เส้นทางแห่งโชคชะตา - ตอนที่ 17: สัญญาที่ยังติดค้างตลอด 10 ปี (ตอน2)
เล่มที่ 1 ตอนที่ 17: สัญญาที่ยังติดค้างตลอด 10 ปี (ตอน2)
บลูมูนไนท์คลับนั้นตั้งอยู่บนถนนเทียนเหมิน เป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองเค มันเป็นแหล่งที่คนมีอำนาจมักจะมารวมตัวกันอยู่ที่นั้น ผู้คนในทุก ๆ สาขาอาชีพในเมืองเคก็มักจะมาสังสรรค์กันที่นั่นมากมาย ขณะเดียวกันมันก็ยังตั้งอยู่ในย่านที่เจริญรุ่งเรืองที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเคอีกด้วย
ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆสีดำและเวลานั้นก็เป็นยามค่ำคืนแล้ว มีเพียงแสงสีที่มีเสน่ห์ของบลูมูนไนท์คลับเท่านั้นที่ส่องสว่างผ่านหมอกหนาทึบและกระพริบเป็นจังหวะราวกับว่าเป็นดวงดาวบนท้องฟ้าจนทำให้เกิดความดึงดูดใจของผู้ที่สัญจรไปมาบนถนน
ในเวลานี้ ห้องเล็ก ๆ บนชั้นสามของบลูมูนไนท์คลับ มีคนสี่คนกำลังนั่งล้อมวงกันอยู่ แสงสีชมพูเปล่งประกายให้อารมณ์อ่อนไหวราวกับว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น ร่วมกับภาพจิตรกรรมอีโรติกที่อยู่บนฝาผนังด้านหลัง มันทำให้เลือดของใครหลายคนต้องเดือดพล่าน
ในห้องแคบ ๆ นั้นมีเพียงโซฟาสีเหลืองครีมดูหรูหราวางอยู่พร้อมกับโต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมคุณภาพสูง
ตรงกลางโซฟานั้นมีชายอ้วนคนหนึ่งนั่งอยู่ ใบหน้าที่เบิกบานยิ้มออกมาจนแทบจะไม่เห็นลูกตา
ถัดจากเขาเป็นหญิงสาวอายุราวๆ 17-18 ปี ที่สวมกระโปรงสั้นสีแดงเข้ม ร่างกายท่อนล่างนั้นเผยให้เห็นเรียวขาที่ยาวของเธอ จนทำให้สายตาของชายอ้วนไม่สามารถละจากมันไปได้ เรียวขาที่แนบชิดพร้อมกับกระโปรงที่สั้นนั้นทำให้คนที่เห็นอดที่จะจินตนาการไม่ได้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น
เขาพูดออกมาอย่างหื่นกระหายว่า “ที่รัก พี่จะไม่ได้อยู่ที่นี่สองสามวัน มันคงจะยากเกินไปที่จะห้ามใจเอาไว้ได้ ฮี่ฮี่”
หญิงสาวคนนั้นเกาะติดร่างกายชายอ้วน มันราวกับว่าร่างกายของเธอไม่มีกระดูก มือที่ขาวดั่งหยกของเธอค่อย ๆ ลูบไล้ลงบนไขมันและหน้าอกของเขา ผ่านลำคอที่เปิดอยู่ จู่ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “พี่หลี่ซู อย่าไปรู้สึกเสียใจอะไรเลย มันก็แค่สองสามวันเท่านั้น”
คำพูดและพฤติกรรมที่น่ารังเกียจของชายสองคนนี้ พวกเขาต่างก็ทำมันออกมาราวกับว่าเป็นการกระทำที่น่าภาคภูมิใจ ขณะนี้ในห้องก็ยังมีชายร่างใหญ่สองคนที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของประตู พวกเขาต่างก็นิ่งเงียบ มันเหมือนกับว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว และถ้าหากว่าเปิดประตูออกไป ก็จะพบว่ามีชายร่างกายกำยำยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกอีก 2 คน
