เส้นทางแห่งโชคชะตา - ตอนที่ 12: ชายเปลือยกาย
เล่มที่ 1 ตอนที่ 12: ชายเปลือยกาย
ในช่วงเวลานั้นมู่หรงเสี่ยเทียนเองก็กำลังเอามีดฟันมอนสเตอร์ไม่หยุด ก่อนจะรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ แปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก เขาอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเองว่า “ใครมานินทาลับหลังเรารึเปล่า ? ”
ในที่สุดเขาก็ถูกมอนสเตอร์หัวม้าฆ่าตายอีกครั้งเพราะมัวแต่เหม่อลอย ตอนแรกเขารู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ความรู้สึกแรกที่เข้ามานั้นคืออาการง่วงและอาการเหนื่อย สักพักเขาก็รู้สึกง่วงนอนมากกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัว
ดวงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนร่างอันเปลือยเปล่าของมู่หรงเสี่ยวเทียน ท้องฟ้าสดใสไม่มีเมฆก้อนใดมาบดบังแสงอาทิตย์ในยามเช้า ทำให้อากาศเริ่มกลับมาร้อนอบอ้าว คล้ายกับว่าไม่มีสายลมใด ๆ จะพัดพาความขุ่นเคืองใจในอดีตของเขาออกไปได้ มันเหมือนกับว่าพระอาทิตย์กำลังแผดเผา ไม่มีอะไรที่จะสามารถมาบรรยายความรู้สึกนี้ของเขาได้….
มู่หรงเสี่ยวเทียนมองดูเวลา นี่เป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่าแล้ว เขาออนไลน์มากกว่ายี่สิบชั่วโมงอย่างไม่รู้ตัว เมื่อมองถึงผลลัพธ์ในวันนี้แล้ว เลเวลเขากลับมาอยู่ที่เลเวล 0 เหมือนเดิม อาวุธก็เหลือเพียงแค่จอบขุดเหมืองเก่า ๆ กับกางเกงในจิ๋วตัวบาง ๆ และนอกจากนั้นก็ยังมีเหรียญทองอีกแค่ 2 เหรียญเท่านั้น
“เฮ้อ” มู่หรงเสี่ยวเทียนส่ายหัวและยิ้มออกมาอย่างบูดเบี้ยว แต่เมื่อนึกถึงเด็กน้อย NPC ผู้น่ารักที่จะมาขอเหรียญทองของเขาในทุก ๆ วัน มู่หรงเสี่ยวเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมาตรงมุมปากของเขา
“ใครบอกกันล่ะว่าฉันไม่ได้อะไรกลับมา ไม่ใช่ว่าฉันได้ความสบายใจกลับมาหรอกหรือ ? ฮ่าฮ่า”
มู่หรงเสี่ยวเทียนถอดหมวกโฮโลแกรมออก จากนั้นเขาก็พบว่าตอนนี้ไม่มีแม้แต่เงาของหยางซ่งที่มักจะนั่งข้าง ๆ เขา ก่อนที่มู่หรงเสี่ยวเทียนจะยิ้มออกมาซึ่งมีความเป็นไปได้อย่างมากที่หยางซ่งจะยังนอนอยู่ จากนั้นเสียงท้องร้องด้วยความหิวของเขาก็ดังขึ้นมา “ไปหาอะไรกินที่โรงอาหารสักหน่อยจะดีกว่า”
เขาหยิบบัตรพนักงานขึ้นมาพร้อมกับกุญแจ จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่โรงอาหารก่อนจะกลับไปที่ห้องพักของเขา เขาตามหาห้องหมายเลข 508 ที่ติดอยู่บนกุญแจ พร้อมกับเดินขึ้นไปชั้นที่ห้าและเข้าไปในห้อง ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแม้แต่คนเดียว จะมีก็แค่เตียงสี่เตียงเท่านั้น ทั้งสามเตียงมีสิ่งของวางอยู่ เห็นได้ชัดว่ามันมีเจ้าของแล้ว จะมีก็เตียงเดียวที่กำลังว่างเปล่า แน่นอนว่านั่นมันก็คงจะเป็นเตียงของเขา
โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ เขานอนลงไปและเข้าสู่ห้วงนิทราแทบจะทันที
