เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 212 เข้าเมืองหลวง นางจะเป็นคนเหนือคน (2)
หมอกหนา การมองเห็นลดน้อยลงเป็นทุนเดิม ทว่า เวลานี้เอง จู่ๆ นางก็เห็นจุดสีดำโฉบผ่านระหว่างนิ้วของนาง เมื่อจุดสีดำนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็เหมือนเงาดำบินโฉบมาหา บดบังการมองเห็นจนหมดสิ้น
นั่นคืออินทรีตัวหนึ่ง อินทรีตัวสีเทา
อินทรีบินอยู่บนท้องฟ้า บินโฉบบนหินสีขาวดั่งหยกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าผา คล้ายเมฆครึ้ม ใบหน้าซีดขาวของมั่วเชียนเสวี่ยฉายความแปลกใจขึ้นมาทันที คิดไม่ถึงว่าเวลานี้จะมีอินทรีบินมา
มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองอินทรีที่บินอยู่เหนือศีรษะ แล้วพูดขึ้น “เซ่าชิง อินทรีตัวนั้น มีอะไรผิดปกติหรือไม่”
หนิงเซ่าชิงส่ายหน้า พูด “นั่นเป็นเพียงอินทรีตัวหนึ่งเท่านั้น!”
มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ทันได้พูด จู่ๆ อินทรีตัวนั้นก็บินมาหานางอย่างรวดเร็วดั่งดาวตก พุ่งตรงมาที่ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ย
สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยแปรเปลี่ยนไปในทันที เข็มอยู่ในมือของนางแล้ว
แต่ว่า อย่างไรก็ตามอินทรีก็เคลื่อนไหวเร็วกว่ามนุษย์ แม่นยำยิ่งกว่ามนุษย์ ด้วยความเร็วของอินทรีแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยไม่มั่นใจว่าจะสามารถแทงเข็มไปยังจุดสำคัญได้หรือไม่
ทว่า หนิงเซ่าชิงเคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่า ตัวของเขาลอยขึ้นมาดั่งปุยเมฆ กระโดดมาตรงหน้ามั่วเชียนเสวี่ย แขนเสื้อของเขากวัดแกว่งดั่งเมฆเคลื่อนไหว สะบัดไปที่ดวงตาของอินทรี
อินทรีแผดเสียงร้องดังสะนั่น บินโฉบไปอย่างรวดเร็วดั่งดาวตก เพียงครู่หนึ่ง ก็หายไปจากหมอกหนา
หนิงเซ่าชิงยืนอยู่ท่ามกลางหมอกหนา บนก้อนหินขนาดใหญ่ แขนเสื้อโบกสะบัด คล้ายเทพเซียนมาเยือนพิภพ
ท่ามกลางความตกตะลึกของมั่วเชียนเสวี่ย ขณะที่นางยังไม่ทันดึงสติกลับมา หนิงเซ่าชิงกลับพูดขึ้นสองพยางค์ “เตรียมสู้!”
ครู่หนึ่ง อินทรีตัวนั้นบินกลับมาอีกครั้ง ปีกทั้งสองบินโฉบมาอย่างรวดเร็ว ลมแรงปะทะหน้า เพียงแต่ครั้งนี้ ด้านหลังของอินทรีตัวนั้นกลับมีร่างที่ทอดยาว
ขณะที่อินทรีบินโฉบไปมา คนที่อยู่ด้านหลังลอยตัวลงมาแล้ว เขาเหมือนใบไม้ที่ล่วงหล่นบนก้อนหินอย่างแผ่วเบา
เขายืนอยู่บนก้อนหิน ทว่ากลับไม่รู้สึกมีตัวตนเท่าใดนัก ไม่ได้ปิดบังใบหน้า ทั้งยังไม่ได้ตั้งใจปลอมตัวเป็นพิเศษ แต่การที่มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนนั้น กลับทำให้หัวใจเต้นแรงด้วยความตกใจ
“เจ้าสามารถทำให้อิงเอ๋อร์ของข้าตกใจจนบินหนีได้ เห็นชัดว่าไม่ใช่บุตรหลานตระกูลขุนนางเลื่องชื่อที่ไร้ความสามารถ” สีหน้าของเขาขณะพูดฉายความเคร่งขรึมและจริงจัง เทียบกับนักกระบี่ไร้ฝีมือคนนั้นที่ขนามนามตนเองว่ากระบี่เร็วปลิดชีพ เพียงแค่มองท่าทางของพวกเขา ก็สามารถเปรียบเทียบว่าใครเก่งใครไม่เก่งได้อย่างง่ายดาย
หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้ากระบี่ในอ้อมแขนออกมาแล้วพุ่งมาด้านหน้า กระบี่เล่มนี้ยังไม่ทันออกจากฝัก ความทรงพลังที่แผ่ซ่านออกมาของกระบี่ก็ทำให้ไม่มีใครกล้าดูแคลน
อยู่ห่างออกไปไกล ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยที่ไม่มีวรยุทธ์ก็สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากกระบี่ จู่ๆ หัวใจของนางก็เต้นแรงด้วยความไม่สบายใจ
หนิงเซ่าชิงหมุนตัวหันหลัง อันดับแรกเขาป้องมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ด้านหลัง แต่ตอนที่เห็นกระบี่เล่มนั้นเขาก็ผลักมั่วเชียนเสวี่ยไปให้มั่วหมัวมัว อิ่งซาแปลงเป็นเงาดำ ยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิมของมั่วเชียนเสวี่ย
