เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 265 หึงหวง ห้ามวาดรูปบุรุษอื่นอีก (3)
อย่างไม่ต้องสงสัย กล่องนั้นและภาพวาดในกล่อง กลายเป็นผุยผง ต่อหน้าต่อตานาง ในมือของนาง
กระดาษปลิวว่อนไปทั้วห้อง พริ้วไหวทั่วท้องฟ้า ภาพที่ ‘งดงาม’ เช่นนี้ แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับยืนตกตะลึง นางกระวนกระวายขึ้นมาทันที
เดิมทีอยากจะรักษาภาพวาดหนึ่งแผ่น ทว่าคิดไม่ถึงกลับต้องเสียภาพวาดทั้งกล่องไป
นางปิดผนึกพลังปราณได้หลายนาทีไม่ใช่หรือ เมื่อหลายวันก่อนเพิ่งลองกับสืออู่ เหตุใดพอใช้กับหนิงเซ่าชิง กลับปิดผนึกได้เพียงไม่กี่วินาที…
ไม่รอมั่วเชียนเสวี่ยตั้งตัวทัน นางถูกหนิงเซ่าชิงช้อนตัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าถูกเขาทำสิ่งใด กดจุดใด เรี่ยวแรงของนางหายไปจนหมด อ่อนแรงในฉับพลัน
เวลาเดียวกันที่นางไม่อาจเคลื่อนไหว เสื้อผ้าบนเรือนร่างก็หายไปจนหมด อย่างรวดเร็ว
เสื้อผ้าตกลงบนพื้น…ผิวขาวดั่งหิมะ ไหปลาร้าที่งดงาม แล้วก็ยังมี…
ว่ากันว่าอาภรณ์คือวัตถุที่ใช้ป้องกันตัวชั้นหนึ่งของมนุษย์ เมื่อไม่มีเสื้อผ้า มนุษย์ก็จะขวัญอ่อนมากขึ้น เวลานี้มั่วเชียนเสวี่ยเป็นเช่นนี้ เรือนร่างเปลือยเปล่า ส่วนลึกในใจของนางเคืองขุ่น แต่มากไปกว่านั้นคือหวาดกลัว “ท่าน…ท่านคิดอยากจะทำสิ่งใด”
เขา…นี่เขาคิดจะ…อ๊ากกก…นี่เขา…นี่เขาโมโหแล้วคิดจะ…ขืนใจนางเช่นนั้นหรือ
เขาคิดจะ…คิดอยากจะจัดการนางเช่นนั้นหรือ ทนลำบากเพียงครั้งหนึ่งเพื่อจะได้สบายไปตลอด? ทำให้นางตกเป็นของเขา?!
“เจ้าว่าข้าจะทำการใดเล่า” คำพูดของหนิงเซ่าชิงชัดเจนมาก เขาพูดพร้อมกับอุ้มมั่วเชียนเสวี่ยที่ถูกถอดจนเรือนร่างเปลือยเปล่า โยนนางลงบนเตียง กัดฟันกรอด “ข้าดีกับเจ้า ทะนุถนอมเจ้า เพื่อจะได้ยกขบวนเกี้ยวมารับเจ้าเข้าจวน คิดหาทุกวิถีทาง ในทุกวัน…” ในทุกวันต้องอยู่ท่ามกลางอันตราย ก็เพื่อรีบรับนางเข้าจวน แต่ถ้อยคำนี้เขาพูดไม่ออก บุรุษมีน้ำตาทำได้เพียงกัดฟันและกลืนลงท้อง
ดวงตาแดงก่ำ เขาจับจ้องดวงตาของนางแล้วเค้นถาม “แล้วเจ้าเล่า? เจ้าอยู่ในเรือนไม่ทำการใดเอาแต่วาดรูปบุรุษอื่น…”
อะไรคือการบอกว่านางอยู่ว่างๆ ไม่ทำการใด นางยุ่งทุกวันต่างหาก ตั้งแต่เข้าเมืองหลวง นางไม่ได้ใช้ชีวิตดีๆ แม้แต่วันหนึ่ง
เขามีงานใหญ่! ได้ นางเข้าใจเขา นางเข้มแข็งและยืนด้วยลำแข็งของตนเอง ไม่รบกวนเขา แต่เขาเล่า นอกจากกินน้ำส้มสายชูแล้วยังทำสิ่งใดบ้าง “หากท่านกล้าทำเช่นนี้จริงๆ แม้พวกเราจะเป็นสามีภรรยากัน ข้าก็จะเกลียดท่าน นับตั้งแต่วันนี้ข้าไม่มีวันเชื่อฟังท่าน…”
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้เจ้าเกลียดข้าเถอะ…” นัยน์ตาของหนิงเซ่าชิงฉายความกระหายเลือด ขึ้นคร่อมร่างบาง
