เส้นทางแห่งโชคชะตา - ตอนที่ 63: ความสามารถที่ยอดเยี่ยมของหมิงซิน
เส้นทางแห่งโชคชะตา เล่ม 1 ตอนที่ 63: ความสามารถที่ยอดเยี่ยมของหมิงซิน (1)
เล่ม 1 ตอนที่ 63: ความสามารถที่ยอดเยี่ยมของหมิงซิน
หลังจากค้นหาจนทั่วแต่ก็ยังไม่พบ มันก็ทําให้หลาย ๆ คนยอมแพ้ไป แต่ทว่าค่าโชคลาภของมู่หรงนั้นค่อนข้างสูงมาก มันจึงทําให้เขาพบกับตราสัญลักษณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่เขากวาดสายตาและมองไปที่ใดที่หนึ่งเขาก็จะได้รับมัน 1 อัน จากนั้นเพียงแค่ไม่นานเขาก็ได้รับตราสัญลักษณ์ครบทั้ง 7 อัน
ทุกคนเริ่มทําการค้นหาในบ้านหลังนั้นอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ยังไม่พบกับร่องรอยเพื่อเข้าไปยังปราสาทราชาแห่งผีสักที ผลลัพธ์ในครั้งนี้ทําให้พวกเขาต้องออกจากบ้านผีสิงอย่างน่าผิดหวัง
หลังจากกลับมาถึงเมืองกงหมิง เขาก็ไปที่ห้องตรวจสอบเพื่อตรวจสอบระดับของไอเทมทั้งหมด ของที่ใช้ได้ถูกแบ่งสรรกันไป และของที่ใช้ไม่ได้ทั้งหมดก็ขายให้ระบบเพื่อแบ่งเงินกัน หลังจากเสร็จสิ้นธุระในการเพิ่มเพื่อนจนครบทุกคน มันก็ถึงเวลาที่จะต้องบอกลาซึ่งกันและกัน
ก่อนที่มู่หรงเสี่ยเทียนจะกลับไปยังเมืองฟินิกซ์ เขาก็ได้พยายามส่งข้อความหาวู่เฟิง
“วู่เฟิง นายตามหาฉันอยู่หรือ ? ” มู่หรงเสี่ยวเทียนถาม
” ยังไม่มีข้อความใด ๆ ตอบกลับมา
“นายยังออนไลน์อยู่ไหม ? ” มู่หรงเสี่ยวเทียนมีท่าทางตื่นเต้น
“ฉันอยู่ที่ตึกแฮปปี้ ในเมืองคิริน”
“โอเค เดี๋ยวฉันไปหา” มู่หรงเสี่ยวเทียนปิดหน้าต่างช่องสื่อสารจากนั้นก็วิ่งไปยังประตูมิติและออกจากเกมส์ไปอย่างรวดเร็ว
เมืองคิรินนั้นตั้งอยู่ใจกลางเมืองใหญ่ทั้ง 6 ของประเทศจีน และมันยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเมืองหลักทั้ง 6 อีกด้วย ส่วนตึกแฮปปี้นั้นถือว่าเป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนอีกด้วย
มู่หรงเสี่ยวเทียนรีบเข้าไปยังตึกแฮปปี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ขึ้นไปยังชั้นสองบนห้องฉางกงตามที่วู่เฟิงได้บอกเอาไว้ ในไม่ช้าเขาก็ผ่านเข้าไปในประตู โดยที่ไม่พักให้ตัวเองได้หายใจหายคอเขาก็รีบถามออกไปว่า “หมิงซินอยู่ที่ไหน ? ”
“นั่งลงก่อนสิ” วู่เฟิงรินชาแก้วหนึ่งให้กับเขาพร้อมกับ โบกมือเป็นสัญญาณว่าให้นั่งลงก่อน
มู่หรงเสี่ยวเทียนพยักหน้าและหยิบชาขึ้นมาดื่มจนหมด “รีบพูดเถอะ สถานการณ์ของหมิงซินนั้นเลวร้ายยังงั้นหรือ ?”