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาในห้องนั้นก็ยังคงว่างเปล่า จะมีก็แต่เสียงฝนตกนอกหน้าต่างเท่านั้นที่ดังเข้ามา ซึ่งตอนนี้ท้องฟ้าเป็นสีเทาสลัว ๆ
ฝนที่โปรยปรายไปทั่วท้องฟ้ามันทำให้สายตาของเขามัวหมอง ความทรงจำที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดได้พรั่งพรูออกมาอีกครั้ง มู่หรงเสี่ยวเทียนถอนหายใจเบา ๆ “ดูเหมือนว่ามันใกล้จะค่ำแล้ว ที่เหลือก็ยังไม่มีอะไรที่ต้องทำ ไปโรงอาหารและหามื้อเย็นกินดีกว่า”
ณ ห้องอาหาร มีผู้คนไม่มากเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่มักจะกินมื้อเย็นแค่นม น้ำเต้าหู้ และกินปาท่องโก๋เท่านั้น
มู่หรงเสี่ยวเทียนแอบคิดในใจของเขา “ให้ตายเถอะ คนพวกนี้กำลังลดน้ำหนักอยู่รึไง ? ทำไมพวกเขากินแต่อะไรแบบนี้ ? ”
เขาส่ายหัวไปมาและเดินไปที่บาร์อาหารพร้อมกับหยิบบัตรพนักงานออกมา “น้องสาว ขอข้าวกล่องให้ฉันด้วยนะ”
หญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับผงะ และใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย “พี่ชาย ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ เพื่อเป็นการรักษาสุขอนามัยของที่นี่ ก่อนหน้านี้พวกเราได้เอาอาหารทิ้งไปหมดแล้ว เราจะไม่นำข้าวกล่องของตอนกลางวันมาเสิร์ฟอีกในวันถัดไป เอาแบบนี้ดีไหมพี่เอานมกับขนมปังไปกินก่อน”
“จะบ้าหรือ ? จะให้ฉันดื่มนมกับขนมปังเป็นอาหารเย็น นี่เธอเห็นว่าฉันเป็นหญิงแก่ที่ท้องไม่ย่อยโปรตีนหรือยังไง ? ! ” มู่หรงเสี่ยวเทียนไม่พอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็มีเสียงผิวปากดังก้องก็เข้ามาจากทางด้านหลัง
“เอ๋…” หญิงสาวอุทานออกมาและจ้องมองไปที่มู่หรงเสี่ยวเทียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นเธอรีบใช้มือปิดปากและหัวเราะคิกคักออกมา
ห้องอาหารที่เงียบก็มีเสียงดังครึกครื้นขึ้นมาทันที ผู้คนในห้องอาหารนั้นหัวเราะกันเสียงดังเป็นอย่างมาก
มู่หรงเสี่ยวเทียนเกาหัวและคิดว่าเขาทำอะไรผิดไป ?
“พี่เทียน พี่สับสนอะไรหรือเปล่า ? นี่มันตอนเช้า ไม่ใช่ตอนกลางคืน ! ” เสียงของวู่เฟิงลอยมาจากด้านหลัง
มู่หรงเสี่ยวเทียนรีบหันหลังกลับมาทันที เขาเห็นวู่เฟิงกำลังเดินเข้ามาจากประตูของห้องอาหาร ทั้งหยางซ่ง นักฆ่า ซัมมอนเนอร์ เปียวซือ และบุคคลที่ไม่รู้จักอีกสองสามคนต่างก็หัวเราะด้วยความขบขัน
มู่หรงเสี่ยวเทียนรีบหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูทันที “พระเจ้า ! ตี 5.28 วันที่ 3 มกราคม 2010 ! ”
“สงสัยฉันจะสับสนจริง ๆ นี่ฉันนอนหลับยาวถึง 14 ชั่วโมงเลยหรือนี่” มู่หรงเสี่ยวเทียนอุทานออกมา จากนั้นเสียงผิวปากเยาะเย้ยและเสียงหัวเราะก็ดังอีกครั้งทั่วห้องอาหาร
“พี่เทียน พี่คือไอดอลของผมจริง ๆ ” จากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังต่อเนื่อง หยางซ่งเองก็กล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะไม่หยุดหย่อน
มู่หรงเสี่ยวเทียนหน้าแดงด้วยความเขินอาย เขาส่ายหัวไปมาอย่างช่วยไม่ได้และพูดกับวู่เฟิงและคนอื่น ๆ ว่า “ฉันคิดว่าที่ซัมมอนเนอร์พูดเมื่อวานนั้นมีเหตุผล มันจริงอย่างที่เขาพูด ! ”
