เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 16 ต้องสู้ถึงจะรอด (1)
ตอนที่ 16 ต้องสู้ถึงจะรอด (1)
แม้ว่านางจะไม่เข้าใจ แต่คงทำได้แต่ปักใจเชื่อเช่นนี้เท่านั้น หรือว่าสาวเทื้อผู้นี้ขึ้นคานมานานแล้วถึงได้หิวและกระหายเพียงนี้ ขนาดหลับไปแล้วยังตะเกียกตะกายเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาเสียได้
น่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก!
ยังดีที่นางตื่นเช้าทุกครั้ง จึงผละออกมาได้อย่างรวดเร็ว เรื่องพวกนี้ไม่สามารถทำให้ชายตายด้านและหยิ่งยโสผู้นั้นเข้าใจได้ ไม่เช่นนั้นคงได้ตกใจกลัวจนเกิดล้มป่วยขึ้นมาอีกครั้งแน่
ดังนั้น มั่วเชียนเสวี่ยจึงตั้งปนิธานว่าหากนางได้เข้าเมืองอีก เรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องทำก่อนเลยก็คือการซื้อผ้าห่มผืนใหม่อีกผืน
มั่วเชียนเสวี่ยนอนไม่หลับทั้งคืน พลิกตัวไปมาอยู่พักหนึ่งแล้วก็ผล็อยหลับไป
หนิงเซ่าชิงนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแต่กลับนอนไม่หลับอีกเช่นเคย นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าผ้าห่มของเขาผืนนี้นั้นช่างบางแถมยังเย็นอีก!
ฟ้าเพิ่งจะสว่าง อาซ้อฟางกับอาซ้อกุ้ยฮวาก็ได้มาถึงที่หน้าประตู
มั่วเชียนเสวี่ยบอกทั้งสองคนให้เก็บกวาดห้องครัวและห้องถัดไปที่เรือนปีกฝั่งตะวันออกซึ่งถูกทิ้งร้างมานานหลายปีให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ของเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วก็ควรทิ้งและโยนออกไปได้เลย! หลังจากทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่องแล้ว ก็จะได้จัดการเนรมิตเรือนปีกนั้นให้เป็นคลังสินค้า แม้จะใช้เก็บของได้เพียงเล็กน้อยก็นับว่ายังดีกว่าปล่อยไว้
ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยให้อาซ้อกุ้ยฮวากลับไปก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว เพียงแต่ยังให้อาซ้อฟางอยู่ต่อ
นางอธิบายถึงการสร้างพิมพ์ไม้ทำเต้าหู้อย่างคร่าวๆ ว่าแท้จริงแล้วมันก็คือถาดไม้นั่นเอง จากนั้นนางก็ให้เงินอาซ้อฟางเป็นจำนวนหนึ่งร้อยอีแปะเพื่อเป็นค่าจ้างให้สามีของอาซ้อฟางช่วยทำเพิ่มอีกสักสองสามถาด
ชายหนุ่มในหมู่บ้านนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีฝีมือดี การทำงานไม้ธรรมดาๆ นี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
ในตอนแรกอาซ้อฟางไม่ได้ต้องการเงิน เพียงแต่ทนต่อแรงคะยั้นคะยอของมั่วเชียนเสวี่ยไม่ไหวสุดท้ายก็เลยยอมรับไว้ห้าสิบอีแปะเท่านั้น
ยามนี้รายได้จากการทำงานของสามีนางในแต่ละวันได้มากที่สุดก็สิบกว่าถึงยี่สิบอีแปะ ทั้งที่ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวัน เทียบกับการพิมพ์ถาดไม้ไม่กี่ถาดเหล่านี้ ถาดหนึ่งใช้เวลามากสุดก็สองสามวันก็ทำเสร็จ แต่กลับสบายกว่าการทำงานหนักๆ ที่ท่าเรือมาก ขอนไม้แค่ขึ้นไปตัดบนเขาก็ได้มาแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่อาจรับเงินที่ขัดต่อหลักมโนธรรมได้
เมื่อวางแผนเรื่องเหล่านี้เสร็จก็เลยเที่ยงวันมาแล้ว พอนางทำอาหารเสร็จเรียบร้อยก็ได้ส่งหนิงเซ่าชิงเข้านอน มั่วเชียนเสวี่ยเอาพลั่วไปด้วยแล้วเดินไปที่หลังเขาเพียงลำพัง