“ใช่” วู่เฟิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เธออาศัยอยู่ในสถานที่เลี้ยงเด็กกําพร้า”
หัวใจของมู่หรงราวกับจมดิ่งไปในความมืด เขาโทษตัวเองอย่างมากขณะที่ความรู้สึกผิดของเขากําลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย น้ำเสียงของเขาเย็นชาผิดปกติ “แล้วอาของเขาอยู่ที่ไหน ? ”
“ลืมมันเถอะพี่ชาย แม้แต่พระเจ้าก็ไม่สามารถช่วยตามหาอาของเธอได้ นอกจากนี้พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าอาของเธอคือใคร”
“นายช่วยเล่ารายละเอียดเรื่องของหมิงซินมา” มู่หรงค่อย ๆ ฟื้นคืนสติของเขา มันจะเป็นยังไงถ้าหากว่าเขาได้พบกับอาของหมิงซิน ? เขาจะฆ่าอีกฝ่ายอีกหรือไม่ ? ผลลัพธ์แบบไหนที่เขาต้องการจะเห็น ?
“หมิงซินถูกส่งไปยังสถานเลี้ยงเด็กกําพร้าโดยอาของเธอเมื่อแปดปีที่แล้ว โชคยังดีที่อาของเธอยังพอมีจิตสํานึกอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นเด็กสาวตาบอดแบบเธอนั้นก็คงจะ… ” วู่เฟิงส่ายหัวและไม่ได้พูดต่อ
“รีบไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกําพร้ากันเถอะ” หัวใจของมู่หรงกระตุกเล็กน้อย เขาไม่อยากจะรอแม้แต่วินาทีเดียวอีกต่อไป
รถคันหนึ่งกําลังแล่นไปตามถนนของเมืองเค บรรยากาศภายในรถนั้นหนักอึ้งผิดปกติ มู่หรงเสี่ยวเทียน จิงยี่ วู่เฟิง หยางซ่งและเปียวซือ ตอนนี้ในรถมีเพียงแค่ความเงียบงันและ เสียงรถที่แล่นไปเพียงเท่านั้น
มู่หรงเสี่ยวเทียนไม่ได้ปิดบังอดีตกับพวกเขาแต่อย่างใด มันไม่มีความจําเป็นใด ๆ ที่จะต้องซ่อนมันอีก ดังนั้นทั้งหมดจึงรู้สึกหนักใจและหดหูอย่างไม่สามารถบรรยายได้ในเรื่องของหมิงซิน
รถคันนั้นจอดตรงด้านหน้าของสถานรับเลี้ยงเด็กกําพร้าภายใต้การนําของวู่เฟิง พวกเขาได้พบกับผู้อํานวยการของที่นั่นทันที เธอมีนามว่าเฉิน ดูเหมือนว่าวู่เฟิงจะใช้เส้นสายของกลุ่มหนานเทียนเพื่อจัดการกับขั้นตอนต่าง ๆ ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเป็นที่เรียบร้อย
“เดิมที่น้องหมิงซินนั้นจะต้องออกจากสถานเลี้ยงเด็กกําพร้าเพราะเธอโตแล้ว แต่ทว่าเธอนั้นเป็นคนที่ฉลาดและอ่อนโยน ซึ่งทุก ๆ คนก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก เธอสามารถสอนเด็ก ๆ ให้เล่นเปียโนและร้องเพลงได้เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเราจึงรับดูแลเธอเอาไว้” ผู้อํานวยการเฉินอธิบายกับพวกเขาทั้งหลายขณะที่กําลังเดินเข้าไป “แม้ว่าเด็กคนนี้จะตาบอด แต่เธอก็มีการได้ยินที่สุดยอดมาก ฉันเองก็แปลกใจมากที่เธอสามารถสอนเปียโนได้เป็นอย่างดีแม้ว่าเธอนั้นจะตาบอด หากพวกคุณสามารถรับเธอออกไปได้ ฉันเองก็ซาบซึ้งใจ มันคงจะไม่ดีแน่ถ้าคนมีพรสวรรค์เช่นนี้จะต้องอาศัยอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกําพร้าตลอดไป”
หลังจากที่เดินผ่านทางแคบเข้ามาพวกเขาก็มาถึงลานกว้างจากนั้นเสียงเปียโนก็ดังขึ้นจากห้องเรียนฝั่งตรงข้าม มันฟังดูไพเราะเป็นอย่างมาก
