! แต่ตนกลับยังคงทุกข์กับโลกใบนี้ คำว่า ‘เซ่าชิงไม่รังเกียจข้าหรอก’ นางพูดอย่างเป็นธรรมชาติ แม้แต่หางตาก็ยกขึ้น เห็นชัดว่านางไม่เคยเปลี่ยนใจมาก่อน
บางที อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ อาจจะมีความสุขยิ่งกว่าได้ครอบครองกระมัง!
มองดูท่าทีมั่นใจของนาง คาดว่าต้องมีแผนการบางอย่างแน่นอน ซูชีจึงไม่เกลี้ยกล่อมนางอีก
ไม่อาจเกลี้ยกล่อมมั่วเชียนเสวี่ยออกจากคุกหลวง ซูชีกลับยืนเฝ้าด้านนอกคุกหลวงตลอดทั้งคืน เขาเคยบอกว่าจะปกป้องนาง ในเมื่อนางไม่ให้เขาปกป้อง เช่นนั้นก็ให้เขาอยู่เคียงข้างเถอะ
แน่นอน อีกหนึ่งเหตุผลที่เขาไม่ไปก็คือปกป้องนาง ภายในคุกโสมมเกินไป…
ท้องฟ้ายามค่ำคืนในวังหลวงมืดสนิทราวกับน้ำหมึก แสงไฟเงียบงัน มีเสียงโอดครวญเป็นครั้งคราว แต่ก็เข้าสู่ความเงียบอย่างรวดเร็วราวกับผ้าแพรร่ายรำ ราวกับความรู้สึกผันผูกในโลกมนุษย์ หยุดนิ่งและสั่นไหว สุดท้ายก็จะถูกวันเวลาทำให้จมหายไปครั้งแล้วครั้งเล่า
คืนนี้ถูกกำหนดให้เป็นค่ำคืนที่ไม่ธรรมดา ทั้งยังเป็นคืนที่คนมากมายนอนไม่หลับ
ภายในวังหลวง ศาลาและตำหนักสูงใหญ่ ในสวนเต็มไปด้วยสตรีแต่งกายด้วยผ้าชั้นดี หินสวยงามวางประดับ น้ำรินไหล บริเวณโดยรอบเงียบสงัด องค์หญิงอวี้เหอเดินอย่างรวดเร็วด้วยความขุ่นเคือง ทัศนียภาพที่สวยงามยามค่ำคืนไม่อาจดึงดูดความสนใจนางได้แม้แต่น้อย
นางไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อสองครั้งแล้ว
ครั้งแรกคือตอนกลับมา นางไปเข้าเฝ้า แต่เสด็จพ่อของนางยุ่งอยู่กับการอ่านฎีกาในห้องทรงพระอักษร ขันทีบอกว่าฮ่องเต้มีรับสั่ง ไม่ให้ผู้ใดเข้าพบ เชิญองค์หญิงกลับไป
รอให้นางกลับไปอาบน้ำและทานมื้อค่ำแล้วค่อยกลับมาเข้าเฝ้าอีกครั้ง หัวหน้าขันทีก็บอกว่า วันนี้เสด็จพ่อเหนื่อยมาก บรรทมแล้ว มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เชิญองค์หญิงกลับไป
องค์หญิงอวี้เหอกระทืบเท้า แล้วเดินไปยังตำหนักคุนหนิง
ภายในห้องทรงพระอักษร
ฮ่องเต้ยังไม่ได้บรรทม แต่ให้หัวหน้าขันทีคอยนวดให้เขา ท่ามกลางความพอพระทัยหัวหน้าขันทีพูดขึ้น “ฝ่าบาท องค์หญิงอวี้เหอมาขอเข้าเฝ้าพระองค์ถึงสองครั้งสองคราต้องมีเรื่องสำคัญแน่นอน เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ให้องค์หญิงเข้าเฝ้าหรือพ่ะย่ะค่ะ” แน่นอนเขาย่อมรู้ว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้จึงไม่ให้องค์หญิงเข้าเฝ้า
แต่ว่า เขาเข้าใจหลักการนี้เป็นอย่างดี ยิ่งตำแหน่งสูงยิ่งต้องการคนสรรเสริญ ฮ่องเต้นั่งบนบัลลังก์สูงสุด ย่อมยิ่งต้องการให้สรรเสริญ วิธีการสรรเสริญคือการแสร้งโง่เขลา ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น เช่นนี้ก็จะยิ่งแสดงถึงความปราดเปรื่องของฮ่องเต้
เป็นจริงตามคาด ฮ่องเต้ยิ้มพอพระทัย “วันนี้คือวันเทศกาลดอกท้อ ฮองเฮาและอวี้เหอจัดการแสดงให้มั่วเชียนเสวี่ย แต่ผู้ใดจะคาดคิดมั่วเชียนเสวี่ยกลับเป็นคนที่รับมือยาก ไม่ตอบโต้ตามหลักทั่วๆ ไป อวี้เหอกระวนกระวายไปชั่วขณะจึงทำรุนแรงเล็กน้อย จัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วค่อยมารายงาน สั่งจับมั่วเชียนเสวี่ยเข้าคุกหลวง เวลานี้อยากให้ข้าจัดการ ข้าย่อมไม่อาจแสดงเป็นคนโง่เขลา…”