เมื่อครู่เขาเห็นอย่างชัดเจน ภาพวาดทั้งหมดนั้นคือภาพวาดซูชี นาง…นางยังไม่เคยวาดรูปเขามาก่อน ไม่เคยวาดแม้แต่แผ่นเดียว…
เขารูปโฉมไม่หล่อเทียบเท่าซูชี หรือว่าวรยุทธ์และชาติตระกูลไม่ดีเท่าซูชี หรือว่า…ไม่อาจคิดต่อไปแล้ว ขืนคิดต่อไป เขาอยากไปบีบซูชีที่ตระกูลซูให้กลายเป็นผุยผงเสียตั้งแต่บัดนี้ เช่นเดียวกับภาพวาด ทำให้กลายเป็นผุยผง
เดิมที พรุ่งนี้เขามีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ต้องสะสมกำลัง แต่ เขาคิดถึงนาง ไม่รู้ว่าบาดแผลบนหน้าผากของนางเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่านางยังคงฝันถึงเขาหรือไม่…เป็นเช่นนี้…ไม่ได้นอนหลับสนิทมานานหลายคืนแล้ว รู้ว่าพรุ่งนี้นางต้องไปงานเลี้ยงดอกท้อ จึงเสี่ยงอันตรายมาหานาง อยากจะมาให้คำแนะนำนาง
อยากมาเจอนาง ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้านนอกจวนกั๋วกง มีหลายสายตาจับจ้อง
ทว่า…ตอนที่เขามาถึง นางกลับร่วมรับประทานอาหารกับเฟิงอวี้เฉิน เขาอดทน! นั่งรออยู่ในห้อง เขารอ! แต่เมื่อเหลือบมองไปบนโต๊ะ เขากลับเห็นภาพวาดซูชี ทั้งยังวาดด้วยความตั้งใจ เขาไม่อาจทนได้
เขาให้โอกาสนางในการอธิบาย แต่สิ่งที่เขาได้รับ กลับเป็นเข็มทอง…
ท่ามกลางความโมโห คว้ามือเรียวยาวขึ้น กัดนิ้วมือขาวดุจหิมะนั่น มือคู่นี้ของนางนี่แหละ ที่ใช้วาดบุรุษอื่นและใช้เข็มทอง สมควรถูกลงโทษ!
“โอ๊ย…” ความเจ็บปวดแผ่ซ่านมาจากนิ้วมือ มั่วเชียนเสวี่ยด่าทอ “หนิงเซ่าชิง…ท่านเป็นสุนัขกลับชาติมาเกิดหรือ เอาแต่กัดอยู่นั่นแหละ…โอ๊ย…” เจ็บขนาดนี้ต้องกัดจนหนังถลอกแล้วแน่ๆ
ว่ากันว่านิ้วมือทั้งสิบเชื่อมประสานกับหัวใจ ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านมาจากนิ้วมือ เวลานี้มั่วเชียนเสวี่ยไม่โมโหแล้ว แต่นางรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ภายในใจของเขา นางเป็นเช่นไรกันแน่
ยามชอบก็ทะนุถนอมอย่างดี ยามไม่พอใจก็เอาแต่กัด
อดกลั้นความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านมาจากนิ้วมือ พยายามทำให้น้ำเสียงของตนหนักแน่นและนิ่งสงบ ย้อนถาม “หนิงเซ่าชิง ท่านไม่เชื่อข้า หรือไม่เชื่อตนเองกันแน่ หรือว่าอยากจะปฏิเสธความสัมพันธ์ระหว่างเรา”
ขืนไม่พูดคุยกันดีๆ เกรงว่านี่จะเป็นการพบเจอกันครั้งสุดท้ายของพวกเขาแล้ว หากเขาทำเช่นนี้กับนาง นางจะอยู่เมืองหลวงเพื่ออะไร
นางมาเพื่อรักษาชีวิต มาเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับท่านกั๋วกงและภรรยา…แต่ มากไปกว่านั้นคือมาเพื่อเขา
“กว่าเราสองคนจะเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าทำให้ข้าเกลียดท่าน”
“บางทีวิธีการคิดของข้า ท่านไม่อาจเข้าใจ แต่ว่า ตั้งแต่ต้นจนจบในใจของข้ามีท่านเพียงคนเดียว สำหรับข้าซูชีเป็นเพียงมิตรสหาย สำหรับข้าถงจื่อจิ้ง เป็นเหมือนคนในครอบครัว…”