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” มีเสียงเคาะประตูเล็กน้อยจากด้านนอก เสียงนั้นทำให้หลี่ซูยั้งมืออย่างไม่เต็มใจ เขาเงยหน้าขึ้นไปมองชายร่างใหญ่ทั้งสองราวกับว่าเป็นการส่งสัญญาณให้เปิดประตู
“นายท่าน ข้างล่างมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย” ชายร่างใหญ่หน้าประตูก้มลงพร้อมกับมองชายอ้วนด้วยความเคารพ
“แกกับเสือดาวลงไปดูหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกเราก็เรียกพวกเขาขึ้นมาที่นี่ ที่นี่เป็นสถานที่ใหญ่โต ดังนั้นเราจะต้องเอาหน้าสักเล็กน้อย” ชายอ้วนโบกมืออย่างไม่พอใจหลังจากพูดจบ
“ที่รัก มานี่มา พี่หลี่คนนี้จะดูแลเธอเอง” เมื่อหลี่ซูเห็นว่าประตูปิดลง เขาก็รีบจับเข้าไปบนหน้าอกของผู้หญิงคนนั้นด้วยท่าทางหื่นกระหายทันที
“ก๊อก ๆ” ชายอ้วนโกรธขึ้นมาทันทีที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาขัดจังหวะ เขาตบโต๊ะและตะโกนด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง “มันเป็นบ้าอะไรวะ ไม่รู้ว่าหลี่ซูกำลังยุ่งอยู่รึไง ? ” พูดแล้วเขาก็โบกมือให้ชายร่างใหญ่ทั้งสอง “เปิดประตู”
ขณะที่ประตูเปิดออก เขาก็พบว่ามีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ราว ๆ 1.8 เมตรกำลังสวมชุดนักเรียนเดินเข้ามา
หลี่ซูเห็นว่าในมือของเด็กชายคนนั้นกำลังถือกระเช้าดอกไม้ แต่ทว่าใบหน้าของเขากลับสงบนิ่งแปลก ๆ เขาเลยพูดกับคนทั้งสองของเขาว่า “ให้เด็กคนนั้นเข้ามา เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เด็กที่กำลังเดินเข้าไปในห้องคนนั้นก็คือมู่หรงเสี่ยวเทียน หลังจากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของหลี่ซูอย่างเยือกเย็น สีหน้าของเขาไม่ค่อยสู้ดีนัก จากนั้นเขาก็หันไปหาผู้หญิงที่แต่งตัวแปลกประหลาดก่อนจะพูดขึ้นว่า “ขอโทษนะ คุณชื่อฟางฟางใช่มั้ย ? ”
“ใช่ ฉันเอง นายมีอะไรกับฉันหรือเปล่า ? ” ผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นยืนและดึงปกเสื้อของเธอลงมาเพื่อปกปิดเนินอกที่ขาวอวบอิ่มราวกับว่าเป็นหิมะเอาไว้
มู่หลงเสี่ยวเทียนเหลือบมองไปที่หลี่ซูอย่างลังเลอยู่สักพัก เขาวางตะกร้าดอกไม้เอาไว้บนโต๊ะไม้ พร้อมกับชี้ไปที่หลี่ซูและพูดกับผู้หญิงคนนั้นว่า “คุณหวังใช้ให้ผมนำมาให้ และเขาก็ยังฝากมาบอกอีกว่าให้ไปพบกับเขาสถานที่เดิมในวันพรุ่งนี้”
ก่อนที่มู่หรงเสี่ยวเทียนจะพูดจบ หลี่ซูก็ได้ตบไปที่ผู้หญิงคนนั้นจนล้มลงไปนอนกองกับพื้นและชี้ไปที่เธอด้วยความโกรธ “ฉันจ่ายเงินมากมายเพื่อดูแลเธอขนาดนี้ ทำไมยังกล้าดีที่จะไปหาคนอื่นอีก ? ” เขารีบพุ่งเข้าไปและจิกผมของผู้หญิงคนนั้นอย่างแรง