“มันจริงยังไงหรือ ? ” หยางซ่งนั้นมักจะปากไวกว่าคนอื่น ๆ อยู่เสมอ
มู่หรงเสี่ยวเทียนเหลือบมองหยางซ่งและพูดอย่างเชื่องช้าว่า “ถ้าแกไม่พูดก็ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้หรอกนะ ! ”
หลาย ๆ คนก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมพวกนายถึงมาอยู่ด้วยกัน มีนัดกันหรือ ? ” มู่หรงเสี่ยวเทียนถามขณะที่คีบมาม่าใส่ปากของเขา
เนื่องจากว่ามันไม่มีข้าวกล่อง มู่หรงเสี่ยวเทียนจึงปฏิเสธที่จะรับนมและขนมปัง แต่ว่าแม่ครัวเองก็ยังทำมาม่าให้กับเขา เธอรู้ว่าเขาน่าจะกินอาหารมื้อเดียวตลอดวัน ดังนั้นเธอจึงเพิ่มไข่ลงไปในมาม่าให้เขาอีก
ขณะที่วู่เฟิงกำลังดื่มนมเขาก็จ้องมองไปที่มู่หรงและตอบว่า “อืม พอดีฉันนัดกับพวกเขาเมื่อคืนนี้ ฉันก็ว่าจะบอกพี่อยู่ แต่เมื่อคืนตอนที่ฉันกลับไปที่ห้องสองสามครั้งก็พบว่าพี่ยังคงหลับอยู่”
“เอ๊ะ ใครกันนะ ที่บอกว่าสามารถอดทนได้แม้ว่าจะกินและนอนแค่ 4 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น แต่เอาเข้าจริง ๆ กลับกลายเป็นว่าเขานอนหลับเหมือนกับโดนทุบตาย”
“ไปลงนรกซะ เจ้านกแก้วปากเหม็น ! ” มู่หรงเสี่ยวเทียนจ้องไปที่หยางซ่งและกินมาม่าต่อ
“พี่เทียน เกิดอะไรขึ้นกับพี่ในนั้น พี่ออนไลน์นานมากไม่ยอมออฟไลน์สักที” เปียวซือกินขนมปังไปพลางมองไปที่มู่หรงเสี่ยวเทียนไป
“เกิดอะไร ? ” มู่หรงเสี่ยวเทียนวางตะเกียบลงและมองไปที่เปียวซืออย่างสงสัย จากนั้นเขาก็มองไปที่คนอื่น ๆ เช่นกัน “พวกนายหมายความว่ายังไง ? ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรนะ ! ”
นักฆ่าที่กำลังดื่มนมได้เช็ดปากและพูดว่า “พูดก็พูดเถอะนะพี่เทียน ผมเองก็สงสัย ผมได้เข้าไปดูที่เว็บไซต์หลักของเกมเดสตินี่เพื่อที่จะดูอันดับของตัวเอง แต่ก็พบว่าพี่เองตอนนี้กลายเป็นคนดังไปซะแล้ว แบบนี้พี่ยังจะบอกว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรอีกหรือ ? ”
“ตอนนี้หัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดก็คือ ชายงี่เง่าและร่างที่เปลือยเปล่าของเขา” ซัมมอนเนอร์ยกหัวข้อขึ้นมาและพูดช้า ๆ ว่า “บทความนั้นเล่าว่ามีผู้เล่นคนหนึ่งชื่อว่าโจรที่มาจากหมู่บ้านโนวิซ 110 ได้เขียนคำสาปเอาไว้ห้ามให้ใครเข้าไปในพื้นที่ที่มอนสเตอร์หัวม้าเกิด ราวกับว่าเป็นราชาของสถานที่แห่งนั้น ไม่มีใครในหมู่บ้านกล้าที่จะไปฆ่ามอนสเตอร์เพื่อเก็บเลเวลในบริเวณนั้นเลย บทความยังบอกอีกว่าผู้เล่นคนนี้เป็นผู้คิดริเริ่มคนแรกในเกมเดสตินี่ที่พยายามสร้างพื้นที่ของตัวเองขึ้นมา แน่นอนว่าผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็พยายามเลียนแบบและคิดจะทำตามเขาไปด้วย” ซัมมอนเนอร์หยุดพักจากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่มู่หรงเสี่ยวเทียนอย่างลึกซึ้ง