กลิ่นคาวหวานในปากทำให้หนิงเซ่าชิงตั้งสติได้เล็กน้อย ถ้อยคำเหล่านี้ ทำให้เขาคิดไตร่ตรอง
โดยไม่รู้ตัว แรงในการกัดของเขาก็เบาลงไปมาก…
“สำหรับท่านชายหญิงควรรักษาระยะห่าง แต่สำหรับข้าชายหญิงคือมิตรภาพที่บริสุทธิ์ เป็นครอบครัว…ท่านไม่อยากจะเชื่อก็ช่าง! ไม่ว่าท่านจะโมโหเช่นไร แต่ข้ามั่วเชียนเสวี่ยก็ยังคงเป็นมั่วเชียนเสวี่ย เพื่อท่านแล้ว ข้าสามารถทำทุกอย่าง ไม่ห่วงชีวิตของตนเอง แต่ว่า ไม่มีวันกลายเป็นหุ่นเชิดในเรือนหลังของท่านแน่นอน ไม่มีวันกลายเป็นหญิงที่คล้อยตามท่านทุกอย่าง”
นางเป็นคนที่ยืนด้วยลำแข็งของตนเอง หากเขาไม่เคารพนาง เช่นนั้นนางมีความจำเป็นใดต้องรักเขา…เขาทำเช่นนี้กับนาง ก็เพราะเห็นว่านางรักเขา ความดื้อดึงก่อตัวขึ้นในใจของมั่วเชียนเสวี่ย ตัวของนางเย็นยะเยือก
มองนิ้วชี้ที่ถูกตนกัดจนถลอก หนิงเซ่าชิงเลียด้วยความปวดใจ จากนั้นทอดถอนหายใจ ฝืนตนเองลุกขึ้น ห่มผ้าให้นาง ขืนมองเช่นนี้ต่อไป แนบชิดเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเขาคงไม่อาจทนได้
สุดท้ายเขาก็ไม่อาจ…ขืนใจนางได้ นางนิ่งงันเช่นนี้ เพราะผิดหวังในตัวเขาใช่หรือไม่ เขาควรทำเช่นไรกับนางดี
เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านางแตกต่างจากสตรีอื่น แต่ทุกครั้งที่เห็นนางใกล้ชิดกับบุรุษอื่น เขาก็บ้าคลั่งอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้ คำพูดในตอนหลังของนางเด็ดขาดเช่นนี้ เป็นเพราะเสียใจ…เสียใจที่รักเขา…อยากจะไปจากเขาเช่นนั้นหรือ
เมื่อครู่ เขาไม่มั่นใจความรู้สึกของนางจริงๆ เขารู้สึกว้าวุ่นจริงๆ…
ความคิดว้าวุ่น ทั้งยังไร้เหตุผล เช่นนั้น รีบจัดการปัญหาต่างๆ อย่างเด็ดขาดดีกว่า รีบรับนางเข้ามาในจวนจึงจะเหมาะสม
เซ่าชิงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด หันกลับไปมองมั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังอ่อนไหว ขนตาสั่นเทาเล็กน้อย ภาพต่างๆ ในหมู่บ้านหวังจยาฉายในความคิดของเขา นางยังคงเป็นนาง ช่างเถอะ หากนางเป็นเหมือนสตรีคนอื่น เช่นนั้นเขาคงไม่ถวิลหานางเช่นนี้
แม้จะคิดได้บ้างแล้ว ทว่าดวงตาหงส์ชำเลืองมองไปที่นาง “ห้ามวาดรูปซูชีอีก” แม้น้ำเสียงจะเยือกเย็นเล็กน้อย แต่แฝงไปด้วยการอ้อนวอน ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความเผด็จการ
เขาเพียงบอกว่าห้ามวาดรูป ไม่ได้บอกว่าห้ามพบเจอและพูดคุยกับซูชี นี่ถือเป็นการยอมมากแล้ว
การเมืองคือการประนีประนอม ความรักก็เช่นเดียวกัน หากนางร้ายกาจเกินไป เมื่อถึงเวลาเกรงว่าจะทำร้ายผู้อื่นและทำร้ายตนเอง มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเขารับฟังนางจากนั้นเหยียดกายลุกขึ้น สัมผัสถึงการยินยอมในคำข่มขู่ของเขา เดิมทีอยากจะพยักหน้า