มีงานสามแขนงที่ทำได้ยากมากมาตั้งแต่สมัยโบราณ นั่นก็คือ การต่อเรือ หลอมเหล็ก และการทำเต้าหู้ แน่นอนว่านางไม่อาจเพ้อฝันไปว่าลำพังการขายเต้าหู้จะสามารถสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวได้มากนัก เพียงแต่เต้าหู้เป็นอะไรที่สามารถคืนทุนได้ง่ายที่สุดก็เท่านั้นเอง
การทำเต้าหู้ ไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญก็สามารถทำออกมาได้ ชีวิตที่แล้วทุกครั้งที่ถึงเทศกาลวันปีใหม่ แม่ก็จะอยู่ที่บ้านเพื่อทำเต้าหู้เอาไว้ใช้ต้อนรับแขก นางเองก็เคยช่วยแม่ทำอยู่บ่อยครั้ง จึงย่อมคุ้นเคยกับวิธีการทำเป็นอย่างดี
เต้าหู้ดีเกลือ! สิ่งสำคัญที่สุดในการทำเต้าหู้ก็คือดีเกลือ หลังจากที่ต้มเกลือหยาบแล้วให้เหลือของเหลวสีดำไว้ที่เรียกกันว่าเหยียนหลู่ เป็นวัตถุดิบที่ทำให้เต้าหู้จับตัวเป็นก้อนได้ดี
ยังจำได้ว่าในเวลานั้นเพื่อที่จะทำดีเกลือแล้วแม่ก็จะเสาะหาเกลือหยาบจากทุกๆ ที่ แต่ภพชาตินี้เกลือหยาบมีอยู่ทุกแห่งหน นางจึงแทบไม่ต้องไปเสาะหา ซึ่งในตอนนี้ก็มีอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว
กลับกันหากเป็นการทำซีอิ๊วที่ต้องใช้เห็ดฟาง นางเดินไปทั่วเมืองเทียนเซียงแล้วแต่ก็หาไม่เจอ ในยุคสมัยนี้ ผู้คนยังไม่กล้ากินเห็ดชนิดต่างๆ อย่างซี้ซั้ว ดังนั้นในท้องตลาดจึงมีเพียงเห็ดหอมทั่วๆ ไปเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่วางขายกัน
เมื่อขาดเห็ดฟาง รสชาติของซีอิ๊วที่ทำออกมาจึงไม่อร่อย นอกจากสีที่ค่อนข้างอ่อนแล้วก็ยังขาดคุณค่าทางสารอาหารอีกด้วย
ดังนั้น นางจะต้องขึ้นไปบนเขาเพื่อค้นหาด้วยตนเอง
ยามนี้อยู่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง จึงมีใบไม้แห้งเหี่ยวอยู่ทั่วทั้งภูเขาและพื้นที่ราบ สีเหลืองอร่ามเต็มไปหมด ซึ่งสอดคล้องกับแนวความคิดของภาพวาดสีเหลืองทองที่มีอยู่ทั่วๆ ไป
มั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้าไปในภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้พร้อมกับจิตวิญญาณอันกล้าแกร่ง ดังนั้นนางย่อมไม่มีจิตใจมาชื่นชมสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะมีอยู่หลายครั้งที่นางเกือบจะต้องตกหลุมพรางที่พวกนักล่าได้สร้างเอาไว้เพื่อใช้ดักจับสัตว์ป่า
แม้ว่าจะมีเห็ดหลากหลายชนิดอยู่ในตะกร้าที่นางแบกอยู่บนหลัง ทว่าในนั้นกลับไม่มีเห็ดฟางอยู่เลย
มั่วเชียนเสวี่ยเช็ดเหงื่อพลางเงยหน้าขึ้น พบว่าพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
นี่ก็เย็นมากแล้ว นางจึงเดินกลับตามเส้นทางเดิม แต่แล้วก็พบกองสีน้ำตาลตรงรากไม้ใต้เนินเขาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลโดยบังเอิญ
โชคดีจริง! นี่มันเห็ดฟางกองใหญ่…
ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยฮัมเพลง เก็บเห็ดฟางอย่างสบายใจอยู่ จู่ๆ ก็มีร่างพุ่งออกมาจากทางด้านหลังของนาง สองมือกางออกและกำลังจะโผเข้ากอดรัดตัว
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกถึงความผิดปกติเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ สายตาเหลือบมองเห็นเงาดำตะคุ่มกระโจนเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว เป็นไปตามการตอบสนองต่อสิ่งเร้า นางหลบหลีกมาด้านข้างอย่างรวดเร็ว ทำให้เงาของร่างนั้นพุ่งปะทะสู่อากาศที่ว่างเปล่า จากนั้นก็ล้มหัวทิ่มลงไปกองอยู่ที่พื้นเสียงดัง ปั้ก!