พวกเขาเดินเข้าไปที่ห้องเรียนนั้น มู่หรงเสี่ยวเทียนได้มองผ่านหน้าต่างก็พบว่าหมิงซินนั่งอยู่ตรงนั้นจริง ๆ แม้ว่าเธอจะอายุ 20 กว่าปีแล้ว แต่มู่หรงเสี่ยวเทียนก็มองเห็นความเศร้าแผ่ออกมาจากตัวเธออย่างชัดเจน มีความสับสนและโศกเศร้าอันไม่รู้จบภายในดวงตาที่มีดบอดบนใบหน้าอันสวยงาม ตอนนี้หัวใจของมู่หรงนั้นยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นไปอีกหลายเท่า
“นั่นใช่ผู้อํานวยการเฉินใช่มั้ย ? ” เสียงเปียโนในห้องนั้นหยุดไปอย่างกะทันหัน
“หมิงซิน มีคนมารับตัวเธอแล้วนะ” ผู้อํานวยการเฉินพาพวกเขาเข้าไปในห้องเรียน
“ใครกันหรือ ? ” ร่างกายของหมิงซินสั่นสะท้าน เป็นเวลา 8 ปีแล้วที่ไม่มีใครมาเยี่ยมเธอเลยแม้แต่คนเดียว นับประสาอะไรกับการจะมารับตัวเธอออกไป เธอถูกทอดทิ้งและถูกลืมไปเป็นเวลานานมากแล้ว หัวใจของเธอเองก็เช่นกัน มันหนาวเหน็บและแทบจะแหลกสลาย
“น้องหมิงซิน นี่ฉันเอง พี่เทียนไงละ” เสียงของมู่หรงเสี่ยวเทียนแหบแห้งและแฝงไปด้วยความเศร้า
ร่างกายของหมิงซินสั่นอย่างรุนแรง ใบหน้าของเธอนั้นซีดเป็นกระดาษขาวในทันที เธอกัดริมฝีปากแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
มู่หรงเสี่ยวเทียนเดินเข้าไปช้า ๆ และมั่นคงจากนั้นก็ลูบหัวของหมิงซินเบา ๆ และพูดว่า “พี่รู้ว่าพี่ทําผิดกับเธอ เธอสามารถร้องออกมาก็ได้ถ้าหากต้องการ มันจะดีกว่าหากว่าจะระบายออกมา”
ทันใดนั้น หมิงซินก็รีบจับมือของมู่หรงเสี่ยวเทียนและกัดลงไปอย่างรุนแรงก่อนที่จะส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ
เลือดไหลออกมาจากมือของเขาเล็กน้อย แต่ทว่ามันก็ดูเหมือนว่ามู่หรงเสี่ยวเทียนนั้นไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ การแสดงออกบนใบหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง สีหน้าเขายังคงสงบนิ่งเช่นเดิม
“ฉันรู้ว่าเธอเกลียดพี่มากแค่ไหน เธอเองก็ไม่ควรที่จะต้องไปอยู่กับอา แต่พี่อยากจะให้เธอรู้เอาไว้ว่าพี่นั้นไม่เคยลืมเธอเลยแม้แต่น้อย การที่พี่ต้องทําแบบนั้น เพราะเรื่องในตอนนั้นมันยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้” มู่หรงเสี่ยวเทียนมองไปที่หมิงซินด้วยความรัก ใบหน้าที่ซีดขาวนั้นดูดีขึ้นมาก
“ใช่แล้ว หมิงซิน อย่าโทษพี่เทียนเลย” วู่เฟิงเดินเข้ามาและพูดว่า “พี่เทียนได้จากเธอไป 10 ปีเป็นเพราะเขานั้นต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจํา เขาไร้ซึ่งอิสระและถูกคุมขังตลอดเวลาที่ผ่านมา”
หมิงซินตัวสั่นอีกครั้ง จากนั้นเธอก็พุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของมู่หรงเสี่ยวเทียน น้ำตาไหลรินออกมา สิบปีที่น่าหดหู่และเงียบเหงา สิบปีที่ขมขืน ความรู้สึกที่อัดอั้นมากนานได้ถูกปลดเปลื้องออกมา
เปียวชื่อและวู่เฟิงที่กําลังดูฉากนี้อยู่ก็ถึงกับร้องไห้ออกมาเช่นกัน ใครจะไปคิดว่าชายที่หนักแน่นและมั่นคงนั้นจะต้องร้องไห้แบบนี้