“พี่หลี่ พี่เข้าใจฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันขอโทษ ! ” ผู้หญิงคนนั้นตะโกนออกมาด้วยความตกใจโดยมีความกลัวปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ
“มีคนฝากผมมาบอก มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมนะ ผมไม่รู้จริง ๆ ผมมีเรื่องจะบอกแค่นี้ ขอตัวก่อน” มู่หรงเสี่ยวเทียนสั่นสะท้านไปทั้งตัวและใบหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นความกลัวเช่นกัน
“ไว้ฉันจับชู้ของเธอได้เมื่อไหร่ ฉันจะกลับมาชำระแค้นกับเธอ ! ” หลี่ซูโยนผู้หญิงคนนั้นทิ้งไป เขาหันหลังและเดินตามมู่หรงเสี่ยวเทียนที่กำลังจะจากไป เขาคว้าคอเสื้อของมู่หรงเสี่ยวเทียนและถามอย่างดุเดือดว่า “พูดออกมา ใครเป็นคนจ้างแกมา ? ”
มู่หรงเสี่ยวเทียนหน้าซีดแทบจะทันทีและตอนนี้ริมฝีปากของเขาก็สั่นสะท้าน “พี่ใหญ่ ผมเป็นแค่นักเรียน ผมไม่ได้สร้างความคับแค้นใจให้กับพี่เลย พี่อย่าทำร้ายผมเลยนะ และถ้าผมบอกพี่ว่าคนคนนั้นเป็นใคร เขาจะต้องเอาผมตายแน่ ๆ ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่บอกใครว่าแกเป็นคนพูด” หลี่ซูปล่อยมือจากคอเสื้อของมู่หรงเสี่ยวเทียนพร้อมกับรอยยิ้มที่หายาก จากนั้นเขาก็ปัดคอเสื้อของมู่หรงให้เรียบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มู่หรงเสี่ยวเทียนเอียงศีรษะอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็พยักหน้าและพูดเหมือนกับเด็กว่า “ตกลง ผมจะบอกพี่ แต่ผมจะบอกพี่แค่คนเดียวนะ พี่ต้องให้คนอื่นออกไปก่อน” มู่หรงเสี่ยวเทียนยื่นมืออกมาและชี้ไปที่ชายร่างใหญ่สองคนนั้น เขาพูดต่อ “นอกจากนี้พี่ไม่สามารถบอกคนอื่นได้”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่พูดถึงแก” หลี่ซูเกือบจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เพราะเด็กชายคนนี้ช่างไร้เดียงสาจริง ๆ เขาโบกมือและสั่งชายสองคนนั้น “พวกแกออกไปก่อน”
เมื่อมู่หรงเสี่ยวเทียนเห็นว่าชายสองคนนั้นออกไปแล้ว เขาก็ปิดประตูพร้อมกับพยักหน้าและยิ้ม “พี่หลี่ พี่มานี่ เดี๋ยวผมจะบอกพี่เองว่ามันเป็นใคร ? ”
ร่างกายอ้วนท้วมของหลี่ซูขยับใกล้เข้ามา มู่หรงเสี่ยวเทียนเอนตัวแนบหูและกระซิบว่า “มีคนโทรมาหาฉันและบอกฉันว่าจะต้องตัดแขนของแก ! ” เสียงที่สงบเปลี่ยนเป็นความเย็นชาในทันใด เด็กผู้ชายตัวสูงที่สั่นสะท้านด้วยความกลัวเมื่อสักครู่นี้กลับเปลี่ยนเป็นคนละคน จากนั้นความต้องการฆ่าก็ปรากฏขึ้นมาในแววตาของมู่หรงเสี่ยวเทียนราวกับว่าเป็นหมาป่าที่พร้อมจะขย้ำลูกแกะ
To be continued…