เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 147 หายนะ กับดักคร่าชีวิต (2)
หันกลับไปมองหนิงเซ่าชิงที่นอนหลับตาพักผ่อน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ลำแสงทอประกายเคลื่อนผ่าน
“ท่านเจตนา?” ถ้อยคำเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงกลับมั่นใจ
หนิงเซ่าชิงโอบกอดมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ คลายยิ้มบางๆ “อืม ข้าเจตนา”
“เออะ…” มั่วเชียนเสวี่ยสำลัก นางไม่เคยคาดคิดมาก่อน คนกระทำเรื่องเลวร้าย จะยิ้มบางๆ ได้อย่างมั่นอกมั่นใจและมีเหตุผลดั่งเช่นที่ผ่านมา อ่อนน้อมราวกับเป็นสุภาพบุรุษที่ถ่อมตน หนิงเซ่าชิงใจดำเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ถึงได้ลงมือทำร้ายเด็กน้อยน่าสงสารที่ไม่มีใครรักได้ จื่อจิ้งที่น่าสงสาร…
“เขายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง” มั่วเชียนเสวี่ยไม่พอใจเล็กน้อย
“คิดคำนวณดูแล้ว ปีนี้เขาอายุยี่สิบเอ็ด เกิดปีเดียวกับข้า แล้วจะเป็นเด็กได้อย่างไร” หนิงเซ่าชิงลืมตาขึ้นเล็กน้อย ยื่นมือไปดึงตัวมั่วเชียนเสวี่ยที่เปิดม่านมองดูทิวทัศน์ โอบกอดนางเอาไว้ ประทับจุมพิตลงบนดวงแก้มของนาง “หลังจากนี้ห้ามเจ้าใกล้ชิดสนิทสนมกับถงจื่อจิ้ง”
มั่วเชียนเสวี่ยเอามือก่ายหน้าผาก บุรุษคนเดิมที่เมื่อก่อนกระมิดกระเมี้ยน ขอเพียงมีความเสน่หาเล็กน้อยก็แก้มแดงจนถึงใบหูหายไปไหนแล้ว ตอนนี้ ท่านอาจารย์ผู้กระมิดกระเมี้ยนไม่ได้คว้าตัวนางเอาไว้แล้วพูดว่า ข้าหิวแล้ว ไปทำอาหารให้ข้าหน่อยอีกแล้ว
แต่ใช้การกระทำบอกกับนาง ข้าหิวแล้ว อาหาร…อาหารที่จะกินแน่นอนว่าคือนาง
เพียงแต่ว่า กลิ่นน้ำส้มสายชูยังเต็มเปี่ยม
ความเป็นจริง นางเองก็รู้สึกว่าวันนี้ถงจื่อจิ้งติดตามมาด้วยเป็นเรื่องที่ไม่ควรจริงๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ออกมาเที่ยวเล่นกันสองคน ผู้ใดอยากจะพาตัวถ่วงมาด้วยเล่า
เพียงแต่เมื่อคิดถึง วันนี้ก็เป็นวันที่ต้องอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา…
นึกถึงวันที่ต้องอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา นึกถึงถงจื่อจิ้ง ก็จะคิดถึงน้องชายและครอบครัวในยุคปัจจุบัน สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยหม่นหมองเล็กน้อย
“เชียนเสวี่ย เจ้ากำลังคิดสิ่งใดหรือ” เสียงนุ่มนวบของหนิงเซ่าชิงดังขึ้นที่ข้างหู
มั่วเชียนเสวี่ยพูดความในใจออกมาด้วยพฤติกรรมเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข “ข้า…กำลังคิด ข้า…คือใคร มาจากที่ใด…” พูดครึ่งประโยคแรกไปแล้ว นางตื่นจากฝันกะทันหัน ด้วยเหตุนี้จึงซ่อนเร้นเล็กน้อย พูดด้วยความเกินจริงไปหน่อย “ใคร่อยากจะไปที่ใด จะประสบความสำเร็จในด้านใด”
พูดจบแล้วรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที นี่มันใช้ความคิดมากเกินไป ลุ่มลึกมากเกินไป มีชั้นเชิงมากเกินไปแล้ว