ไม่รอหนิงเซ่าชิงออกคำสั่ง มั่วเหนียงคว้ากระบี่ออกมา ในเวลาเดียวกันที่นางผนึกรวมพลังปราณปกป้องมั่วเชียนเสวี่ยตัวของนางก็เข้าสู่สภาวะเตรียมการต่อสู้
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
ทันทีที่ก้อนหินฝั่งตรงข้ามมีลำแสงกระบี่ปรากฏขึ้น ภายใต้ลำแสงกระบี่อันเยือกเย็น มั่วเชียนเสวี่ยไม่อาจแม้แต่จะลืมตาขึ้น ตอนนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง เห็นเพียงลำแสงกระบี่กวัดแกว่งอยู่เต็มท้องฟ้า หนิงเซ่าชิงถูกปกคลุมอยู่ใต้ลำแสงกระบี่ ลำแสงกระบี่ทะลุทะลวง กระบี่กำลังร้องคำราม
นี่ต่างหากที่เป็นการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือ คิดไม่ถึงว่าท่ามกลางคนที่ตามสังหารพวกเขาจะมียอดฝีมือระดับนี้ด้วย ดูท่าสิ่งที่ต้องเผชิญหน้าในอนาคต อันตรายยิ่งกว่าตอนนี้
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะกระวนกระวาย แต่ยังคงได้ยินเสียงของคนผู้นั้นที่อยู่ท่ามกลางเสียงคำรามอย่างชัดเจน “ให้กระบี่ไร้ใจมาเจอกับกระบี่หยกมายาสักครั้งสิ”
กระบี่ไร้ใจ! มั่วเชียนเสวี่ยหัวใจห่อเหี่ยว รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
หนิงเซ่าชิงไม่ได้คว้ากระบี่ออกมา
กระบี่ของเขายังเหน็บอยู่ที่เอว เขาไม่มีแม้แต่จะโอกาสกว้ากระบี่ออกมา
การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือ การคว้าโอกาสเอาไว้ก่อนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เห็นชัดว่าคนคนนี้คือยอดฝีมือในยอดฝีมือ จังหวะโอกาส จังหวะการต่อสู้ อารมณ์ ล้วนทำได้ดีทุกอย่าง
ตอนที่หนิงเซ่าชิงผลักมั่วเชียนเสวี่ยออก อินทรีบินโฉบมาอีกครั้ง หนิงเซ่าชิงโจมตีอินทรีที่โฉบบินอยู่จนร่วงตก ทว่าอีกด้านหนึ่งคนผู้นั้นได้ฟาดฟันลำแสงกระบี่ออกมาแล้ว ขณะหนิงเซ่าชิงผนึกพลังปราณ ลำแสงกระบี่ของคนผู้นั้นก็มาถึง
กระบี่ในฝ่ามือคนผู้นั้นออกจากฝักแล้ว ปลายกระบี่แหลมคมพุ่งเป้าไปยังหัวใจของหนิงเซ่าชิง กระบี่นี้เป็นการปลิดชีพอย่างแน่นอน ทั้งแม่นยำ เหี้ยมโหด รวดเร็วและไร้ความปรานี
ท่ามกลางความคับขัน หนิงเซ่าชิงเคลื่อนฝีเท้า ขยับตัว กระบี่เล่มนั้นเคลื่อนผ่านตัวของเขาไป ในขณะที่กระบี่แทงเสื้อของเขา มือของหนิงเซ่าชิงก็จับเอว แล้วคว้ากระบี่หยกมายาออกมา
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นกระบี่เล่มนั้นแทงเข้าไปที่เสื้อของหนิงเซ่าชิง หัวใจของนางกระดอนขึ้นมาถึงลำคอ เมื่อตั้งใจมองอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง นางไม่เห็นเลือดไหลออกมา กระบี่ทิ่มแทงโดนเสื้อผ้าบริเวณหน้าอกเท่านั้น
เห็นเพียงกระบี่เล่มนั้นถอนกลับ ในมือของหนิงเซ่าชิงถือกระบี่เอาไว้แล้ว
หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยที่บีบรัด ผ่อนคลายลงครึ่งหนึ่ง การฟาดฟันเมื่อครู่อันตรายเกินไปแล้ว หากหนิงเซ่าชิงเบี่ยงตัวหลบช้ากว่านี้อีกแค่เล็กน้อย กระบี่ก็จะแทงทะลุหน้าอกของเขา แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะสบายใจขึ้นเล็กน้อยแล้ว แต่แผ่นหลังของนางกลับเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
วิชากระบี่ของกระบี่หยกมายานั้นเบา มีจิตวิญญาณ ลึกลับและน่าอัศจรรย์ เมื่ออยู่ในมือของหนิงเซ่าชิงก็ยิ่งเคลื่อนไหวอย่างไม่อาจคาดการณ์ จุดด้อยแปรเปลี่ยนเป็นจุดแข็งในทันที
หนิงเซ่าชิงใช้การท้าทาย ฟาดฟัน ทิ่มแดงสามเคล็ดวิชา กระบี่ขับเคลื่อนด้วยจิตวิญญาณ ร่างกายเคลื่อนไหวตามกระบี่ ใช้เวลาเพียงครู่หนึ่งก็บีบให้ชายคนนั้นหายใจหอบ
เพียงแต่ ชายคนนั้นก็ไม่ธรรมดา เห็นชัดว่าต้องการสังหารหนิงเซ่าชิง ถึงแม้จะถูกบีบต้อนจนถอยหลัง แต่ทุกกระบวนท่าล้วนเหี้ยมโหด กระบี่ที่ฟาดฟันเปี่ยมไปด้วยอันตราย
การเคลื่อนไหวของกระบี่เล่มนั้น ไม่อาจคาดการณ์ได้ ทั้งยังไม่อาจต้านทาน
กระบี่ไร้หัวใจ กระบี่ไร้ความปรานี!