หัวหน้าขันทีนวดและแสร้งพูดด้วยความไม่เข้าใจ “ในเมื่อฮองเฮาวางแผนเรียบร้อยแล้ว แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะมีพันปากก็ไม่อาจพูดถึงความบริสุทธิ์ของตนได้ เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ฉวยโอกาสนี้ แสดงน้ำใจต่อฮองเฮา และข่มขู่มั่วเชียนเสวี่ย ให้นางนำป้ายไม้ดำออกมาแต่โดยดี เช่นนี้ไม่ดียิ่งกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หัวเราะ “หากมั่วเชียนเสวี่ยตกใจง่ายเช่นนี้ นางจะมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้หรือ”
“ฝ่าบาทคิดที่จะ…”
“ขอเพียงข้ายังไม่มีราชโองการ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็มีทางแก้ บัณฑิตคนนั้นไม่มีค่ามากพอ ข้าจะให้มั่วเชียนเสวี่ยมาอ้อนวอนขอความยุติธรรมกับข้า สำหรับเรื่องในวันนี้ ข้า…ไม่รู้เรื่องใดแม้แต่น้อย” ฮ่องเต้ยิ้มด้วยความเจ้าเล่ห์
หัวหน้าขันทีกล่าวชื่นชม “ฝ่าบาทรอบคอบเสียจริง ขอเพียงฝ่าบาทไม่ได้มีพระราชโองการ แม้เรื่องนี้จะเกิดข้อผิดพลาด ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของฝ่าบาท”
ฮ่องเต้เพลิดเพลินไปกับการนวด ไม่อยากจะพูดอะไรมาก แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับชั่วร้ายอย่างยิ่ง ระยะหลังมานี้ตระกูลเซี่ยไม่เชื่อฟังเท่าใดนัก หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ประจวบเหมาะเขาจะได้โยนความผิดไปให้ฮองเฮาและอวี้เหอ แล้วลงโทษอย่างหนัก ประการแรกเพื่อแสดงให้กับไพร่ฟ้า พิสูจน์ให้เห็นถึงความยุติธรรมของตน ประการที่สองจะได้เป็นบทเรียนให้กับตระกูลเซี่ย
หลังจากบัณฑิตจย่ากลับถึงจวนก็บอกฮูหยินให้เตรียมชุดข้าราชการ พรุ่งนี้เขาจะเข้าประชุมราชสำนักในตอนเช้า
จย่าฮูหยินเป็นแม่บ้านแม่ศรีเรือน เมื่อเห็นสีหน้าของสามีไม่สบอารมณ์ หลังจากสั่งให้คนไปสืบ ตนก็มาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้บัณฑิตจย่าด้วยตนเอง
ขณะเปลี่ยนเสื้อผ้า จย่าฮูหยินยิ้มแล้วเอ่ยถาม “องค์หญิงอวี้เหอเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงดอกท้อในปีนี้ วันนี้ท่านพี่ได้รับคำเชิญจากฮองเฮา ไปร่วมวิจารณ์ที่งานเลี้ยงดอกท้อ เพื่อเสริมบารมีให้กับองค์หญิงอวี้เหอผู้เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงดอกท้อไม่ใช่หรือเจ้าคะ ได้ยินว่าองค์หญิงอวี้เหอมีคุณธรรมและมากความรู้ ข้าอยู่ในเรือนได้ยินพวกบ่าวรับใช้พูดกันว่าปีนี้มีผู้ชนะเลิศ เหตุใดท่านพี่จึงกลับมาด้วยความขุ่นเคืองใจเช่นนี้”
บัณฑิตจย่าทำเสียงฮึดฮัด “มีคุณธรรมและมากความรู้? ข้าว่าองค์หญิงอวี้เหอมีคุณธรรมและความรู้เพียงเปลือกนอกเท่านั้น ไม่แยกแยะถูกผิด ก็มีรับสั่งจับกุมสตรีชั้นสูงเข้าคุกหลวง”
มือของจย่าฮูหยินชะงัก พูดด้วยความแปลกใจ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
“ปีนี้ผู้ที่ได้รางวัลชนะเลิศคือคุณหนูมั่วแห่งจวนกั๋วกง แค่เพียงกลอนสองบทก็แสดงถึงความคิดที่ไม่แก่งแย่งชิงดีและไม่โลภมาก แต่จะทำเช่นไรได้ จิตใจมนุษย์ไม่เคยมอดดับ เก็บความคับแค้น ป้ายสีผู้อื่นพร่ำเพรื่อ”