หนิงเซ่าชิงชะงัก กำลังจะคิดพิจารณา ลมหนาวจากด้านนอกพัดลอยมา กระทบกับหน้าต่างรถม้า เลิกผ้าม่านขึ้นเล็กน้อย เมื่อลมหนาวพัดผ่าน มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะขยับตัวเข้าไปในอ้อมกอดของหนิงเซ่าชิง
หนิงเซ่าชิงยิ้มร่าทันที “ที่แท้สถานที่ที่เสวี่ยเสวี่ยอยากจะไป ก็คืออ้อมกอดของสามีนี่เอง” จากนั้นจับจ้องไปที่นาง พูดด้วยความเสน่หาอย่างมาก “วางใจเถอะ เรื่องประสบความสำเร็จ ข้าจะไม่ให้เจ้ารอนาน”
กล่าวจบ กระชับกอดมั่วเชียนเสวี่ย “ในเมื่อเจ้าซาบซึ้งมากขนาดนี้ เช่นนั้นจะให้เจ้าได้สัมผัสอย่างดี”
มั่วเชียนเสวี่ยเหงื่อแตก นี่มันอะไรกันเนี่ย เห็นนางเป็นผีลามกหรืออย่างไร คำไหนของนางที่บอกว่าต้องการ แล้วคำไหนของนางที่บอกว่าความปรารถนาของนางไม่ได้รับการเติมเต็ม รถม้าโยกไปมา อ้อมกอดของหนิงเซ่าชิงทั้งกว้างและอบอุ่น มั่วเชียนเสวี่ยเองก็ไม่อยากไปถือสาคำพูดหยอกล้อของเขา นางซบอยู่ในแผงอกอบอุ่น หลับตาลงอย่างเกียจคร้าน ฟังเสียงลมพัดใบไม้ เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดิน และยังมีเสียงหัวใจเต้นของหนิงเซ่าชิง เป็นครั้งแรกที่มั่วเชียนเสวี่ยนอนหลับบนรถม้า
หนิงเซ่าชิงสัมผัสได้ถึงเสียงลมหายใจนิ่งสงบของคนในอ้อมกอด ปรับท่านั่งครู่หนึ่ง ให้มั่วเชียนเสวี่ยซบอยู่บนตัวเขาได้สบายขึ้น จากนั้นเขาหยิบผ้าคลุมที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาห่มให้กับนาง บอกกับอาอู่ที่เป็นคนขับรถม้า ให้ขับรถม้าช้าลงเล็กน้อย ขับให้นิ่งๆ หน่อย แล้วจึงหลับตาลง ลูบผมของมั่วเชียนเสวี่ยเบาๆ เข้าสู่การคิดไตร่ตรอง
มั่วเชียนเสวี่ยปวดคอเล็กน้อย ลืมตาขึ้นเพิ่งรู้ว่ารถม้าจอดลงแล้ว จากนั้นมองมุมปากที่ซ่อนรอยยิ้มบางๆ ของหนิงเซ่าชิง
นางตื่นเพราะโดนหนิงเซ่าชิงกัด? หนิงเซ่าชิงกัดนางอีกแล้ว ไม่ได้ นางต้องกัดตอบ
ปล่อยมือที่วางไว้บนคอ มั่วเชียนเสวี่ยโผเข้าหาหนิงเซ่าชิง เป้าหมายของนางไม่ใช่คอ…
เวลานี้ ม่านรถม้าถูกเปิด
“เจ้านาย ถึงทิงเฟิงเฉวียนแล้วขอรับ…”
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นด้านใน ฮูหยินกดนายท่านลง อีกทั้งริมฝีปากของทั้งสองยังแนบติดกัน แววตาเสมือมีดที่คมกริบของนายท่าน…อาอู่รีบปิดผ้าม่าน กระวนกระวายขึ้นมาทันที
ขายหน้าเกินไปแล้ว! มั่วเชียนเสวี่ยมองค้อนไปที่หนิงเซ่าชิง เหตุใดคนที่เป็นฝ่ายขายหน้าจึงเป็นนางทุกที นี่เขาเจตนาหรือ หนิงเซ่าชิงจับริมฝีปากที่มุ่ยด้วยความคับแค้นใจของมั่วเชียนเสวี่ยให้เรียบ พูดกระซิบด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างหูนาง “กลับบ้านไปจะให้เสวี่ยเสวี่ยกัดจนพอใจ ดีหรือไม่”
มั่วเชียนเสวี่ยถลึงตามองหนิงเซ่าชิง แล้วหันไปมองด้านนอก เห็นรถม้าจอดที่ทิงเฟิงเฉวียน ถามด้วยความสงสัย “ท่านไม่ไปตระกูลเจี่ยนกับข้าหรือ”
หนิงเซ่าชิงส่ายหน้า บอกเพียงว่า งานใหญ่เช่นนี้ เขาไม่สะดวกที่จะเผยหน้า
แต่ว่า มั่วเชียนเสวี่ยเห็นความทระนงตนในแววตาของเขา จึงรู้ว่าตระกูลเจี่ยนไม่อยู่ในสายตาของเขา เขาไม่อยากให้เกียรติไปร่วมงาน ด้วยเหตุนี้นางจึงทำปากมุ่ยอีกครั้ง หนิงเซ่าชิงพูดปลอบ บอกว่าเขาจะรอนางที่นี่ หลังจากนั้นรอมั่วเชียนเสวี่ยดูเจี่ยนชิงโยวมอบสุยหลี่[1]เสร็จ แล้วค่อยกลับมาพบกัน ไปชมโคมด้วยกัน แล้วค่อยกลับบ้านด้วยกัน