ชายคนนั้นโจมตีอยู่หลายครั้ง หลังจากพลิกสถานการณ์ได้มีลำแสงดาวตกทอประกาย ดาวตกพุ่งตรงไปทางหนิงเซ่าชิง เร็วยิ่งกว่าฟ้าแลบ
หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยกระดอนขึ้นมาถึงคออีกครั้ง นางคิดว่าครั้งนี้หนิงเซ่าชิงต้องบาดเจ็บใต้กระบี่เล่มนี้อย่างแน่นอน
ทว่า นางคิดผิดแล้ว
ติ๊ง เสียงดังขึ้น แสงระยิบระยับทอประกายทั้งสี่ทิศ
คิดไม่ถึงว่าหนิงเซ่าชิงจะรับกระบวนท่าที่เร็วดั่งดาวตกของกระบี่ไร้ใจได้
ขณะที่กระบี่ทั้งสองเล่มปะทะกัน คนผู้นั้นยังมีแผนสำรอง ฝ่ามือของเขาโจมตีมาด้านหน้า
หนิงเซ่าชิงร่ำเรียนในวัดเซียงกั๋วกับปรมาจารย์เทียนอี เขาเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของปรมาจารย์เทียนอี ทั้งยังร่ำเรียนวิชาที่ตระกูลหนิงสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ กำลังภายในของเขาจึงแข็งแกร่ง แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถเทียบได้
ภายใต้การปะทะของกระบี่ทั้งสองเล่ม ฝ่ามือกระทบกัน ร่างของชายผู้นั้นกระเด็นไปไกล
แต่ว่าเขากลับไม่ล้มลง ถึงแม้กระบี่ของเขาจะสั่นสะเทือนจนแหว่ง
ขากรรไกรของเขาก็สั่นสะท้านจนแตกร้าว แต่เขายังคงไม่ล้มลง ชายชุดดำกระโดดพลิกตัวบนอากาศ ยืนอยู่บนก้อนหินฝั่งตรงข้าม
“คุณชายใหญ่เก่งกาจสมคำล่ำลือจริง” พูดจบ เขาก็ผิวปากยาวๆ
ตามด้วยเสียงผิวปาก รอบตัวมีเสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้น
ด้านหลังหนิงเซ่าชิงมีเสียงที่คุ้นเคยของนกกาเหว่าดังขึ้น ในชั่วพริบตา ลอบตัวของพวกเขามีหน่วยลับเต็มไปหมด
หมัวมัวเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงพามั่วเชียนเสวี่ยขึ้นไปบนรถม้า ส่วนตนอยู่แนวหน้า ยืนอยู่บนหลังคา คอยปกป้องรถม้าทั้งคัน
มั่วเชียนเสวี่ยมองผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นร่างมากมายเดินออกมาจากหมอกหนา บรรดาหน่วยลับ…ล้วนพุ่งตัวออกไป…
อาซาน อาอู่ ชูอีและสืออู่ยืนอยู่ตรงรถม้า
หน้าที่ของพวกเขาคือปกป้องมั่วเชียนเสวี่ย
สำหรับด้านการต่อสู้ มั่วเชียนเสวี่ยไม่อาจช่วยอะไรได้ สิ่งเดียวที่นางช่วยได้คือซ่อนตัวให้ดี พยายามไม่สร้างปัญหาให้หนิงเซ่าชิงและหมัวมัว
คู่ต่อสู้ของเซ่าชิง เก่งกาจมาก! มิเช่นนั้น อิ่งซาไม่มีทางติดตามดั่งเงาอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้
มือทั้งสองข้างของมั่วเชียนเสวี่ยเต็มไปด้วยเข็ม ครั้งนี้ไม่ใช่เข็มสำหรับเย็บปักถักร้อย แต่เป็นเข็มทองที่ใช้ทิ่มแทงจุดฝังเข็ม