เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 204 อันตราย แผนซ้อนแผน (3)
สองคนนี้ประมาทที่พุ่งมาคว้าตัวนาง ทำให้จุดชาของตนเองปะทะเข้ากับเข็มของมั่วเชียนเสวี่ยเข้าพอดี
มั่วเชียนเสวี่ยว่องไวคล่องแคล่วมาก ฝ่ามือที่จะคว้าตัวนางของแต่ละคนก็โดนปักไปสามเข็มกลางฝ่ามือ
พอเข็มฝังลงไปคนก็ตัวชา รอยยิ้มเล็กๆ ของทั้งสองก็หยุดนิ่งอยู่ระหว่างริมฝีปาก และดวงตาของพวกเขาฉายแววความคาดไม่ถึงออกมาในขณะเดียวกันแผ่ความรู้สึกหวาดกลัวออกมาด้วยเช่นกัน
ในขณะนี้เองที่ กระบี่มายาหยกได้ลอยพุ่งเข้ามา ทะลุผ่านร่างทั้งสองแล้วก็วนกลับไป หนิงเซ่าชิงรับกระบี่แล้วเก็บเข้าฝัก เขาหันตัวยืนให้มั่นคงแล้วก็โผเข้ากอดมั่วเชียนเสวี่ย
เมื่อแน่ใจว่าคนที่อยู่ในอ้อมอกไม่เป็นอะไร เขาถึงได้วางใจลง
มั่วเชียนเสวี่ยตื่นตระหนกแต่กลับไม่ได้ร้องห่มร้องไห้เหมือนเด็กน้อยที่ต้องโผเข้าใส่อ้อมอกเขา หรือโหยหาคำปลอบโยน แต่ดวงตาของนางกลับแดงก่ำด้วยเพราะความวิตกกังวล “รีบไปข้างหน้า อาอู่หมัวมัวและชูอีพวกนาง…”
หนิงเซ่าชิงประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของนางเบาๆ พลางกล่าวปลอบโยนนางด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “อิ่งซาไปแล้ว” สวรรค์รู้ว่าในเวลานั้นเขาเป็นกังวลมากเพียงใด หากไม่ใช่เพราะสองคนนั้น มือหยุดนิ่งไป ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะได้ตัวนางไป
หยุดนิ่ง? ไม่ถูกต้อง!
หนิงเซ่าชิงปล่อยตัวมั่วเชียนเสวี่ย ใบหน้าสุขุมจดจ้องไปที่นาง “เมื่อครู่นี้เจ้าใช้เล่ห์กลหรือ” เป็นคำถาม แต่เขาก็มั่นใจ
“ใช่” ตีกลองไม่จำเป็นต้องใช้ค้อนหนัก นางย่อมจะรู้อยู่แล้วว่าที่เขาถามนั้นหมายถึงอะไร
หนิงเซ่าชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พบกุญแจสำคัญ จึงได้เอ่ยถาม “หมอหวังสอนเจ้าหรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้าอย่างเฉยเมย เดิมทีนางก็ไม่ได้คิดจะปิดบังเขาอยู่แล้ว เพียงแค่ช่วงนี้มีเรื่องมากมาย นางยังไม่ได้ฝึกฝังเข็มให้ดี กลัวว่าเขาจะหัวเราะเยาะจึงไม่ได้เล่าให้ฟัง
หนิ่งเซ่าชิงยิ้มอย่างโล่งใจ “มีวิชาไว้เพื่อปกป้องตัวเองจากอันตรายก็ดีเหมือนกัน”
มั่วเชียนเสวี่ยเงียบไป นัยน์ตาแลดูมีความกังวล “พวกเราก็ไปดูข้างหน้ากันเถอะ”
“ได้” พูดจบ หนิงเซ่าชิงก็ได้พยุงนางไปยังทิศทางที่รถม้าหยุดอยู่
รอให้พวกนางพบตำแหน่งของรถม้าคันที่เกิดเรื่องขึ้น อิ่งซาก็ได้จัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว
มั่วเหนียง อาอู่ มีคราบเลือดอยู่เต็มตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บต่างระดับกัน ชูอีสลบอยู่ข้างทาง อิ่งซาจัดคนให้ติดตามคนของมั่วเชียนเสวี่ย และให้ไปรับนางมาด้วย
ภายใต้คำสั่งของอิ่งซา องครักษ์ลับสองคนกับอาอู่ก็ขุดหลุมแล้ว พวกเขาจำเป็นต้องจัดการกับร่องรอยเหล่านี้ทั้งหมด และจะต้องไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ให้ใครตามมาพบเจออีก เมื่อฟังการรายงาน และคำตัดสินของมั่วเหนียงแลัว หนิงเซ่าชิงก็เหงื่อตกเพราะเขาประมาท โชคดีที่คนกลุ่มนี้คิดจะจับเป็นพวกเขา ไม่ได้ต้องการจะฆ่า
และเขาก็มาทันเวลาด้วย หากพวกเขาจับตัวมั่วเชียนเสวี่ยไว้ได้ วางมีดทาบลงที่คอของนาง ตั้งกองกำลังซุ่มโจมตี ผลที่จะตามมาก็น่าสยดสยองเกิดกว่าคาดคิดได้
