เส้นทางแห่งโชคชะตา - ตอนที่ 29: เปลี่ยนอาชีพ (2)
เล่มที่ 1 ตอนที่ 29: เปลี่ยนอาชีพ (2)
เมืองฟินิกซ์ (เรียกอีกชื่อว่าเมืองต้าเฉิง) ที่นี่มีความแตกต่างกับเมืองโนวิซเป็นอย่างมาก มันดูมีชีวิตชีวามากกว่าหมู่บ้านโนวิซหลายเท่า ทั้งในแง่ของบรรยากาศ ถนน ร้านค้า หรือสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ทั้งหมดนั้นล้วนแต่ดูดีกว่าเมืองโนวิซเป็นไหน ๆ
ในช่วงเวลานี้ เมืองฟินิกซ์แออัดไปด้วยผู้คนเป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่วินาทีที่ประตูมิติถูกเปิดใช้งาน ผู้เล่นมากมายก็อดใจรอไม่ไหวจึงรีบไปยังเมืองใหญ่ต่าง ๆ และเมืองฟินิกซ์แห่งนี้ใช้เพียง 1 เหรียญทองเท่านั้นในการเดินทางผ่านประตูมิติมา จึงทำให้ผู้เล่นมาที่เมืองนี้อย่างคับคลั่ง แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ถึงเลเวล 10 ก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็สามารถไปอัพเลเวลที่ป่าหรือทุ่งหญ้าข้างนอกเมืองใหญ่นี้ได้
มีผู้คนมากมายยืนอยู่ตามท้องถนน พวกเขาสวมเสื้อผ้าที่สวยงาม ไม่แปลกใจเลยที่หลาย ๆ คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็มีท่าทางดูหยิ่งยโส เพราะเสื้อผ้าสวย ๆ เหล่านี้จะต้องใช้เหรียญทองจำนวนมากในการซื้อมันมาสวมใส่
เกมเดสตินี่นั้นแตกต่างจากเกมในอดีต มันมีแถบสำรองอุปกรณ์เอาไว้ 2 ชุดติดตัวผู้เล่น ผู้เล่นจึงไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้าและอุปกรณ์ที่มีค่าสเตตัสเอาไว้ตลอดเวลา และพวกเขาสามารถสลับเปลี่ยนชุดสำหรับต่อสู้เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ และเมื่อมีอันตราย อุปกรณ์ในช่องสำรองจะเปลี่ยนให้คนคนนั้นอย่างอัตโนมัติภายใน 0.1 วินาที ซึ่งมันสะดวกและรวดเร็ว ดังนั้นในตอนที่ไม่ได้เก็บเลเวลหรือไม่ได้ต่อสู้ ผู้เล่นมักจะเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่มีค่าสเตตัส สิ่งนี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของผู้สร้างเกมได้เป็นอย่างดี
มู่หรงเสี่ยวเทียนมองดูชุดสีขาวที่เป็นชุดระดับแรกของเขาเพราะในตอนนี้มันทั้งสกปรกและฉีกขาด เขาขมวดคิ้วพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูบิดเบี้ยว แม้ว่าวู่เฟิงและคนอื่น ๆ จะดูแลเขาเป็นอย่างดี แต่จากการต่อสู้หลายครั้งหลายคราของเขาจึงทำให้เสื้อผ้าขาดรุ่ยไปหมด “ ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเดินเปลือยละกัน” มู่หรงเสี่ยวเทียนคิดออกมาอย่างสบายใจ ตอนนี้เขาไม่ใช่คนยากจนอีกต่อไปแล้ว เหรียญทองที่ได้มาจากทอรัสนั้นสามารถทำให้เขาเป็นเศรษฐีได้ในพริบตา เมื่อเขาเปลี่ยนอาชีพแล้ว เขาจะได้เดินไปซื้อชุดเท่ ๆ มาสวมใส่สักที เมื่อคิดแบบนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับความคิดนี้