“ให้ฉันเล่าต่อ” วู่เฟิงเพิกเฉยต่อท่าทางที่น่าเกลียดของมู่หรงเสี่ยวเทียนและพูดอย่างสงบว่า “บทความยังบอกอีกด้วยว่าชายคนนั้นร่อนเร่ไปทั่วเมืองโนวิซ ด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า นอกจากนี้เขายังกลับไปกลับมาที่จุดเกิด ก่อนจะชี้ขึ้นไปบนฟ้าและตะโกนด่าทอสวรรค์อย่างไม่อายใคร รวมถึงท้าทายว่าทำไมไม่เอากางเกงในของเขาไปด้วยเลยล่ะ ! มีคนถ่ายรูปเอาไว้และแนบมันลงไปในเว็บไซต์หลัก บางคนก็บอกว่าชายคนนี้แหละที่เป็นคนริเริ่มสร้างพื้นที่ของตัวเอง บ้างก็มีภาพที่เขากำลังยืนอยู่ตรงจุดเกิดและชี้ไปบนท้องฟ้า”
“ยังมีอีกนะ ! ” เปียวซือเม้มปากและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ว่ากันว่าเหตุการณ์ครั้งใหญ่ ที่ผู้เล่นหลายร้อยคนไปทุบทำลายกำแพงเมืองโนวิซก็เกี่ยวข้องกับพี่เทียนด้วย เด็กสาวที่ชื่อในเกมว่ายู่ยี่จอมฟุ่มเฟือยพยายามใส่ร้ายโจรว่าเป็นผู้ริเริ่ม”
มู่หรงเสี่ยวเทียนขมวดคิ้วทันทีที่ได้ฟังเรื่องราวพวกนี้ แต่น้ำเสียงของเขากลับสงบนิ่งเป็นอย่างมาก “ฉันไม่ปฏิเสธ สิ่งที่พวกนายพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง และเหตุการณ์ทุบทำลายกำแพงนั้นมันก็มีต้นเหตุมาจากฉันนี่แหละ” เขาหยุดพักและพูดออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “ใครจะไปคิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น แม้ว่าพวกเขาจะเรียกฉันว่าไอ้งั่ง แล้วมันสำคัญอะไร ? ”
หลายคนตกตะลึงเมื่อได้ยินที่เขายอมรับออกมา ทว่าเขากลับกินมาม่าอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว สิ่งนี้มันทำให้พวกเขาไม่เข้าใจมู่หรงเลยจริง ๆ
มู่หรงเสี่ยวเทียนไม่สนใจการแสดงออกของพวกเขา จากนั้นเขาก็รีบซดมาม่าเข้าไปจนหมด เขาวางชามลงและเช็ดปาก จากนั้นก็เหลือบมองทุกคนอีกครั้ง “อย่ามองฉันแบบนั้น มันไม่มีอะไรจริง ๆ อีกอย่างคนพวกนั้นก็ไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึง สิ่งที่ฉันเจอมามันขมขื่นและน่าเศร้ากว่านี้เป็นหมื่น ๆ เท่า ถ้าหากว่าฉันไม่ยอมปล่อยวาง แบบนั้นก็คงจะไม่สามารถมีชีวิตมาถึงทุกวันนี้ได้”
มู่หรงเสี่ยวเทียนไม่รีรอให้พวกเขาได้ตอบกลับ เขายืนขึ้นและพยักหน้า “ขอบใจสำหรับความหวังดี ฉันรู้สึกดีใจมากที่มีเพื่อนดี ๆ แบบพวกนาย แต่ว่าวันนี้ฉันก็ไม่สามารถไปเก็บเลเวลกับพวกนายได้ ใช่แล้ว ในช่วงเช้าฉันจะเข้าไปดูข่าวในเว็บไซต์หลักสักหน่อย เอาล่ะ กินกันตามสบาย ฉันไปก่อน”
หลังจากที่มู่หรงเสี่ยวเทียนพูดจบเขาก็เดินออกไปทันที ทันใดนั้นเสียงเพลงที่ไพเราะก็ดังขึ้นมาในห้องอาหาร ด้วยความหนักแน่นของมู่หรงเสี่ยวเทียนแล้ว มันก็ทำให้ผู้เล่นมืออาชีพหลายคนตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง
ใครจะไปรู้ว่าฉันนั้นขมขื่นแค่ไหน
ใครจะมาใส่ใจว่าพรุ่งนี้ฉันจะเป็นอย่างไร
เส้นทางทั้งขรุขระและเต็มไปด้วยขวากหนาม
เธอและฉันไม่มีวันหวนคืนกลับมาได้
แต่ความรักไม่เคยเลือนหายไป
ปล่อยให้มันเป็นไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็น
ฉันไม่เคยเกรงกลัวต่อความเจ็บปวดหรือการสูญเสีย
ไม่ว่ามันจะยากขนาดไหน อย่างน้อยฉันจะขอลองทำมันดูสักครั้ง !
To be continued…