องครักษ์ลับมาทีละคน ภายใต้คำสั่งของอิ่งซา หลังจากฝังผู้ที่มาโจมตีเหล่าแล้ว พวกเขาก็เริ่มทำความสะอาดร่องรอยการต่อสู้ทุกอย่างรอบๆ
มั่วเหนียงปลุกชูอีขึ้นมา และป้อนยาลูกกลอนรักษาบาดแผลให้แก่นาง ทั้งยังรักษาบาดแผลให้นางอย่างรวดเร็ว
ที่บนเนินเขา หนิงเซ่าชิงยืนหันหน้าไปทางที่พระอาทิตย์ตกดิน ประกายของแสงก็พาดผ่านร่างของเขา จนเปล่งประกายระยิบระยับ
เขาเงยหน้าขึ้น มองข้ามไปยังผืนป่าทั่วภูเขา ดวงตาแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พลังปราณมหาศาลที่กดเอาไว้แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา
ความอ่อนโยน เยือกเย็น สันโดษเหล่านั้นล้วนถูกขับออกมาเบื้องหน้าแทนที่พลังกดทับ
เขาไม่ใช่แค่อาจารย์หนิงแห่งสำนักปฐมวัยที่อ่อนโยนคนนั้นอีกต่อไป แต่เขายังเป็นคุณชายอันดับหนึ่งของสุดยอดตระกูลขุนนางอีกด้วย เป็นว่าที่หัวหน้าตระกูลของตระกูลขุนนางที่เวลาเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็ไม่ต้องก้มหัวคนนั้น
พลังกดทับทำให้ชูอีและสืออู่ตัวสั่นไปด้วยความกลัวดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ แต่กลับทำให้มั่วเหนียงผุดร้อยยิ้มขึ้นมาในดวงตาเล็กน้อย นางพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
อิ่งซา อาซานและอาอู่มีสีหน้าที่แลดูโล่งใจ เจ้านายของพวกเขากลับมาแล้ว
พลังในกายที่สามารถเรียกมาและสามารถปล่อยออกไปได้อย่างอิสระ ฝีมือสูงส่ง เขาคือผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในเขตแคว้น!
เหมือนว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะรู้สึกว่าเขานี่แหละถึงจะเป็นราชาของดินแดนนี้ และเขากำลังตรวจสอบทุกอย่างที่เป็นของเขาอย่างละเอียด
แม้ว่าจะมีความรู้สึกมากมายอัดแน่นอยู่ในใจมั่วเชียนเสวี่ยเต็มไปหมด แต่นางกลับไม่ต้องการรบกวนสภาวะจิตใจของเขาในเวลานี้ ดังนั้นจึงยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ เป็นเพื่อนเขา ‘ตรวจสอบ’ ป่าผืนนี้
นางเคยพูดว่า
‘ถ้าเขาอยู่ นางก็จะอยู่เป็นเพื่อนเขาดูความงดงามของโลกใบนี้’
‘หากเขาต้องการต่อสู้ แม้จะอยู่ในสถานที่ที่อันตรายที่สุดนางก็จะช่วยเขา ถึงแม้ยิ่งสูงจะยิ่งหนาว นางก็จะอยู่เป็นเพื่อนเขา’
ไม่นานนัก อาซานก็บังคับรถม้าออกไป สืออู่ก็ควบม้าออกไปอย่างรีบเร่ง ที่ด้านหลังยังมีองครักษ์ชุดดำติดตามมาสี่คนด้วย
หลังจากที่เก็บของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หนิงเซ่าชิงก็กุมมือมั่วเชียนเสวี่ยขึ้นรถม้าไป อาอู่บังคับรถม้า ชูอีได้รับบาดเจ็บจึงนั่งบนรถม้าไปด้วย
หมัวมัว สืออู่และอาซานล้วนขี่ม้าคอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ รถม้า อิ่งซาก็ไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในความมืดอีกต่อไป แต่ขี่ม้าตามหลังมาพร้อมกับองครักษ์ชุดดำทั้งสี่คนนั้น
หนิงเซ่าชิงพูดให้มั่วเชียนเสวี่ยฟัง “รถม้าคันนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ สามารถป้องกันกระบี่ดาบธรรมดาๆ ได้ หากมีเหตุฉุกเฉินระหว่างทาง เจ้าอย่าได้ออกไปจากรถม้านี่เด็ดขาด”
“ลำบากท่านแล้ว”
“ระหว่างเจ้ากับข้า ยังต้องพูดคำเหล่านี้อีกหรือ…”
สายลมยามเย็นช่างสดชื่น กองกำลังกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปทางเมืองหลวงยามค่ำคืนอย่างรวดเร็ว