หลังจากข้ามถนนสองสายแล้ว เขาก็พบกับศูนย์การค้าที่มีผู้คนพลุกพล่านอยู่ตรงหน้า เขาหยุดดูแผนที่สักพัก เพราะเขาต้องการที่จะไปยังสำนักงานเปลี่ยนอาชีพ แต่ที่ลานกว้างตรงนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย บ้างก็ตะโกนขายสินค้า บ้างก็เดินไปรอบ ๆ เพื่อเลือกซื้อสินค้า ฉากนี้มันได้สร้างความมีชีวิตชีวาให้กับบริเวณนี้ และมู่หรงเสี่ยวเทียนก็ตื่นเต้นกับมันเป็นอย่างมาก เขาอดไม่ได้ที่จะเดินชะลอตัวลงและมองสำรวจไปรอบ ๆ ตัวขณะที่เขาเดินหายไปในฝูงชน แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวัง เพราะของทั้งหมดนั้นเป็นอุปกรณ์เกือบทั้งหมด มันเป็นอุปกรณ์สีขาวระดับเริ่มต้น บางอันก็มีอุปกรณ์สีดำระดับสองปรากฏขึ้นมาบ้าง และมีผู้เล่นจำนวนมากจ้องมองมันอยู่อย่างจริงจัง แต่ถึงกระนั้นก็มีเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถซื้อมันได้ เพราะราคานั้นสูงลิบลิ่ว
มู่หรงเสี่ยวเทียนไม่เพียงแต่นึกถึงไม้เท้าที่อยู่ในกระเป๋าของเขาเท่านั้น แต่ทว่าเขาไม่รู้ว่ามันอยู่ในระดับไหน ? เขาแอบยิ้มออกมา จากนั้นก็ไม่สนใจของพวกนี้และรีบเร่งฝีเท้าเดินไปที่สำนักงานอย่างรวดเร็ว
เมื่อออกจากย่านการค้าที่มีเสียงดังอื้ออึง สภาพแวดล้อมตรงนี้ก็ดูสะอาดตามากขึ้น ยิ่งเข้าใกล้สำนักงานเปลี่ยนอาชีพมากเท่าไหร่ ผู้คนที่เดินแถวนั้นก็น้อยลงมากเท่านั้น เมื่อมู่หรงเสี่ยวเทียนมองเห็นอาคารของสำนักงานแล้ว ตอนนี้ถนนทั้งสายก็เงียบสงัด มันสร้างภาพที่แตกต่างจากย่านร้านค้าที่เดินผ่านมาเมื่อสักครู่เป็นอย่างมาก
เมื่อเขาไปถึงที่ประตูของสำนักงาน ก็ได้เห็นคำสามคำสลักไว้บนแผ่นป้ายประตูทางเข้า “ฉันไม่รู้เลยว่าภาษานี้มันอ่านว่าอะไร แต่ถ้ามันถูกใช้ในประเทศของเราจริง มันคงจะน่าสนใจเป็นอย่างมาก” มู่หรงเสี่ยวเทียนยิ้มออกมาเบา ๆ แต่ดูเหมือนว่าความคิดนั้นคงจะไม่เกิดขึ้นจริง
ข้างประตูแต่ละข้างจะมีรูปปั้นสองอันที่สูงราว ๆ 2 เมตร ด้านซ้ายจะมีสองคน คนหนึ่งนั้นเป็นนักธนูที่ถือธนูขนาดใหญ่และอีกคนหนึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นซัมมอนเนอร์ ด้านขวามีอีก 2 คน คนหนึ่งนั้นเป็นนักรบขี่ม้าและถือหอกแหลม อีกคนเป็นจอมเวทย์ที่ถือไม้เท้าอย่างสง่างาม ประติมากรรมของรูปปั้นเหล่านี้มันดูเหมือนจริงและดูทรงพลังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาบนใบหน้าที่ราวกับว่ายังมีชีวิต เมื่อมองดูไกล ๆ มันเหมือนกับเทพเจ้าที่กำลังโศกเศร้าจากการที่พวกเขาเพิ่งจะกลับมาจากสนามรบที่นองไปด้วยเลือด !