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าเขาคิดได้อย่างรอบคอบ คิดว่าเขาอาจจะมีธุระที่ทิงเฟิงเฉวียน จึงไม่ได้ดึงดันให้เขาไป
สองตระกูลใหญ่แห่งเมืองเทียนเซียงผูกดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน ซูชีอยู่เมืองเทียนเซียง ย่อมได้รับเทียบเชิญ เขาสามารถไม่สนใจตระกูลเจี่ยนและตระกูลซิน แต่ว่า หลังจากเขาไปจากเมืองนี้ การค้าของตระกูลซู เขาจำเป็นต้องให้ทั้งสองตระกูลช่วยดูแล แน่นอนว่าต้องไปร่วมงาน
บนโต๊ะอาหารเที่ยง สุราวนดื่มหลายรอบ พูดคุยเสวนากัน
ซูชีเดินออกจากงาน หลังจากผ่านวันนี้ไป เขาตั้งใจจะไปจากเมืองเทียนเซียง กลับเมืองหลวง เพียงแต่ไม่รู้ว่าสตรีคนนั้น จะสบายดีหรือไม่ ไม่รู้ว่าหลังจากตนไปแล้ว หญิงงามคนนั้นจะจำตนได้หรือไม่ จะจำได้หรือไม่ว่าชีวิตนี้เคยมีคนที่ชื่อซูชีผ่านเข้ามา
วันที่แปดคุณหนูห้าเจี่ยนชิงหวาและคุณหนูเจ็ดเจี่ยนชิงเจินออกจากจวนพร้อมกัน แม้เจี่ยนชิงหวาจะถูกหนิงเซ่าชิงตะหนิและไล่ออกไป แต่อย่างน้อยวันนั้นนางก็ยังได้เจอหน้าเขา
แต่คุณหนูเจ็ดเจี่ยนชิงเจินไปไป๋อวิ๋นจวีเมื่อคราว กลับไม่ได้เจอแม้แต่หน้าของซูชี
เมื่อครู่มองผ่านฉากกั้น เห็นคุณชายซูชีสะบัดพัดเล่มเล็กอยู่ท่ามกลางผู้คน ดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ หัวใจดวงน้อยของนางเริ่มเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ บังเอิญได้ยินว่า พรุ่งนี้ซูชีจะกลับเมืองหลวงแล้ว คุณหนูเจ็ดแทบจะยืนไม่มั่น
หากคุณชายเจ็ดกลับเมืองหลวง เช่นนั้นนางจะมีความหวังใดที่จะได้สานบุพเพ เจี่ยนชิงเจินกระวนกระวายดั่งมดในกระทะร้อนขึ้นมาทันที
ฮูหยินรองรู้ความในใจของบุตรีตน จึงคิดวางแผน ฮูหยินรองเดินเข้าไปกระซิบบอกลูกสาว พร้อมกับให้ของหนึ่งห่อกับนาง บอกนางใช้ให้ดี
หากใช้ให้ดี นางจะกลายเป็นสะใภ้เอกตระกูลขุนนางชั้นสูงตระกูลซู กลายเป็นหนึ่งในสตรีที่มีเกียรติยศที่สุดของเทียนฉี
ซูชียืนอยู่ริมทะเลสาบ มองป่าไผ่ที่อยู่อีกด้าน ทว่าความคิดของเขากลับโบยบินไปยังป่าไผ่ที่เรือนตระกูลถง เขา นาง และถงจื่อจิ้งสามคน เล่นด้วยกันอย่างไร้ความกังวลไร้ความทุกข์
ใบหน้าของเขาฉายรอยยิ้ม กำลังจมดิ่งอยู่กับรอยยิ้มงดงามในภวังค์ของตน
ข้างๆ มีสาวใช้วิ่งมาด้วยความรีบร้อน บอกว่าเจี่ยนมั่วไป๋คุณชายใหญ่แห่งตระกูลเจี่ยนเชิญเขาไปนั่งที่ห้องหนังสือ ร่วมเสพสรรภาพวาดและพูดคุยบทกวี ซูชีหุบยิ้ม สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที แววตาของเขาฉายความอาฆาต
เมื่อครู่ตอนทานอาหาร เจี่ยนมั่วไป๋และน้องเขยในอนาคตของเขา รวมถึงคุณชายตระกูลขุนนางที่สนิทสนมกันอีกสองสามคน นัดกันว่าจะไปดูดอกกล้วยไม้ที่เขาเลี้ยงในเรือนกระจก
ในตอนนั้น เจี่ยนมั่วไป๋เองก็เชิญเขา แต่เขาปฏิเสธไปโดยอ้างว้างอยากออกมาสูดอากาศด้านนอก
[1] สุยหลี่ หมายถึง เงินขวัญถุงที่ญาติมิตรและเพื่อนตกลงกันเอาไว้ว่าจะให้บ่าวสาวก่อนแต่งงาน