เมื่อเห็นว่าเขาลงไปทับอยู่บนเห็ดฟางกองใหญ่ ไม่เพียงแต่ลืมตระหนักถึงอันตรายที่นางกำลังเผชิญอยู่แต่กลับเบะปาก นางรู้สึกเสียดายเห็ดฟางที่ยังไม่ทันจะเก็บไปหมด แต่แล้วพวกมันก็ถูกร่างของคนผู้นั้นกดทับลงไปเสียได้
ซวยจริง! คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ กล้ามาทับเห็ดฟางของนางจนเสียหาย นางหยิบพลั่วเล็กๆ ขึ้นมาพร้อมกับกำลังจะเดินไปข้างหน้า
ทันทีที่คนผู้นั้นตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น ไม่เพียงแต่เขาจะไม่โกรธ แต่กลับทำหน้าทะเล้นใส่นางอีก “เอ๋ หนิงเหนียงจื่อนี่เอง”
“หลี่ไคสือ? เป็นเจ้าเองหรอกหรือ เจ้าคิดจะทำอะไรข้า”
มั่วเชียนเสวี่ยมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าเป็นใคร เขาคืออันธพาลเลื่องชื่อประจำหมู่บ้าน
ในวันนั้นระหว่างทางที่ไปบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านกับอาซ้อจางก็ได้พบกับอันธพาลผู้นี้เข้าพอดี ยามนั้นเขาดูมีเจตนาที่แอบแฝง ดวงตาของเขากวาดมองไปทั่วใบหน้าของนาง ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
อาซ้อจางจึงอาศัยทักษะทางวาทศิลป์ของนาง กล่าวเยินยอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเขาพร้อมกับแต่งเสริมเติมแต่งจนเกินจริงออกไป
ชายผู้นี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว ปลิ้นปล้อน ลักเล็กขโมยน้อย ลวนลามหญิงสาว… ดูเหมือนเรื่องเลวร้ายเหล่านี้เขาจะเคยทำมาหมดแล้ว เพียงแต่ไม่เคยก่อเรื่องใหญ่โตอะไร มิหนำซ้ำพ่อของเขายังเป็นผู้อาวุโสของที่นี่อีก ดังนั้นคนในหมู่บ้านจึงไม่สามารถเอาเรื่องอะไรกับเขาได้
“หนิงเหนียงจื่อ คนป่วยกระเสาะกระแสะอ่อนแอที่บ้านเจ้าคงจะใช้การอันใดไม่ได้…” หลี่ไคสือเมื่อได้ยินนางตะโกนถามก็เดินเข้าไปใกล้นางทีละก้าวๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพลางพูดถึงเรื่องลามกไปด้วย
มั่วเชียนเสวี่ยคิดว่าหากตะโกนขอความช่วยเหลือในยามนี้คงจะไม่ทันการ จึงค่อยๆ ถอยหลังมาสองก้าว นางเขวี้ยงพลั่วที่อยู่ในมือออกมาใส่หลี่ไคสือทันที จากนั้นจึงยกตะกร้าที่อยู่ข้างๆ ขึ้นหลังแล้ววิ่งหนีไป
ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองท่ามกลางหุบเขาและทุ่งหญ้า นี่เป็นแหล่งก่ออาชญากรรมอย่างแท้จริง
สู้ไม่ได้ ก็ต้องหนี!
หลี่ไคสือถูกพลั่วที่อยู่ในมือของมั่วเชียนเสวี่ยพุ่งเข้าที่ใบหน้าของเขาจนเกิดรอยแผล
กว่าเขาจะรู้ตัว มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้แบกตะกร้าวิ่งออกไปไกลแล้ว
เขาลูบไปที่บาดแผลบนใบหน้า มองทิศทางที่มั่วเชียนเสวี่ยกำลังวิ่งไปแล้ววิ่งตามไปพร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้าย
หญิงสาวคนนี้ต้องหวาดกลัวมากแน่จึงไม่ไปทางที่ลงจากเขา แต่กลับวิ่งไปทางขึ้นเขาแทน ดูท่าแล้ววันนี้เขาคงจะได้สุขสมอารมณ์หมาย เมื่อนึกถึงภาพที่จะได้กอดสาวน้อยจอมพยศผู้งดงามนี้และค่อยๆ ได้เชยชมนางแล้ว บาดแผลบนใบหน้าเพียงเท่านี้ก็ไม่ได้เจ็บสักเท่าไหร่นักแถมยังทำให้วิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ระยะห่างสั้นขึ้นเรื่อยๆ ห้าสิบจั้ง สามสิบจั้ง ยี่สิบจั้ง…
ห่างเพียงยี่สิบจั้ง…
ท่ามกลางภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ เสียงหายใจแรงถี่กับเสียงฝีเท้าอลหม่านทำให้พวกนกตกใจจนบินหนีกระเจิดกระเจิง พวกมันบินขึ้นไปในอากาศพลางกระพือปีกบินวนอยู่รอบๆ
บรรยากาศอึมครึม ใบไม้สีเหลืองปลิดปลิว
ราวกับบนโลกใบนี้ เหลือเพียงร่างของพวกเขาสองคน ที่คนหนึ่งไล่คนหนึ่งหนี เป็นผู้ล่าและถูกล่า! เพียงแต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วใครกันแน่ที่ถูกล่า?
ใกล้จนแทบจะเอื้อมถึง!
สถานการณ์คับขัน!
หลี่ไคสือกระโดดพุ่งเข้าไป!
มั่วเชียนเสวี่ยเร่งฝีเท้าขึ้นในทันที วิ่งกระโจนไปข้างหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี
นิ้วของหลี่ไคสืออยู่ห่างจากมั่วเชียนเสวี่ยเพียงหนึ่งจั้งเท่านั้นและเขาก็เต็มใจกระโดดพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้งเพื่อโอบรัดร่างบางและสง่างามเบื้องหน้า ทว่าใต้เท้าของเขากลับโล่งโหวง
อ๊ากกก เสียงกรีดร้องดังกึกก้องเป็นระลอกไปทั่วป่า