“รูปปั้นพวกนี้สวยงามจริง ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาน่าจะเป็นบุคคลในตำนานในหน้าประวัติศาสตร์ของเดสตินี่ ! ” มู่หรงเสี่ยวเทียนทำท่าทางเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา เขาคำนับรูปปั้นแต่ละคนอย่างจริงใจ และนี่ก็เป็นธาตุแท้ของตัวเขา
มู่หรงเสี่ยวเทียนสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ และในที่สุดเขาก็เปิดประตูที่รอคอยมานานแสนนาน
ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในสำนักงานเปลี่ยนอาชีพ มู่หรงเสี่ยวเทียนก็อึ้งจนไม่สามารถขยับร่างกายได้ เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างโง่เขลา สมองของเขาตอนนี้สับสนเป็นอย่างมาก “ให้ตายเถอะ นี่มันอะไรกัน ? ทำไม NPC ทั้งสามคนในสำนักงานเปลี่ยนอาชีพถึงหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะแบบนี้ ? ” มู่หรงเสี่ยวเทียนสะบัดหน้าเพื่อที่จะดึงสติกลับคืนมา และหลังจากการสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่ามันมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย ในป้ายเปลี่ยนอาชีพประเภทนักรบจะอยู่ตรงกลาง ชื่อของเจ้าหน้าที่คนนั้นคือโม่เทียน สำหรับอาชีพประเภทนักเวทย์อยู่ด้านซ้าย ชื่อของเจ้าหน้าที่คือโม่ตี้ และอาชีพประเภทซัมมอนเนอร์อยู่ด้านขวา ชื่อของเขาคือโม่เหริน
NPC เจ้าหน้าที่ในสำนักงานเปลี่ยนอาชีพทั้งสามคนไม่พูดอะไรออกมา พวกเขาทั้งหมดจ้องไปที่มู่หรงเสี่ยวเทียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง “บ้าจริง ทำไมพวกเขามองมาที่ฉันแบบนี้ ? หรือว่าฉันเป็นหนี้พวกเขากัน ? หรือว่าฉันหล่อเกินไป ? ” มู่หรงเสี่ยวเทียนตกใจกับการกระทำของพวกเขา เขาลังเลแต่ก็ยังคงเดินไปตรงหน้าเจ้าหน้าที่ ที่ชื่อโม่เทียนด้วยตัวที่สั่นเทาเล็กน้อยและถามออกมาด้วยความระมัดระวัง “ขอโทษนะครับ จะเปลี่ยนอาชีพเป็นอัศวินจะต้องมาหาคุณใช่ไหม ? ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า คนแรกที่จะเปลี่ยนอาชีพเป็นอัศวิน และข้าก็คือผู้ที่จะให้การทดสอบยังไงล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า” NPC เจ้าหน้าที่เปลี่ยนอาชีพของนักรบชื่อว่าโม่เทียนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เขาตบมือราวกับว่าเป็นเด็กอย่างไรอย่างนั้น
NPC อีก 2 คนละสายตาจากการจ้องมองมู่หรงเสี่ยวเทียนด้วยความผิดหวัง เมื่อมองไปที่โม่เทียน โม่เหรินก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ “โม่เทียน อย่าดีใจจนเกินไป อย่าลืมข้อตกลงระหว่างพวกเราซะล่ะ เด็กคนนี้ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนอาชีพอย่างสมบูรณ์”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โม่เทียนก็รีบมองไปที่ใบหน้าของมู่หรงเสี่ยวเทียน จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “เจ้าทั้งสองอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ มาดูกันว่าเด็กคนนี้จะโชคดีขนาดไหน ภารกิจในการเปลี่ยนอาชีพนั้นจะอยู่ในระดับ G หรือ F ตราบใดที่เขาไม่ใช่คนโง่เขลา การทำภารกิจให้สำเร็จนั้นก็เป็นเรื่องง่าย”
เมื่อโม่ตี้และโม่เหรินได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างขมขื่น
“เมื่อไหร่จะได้เปลี่ยนอาชีพ ! ? ” มู่หรงเสี่ยวเทียนเฝ้ารอมาเป็นเวลานานโดยที่ไม่เห็นท่าทีว่าจะมีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกรำคาญ เขาจึงตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งจนทำให้เสียงนั้นดังก้องไปทั่วทั้งห้อง “มันจะมากเกินไปแล้วนะ รู้ไหมว่ากว่าจะมาที่นี่ได้มันยากลำบากแค่ไหน ? ตอนตายก็ตายแบบโดดเดี่ยว ! เริ่มการทดสอบสักที ! ” มู่หรงเสี่ยวเทียนอดทนไม่ไหวอีกต่อไป ในที่สุดเขาก็ระเบิดความโกรธออกมา
To be continued…