คานแกะสลัก สะพานหินสีแดงสด ลำเหมืองแดงต้นหลิวเขียวขจี มีองครักษ์คุ้มกันอย่างแน่นหนา องอาจเคร่งขรึม
ในวังที่มีการป้องกันหลายชั้น ภายใต้ม่านมุกหนาทึบ เหนือห้องโถงขึ้นไป มีชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีเหลืองและรัดเข็มขัดหยกมองดูคนที่นั่งอยู่ข้างล่างห้องโถงด้วยรอยยิ้ม
“มีข่าวคราวบุตรชายคนโตของตระกูลหนิงใช่หรือไม่”
คนที่อยู่ใต้ห้องโถง ตัวสั่น ดวงตาของเขาฉายแววความเย็นชา แต่กลับยิ้มประจบ “ฝ่าบาทช่างคาดเดาได้แม่นยำจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยิ้มพลางกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะต้องแสดงความยินดีล่วงหน้ากับจ้าเรือนเซี่ยที่จะได้ครอบครองตระกูลหนิง และเพลิดเพลินกับความมั่งคั่งใช่หรือไม่” เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม น้ำเสียงเย็นเยียบ ทำให้เขารู้สึกเย็นที่เท้า
หัวหน้าตระกูลเซี่ยเงียบลงในทันที ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะแสร้งทำเป็นนิ่งสงบพลางยิ้ม “ฝ่าบาทกล่าวหนักเกินไปแล้ว ถึงแม้ว่าคุณชายหนิงจะต้องเผชิญชะตากรรมอันโชคร้าย ทว่าตระกูลหนิงก็ยังต้องเป็นของคนแซ่หนิงอยู่ดี เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเซี่ยของกระหม่อมด้วยหรือ”
ฝ่าบาทยื่นมือออกมายาวเกินไป ดูท่าเขาจะต้องกลับไปเก็บกวาดให้เรียบร้อย ใครกันนะที่กล้าเปิดเผยข้อมูลสำคัญนี้ ทำให้เขาถูกครอบงำในทันที
“หัวหน้าตระกูลเซี่ยถ่อมตัวเกินไปแล้ว คนซื่อสัตย์ไม่นินทาใครลับหลัง” สายตาเจ้าเล่ห์ของฮ่องเต้แวบเข้ามาในดวงตา ทว่าเขากลับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่มีใครไม่รู้ว่า คุณชายรองของตระกูลหนิงมาจากตระกูลเซี่ย หากเขามีอำนาจควบคุม ก็ย่อมที่จะพึ่งพาอำนาจของตระกูลเซี่ยของเจ้า”
ความกลัวทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่เขาในตอนนี้
หัวหน้าตระกูลเซี่ยกกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “เรื่องของตระกูลหนิง อยู่เกินอำนาจของกระหม่อม ยังไม่รู้ว่าคุณชายรองตระกูลหนิงผู้นั้นจะถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าตระกูลหรือไม่ ถึงแม้นมีวันที่เขาได้เป็นหัวหน้าตระกูลจริงๆ จะนับหรือไม่นับญาติกับตระกูลเซี่ยของกระหม่อมซึ่งเป็นตระกูลทางฝั่งแม่เขาหรือไม่นั้นก็พูดได้ยาก”
มีเพียงสามคนบนโลกใบนี้ที่ไม่ต้องเรียกตนเองว่าบ่าวหรือทาสต่อหน้าฮ่องเต้ นั่นก็คือหัวหน้าตระกูลจากทั้งสามสุดยอดตระกูลขุนนาง แม้กระทั่งเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ไม่ต้องคุกเข่าคำนับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพอเจอฮ่องเต้จะสามารถพูดจาเหลวไหล อาละวาด หรือเชิดหน้าใส่พระองค์ได้ การแสดงความเคารพก็ควรกระทำอย่างเหมาะสม
เมื่อเห็นใบหน้าที่เพิกเฉยของฮ่องเต้ หัวหน้าตระกูลเซี่ยจึงได้กล่าวต่อ “ฝ่าบาทคงจะยังไม่รู้ ถึงแม้ว่าเซี่ยซื่อจะแซ่เซี่ย แต่กลับไม่ใช่ทายาทสายตรงของตระกูลเซี่ย ไม่ใช่ลูกของอนุด้วยซ้ำ เป็นเด็กผู้หญิงที่ถูกทิ้งและถูกเก็บมาเลี้ยง ตั้งแต่ที่แต่งเข้าตระกูลหนิงไป ก็ได้ตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเซี่ยที่เลี้ยงดูนางแล้ว ไม่มีการติดต่อกันอีก”