เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 75 คืนฆ่าคน
ตอนที่ 75 คืนฆ่าคน
ถึงห้องข้างๆ จะพลิกฟ้าคว้าฝน[1]กันอยู่ อีกทั้งมีเสียงคลื่นอารมณ์หลากหลายรูปแบบดังออกมาต่อเนื่อง แต่สุดท้ายก็ยังกั้นด้วยผนังห้อง ต่อให้เสียงชัดขนาดไหนก็ยังไม่อาจเทียบกับเสียงประตูที่ถูกบิดเปิดได้
วินาทีที่ซ่งจื่อเซวียนได้ยินเสียงลูกบิดประตู ซางเทียนซั่วก็ตื่นตัวขึ้นมาแล้วเหมือนกัน เขามองซ่งจื่อเซวียนอย่างระแวดระวัง “อาจารย์…”
ซ่งจื่อเซวียนยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้เขาอย่าออกเสียง ขณะเดียวกันก็พยักหน้า ทั้งสองค่อยๆ เดินช้าๆ ไปที่ประตูห้อง
แต่นาทีถัดมา ลูกบิดประตูกลับไม่ได้ถูกหมุนเปิดอีก หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงแล้ว
ทั้งสองจ้องตากันอย่างจริงจริง ซางเทียนซั่วกดเสียงต่ำพูดว่า “อาจารย์ คงไม่ใช่ว่า…ไม่รอให้ถึงค่อนคืนก็ลงมือแล้วหรอกนะ”
“ไม่รู้สิ อาจจะเป็นแขกคนอื่นมาผิดห้องก็ได้ แต่พวกเรายังต้องระวังสักหน่อย”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางส่องตาแมวที่ประตูมองออกไปที่ด้านนอก หน้าประตูว่างเปล่าไม่มีใครสักคน แต่ขณะที่จะผละออกจากตาแมว ซ่งจื่อเซวียนกลับสังเกตเห็นรายละเอียดอะไรบางอย่าง
จากตาแมวมองเห็นได้ว่า บนผนังสีขาวฝั่งตรงข้ามมีจุดสีดำอยู่จุดหนึ่ง สีออกไปทางสีเทาเข้ม และใต้จุดสีดำสิบเซนติเมตรกว่าๆ มีก้นบุหรี่ที่เพิ่งสูบเสร็จชิ้นหนึ่ง ที่บอกได้ว่าเพิ่งสูบเสร็จเป็นเพราะถึงแม้ก้นบุหรี่จะโดนเหยียบดับไฟและไม่มีไฟแล้ว แต่กลับยังมีควันบุหรี่ที่ลอยอบอวลอยู่เล็กน้อย
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างใคร่ครวญ นี่อธิบายได้ว่าเมื่อครู่มีคนผ่านตรงนี้ไปจริงๆ ไม่เพียงแค่หมุนลูกบิดประตูเท่านั้น ยังทิ้งก้นบุหรี่ที่เพิ่งสูบเสร็จไว้ที่ผนัง แล้วดีดมันลงที่พื้นอีก หลังจากใช้เท้าดับไฟก็เพิ่งจะจากไป
“อาจารย์…ไม่มีคนใช่ปะ”
“ไม่มี แต่น่าจะมีคนเคยมา” ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิด “เอาอย่างนี้แล้วกันเทียนซั่ว ถ้าเป็นต้าลี่คนนั้นจริงๆ ฉันคิดว่าเราสองคนยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย เพราะงั้นจะไปแบบใช้ไม้แข็งไม่ได้”
“ไม้แข็งไม่ได้…งั้นก็อ่อนเหรอ อ่อนยังไงล่ะ” ซางเทียนซั่วถาม
ซ่งจื่อเซวียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พูดว่า “ตอนนี้ปิดไฟนอนก่อน แต่พวกเราคอยเฝ้าระวังกันอยู่ตลอด อีกทั้ง…ดีที่สุดก็ไม่ต้องนอนเลย”
“ไม่ต้องนอน? อาจารย์ นี่ก็นั่งรถไฟกันมาทั้งบ่าย ตอนนี้ผมง่วงจะตายอยู่แล้ว!”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ตบบ่าซางเทียนซั่ว “ลำบากคืนเดียวโอเคไหม รอกลับไปตู้เหมินแล้ว ฉันให้นายลาพักไปนอนสักสองสามวันเลย”
ความจริงแล้วซ่งจื่อเซวียนก็ทำเพื่อความปลอดภัยของทุกคน อย่างไรไม่ใช่แค่ตัวเขาเอง ต่อให้เป็นซางเทียนซั่วก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของต้าลี่ คนที่ท่าทางเหมือนวัวนั่นถ้าพุ่งเข้ามา คืนนี้ก็คงเป็นฝันร้ายแล้วจริงๆ
………………………………..
ตอนนี้ ณ หอหงเยวี่ย เมืองตู้เหมิน
วันนี้ที่หอหงเยวี่ยอากาศเย็นเป็นพิเศษ ในห้องโถงใหญ่นอกจากพนักงานสวมสูทที่ขยับตัวบ้างเป็นครั้งคราวแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ครัวด้านหลังกลับยังคงยุ่งวุ่นวายเหมือนเคย สาวน้อยสองคนกำลังยกถาดขึ้นไปบนชั้นสอง และบนถาดก็มีขนมหน้าตาประณีตสวยงามและน้ำชาวางอยู่
หลี่ม่านหงยืนอยู่ตรงทางขึ้นบันไดดูท่าที “ใกล้ถึงเวลาแล้ว เสี่ยวโจว แกไปรับแขก ฉันจะเติมเครื่องสำอางสักหน่อย”
“ค่ะเจ๊หง”
ประมาณห้านาที ขบวนรถเก๋งที่ต่อกันมาสองสามคันก็มาจอดที่ด้านหน้าประตูหอหงเยวี่ย
ที่จอดรถหน้าหอหงเยวี่ยมีความเฉพาะตัว ดังนั้นแต่ละจุดจะมีรีโมตคอนโทรลสำหรับห้ามล้อรถ ตัวห้ามล้อรถจะปลดล็อคอัตโนมัติตามการตรวจจับป้ายทะเบียน และป้ายทะเบียนรถพวกนี้จะถูกหอหงเยวี่ยกรอกข้อมูลเข้าเครื่องก่อนล่วงหน้าทั้งหมด รถภายนอกไม่สามารถเข้ามาจอดได้
กลุ่มคนสามสี่คนเดินพูดคุยยิ้มแย้มกันเข้ามาในหอหงเยวี่ย พวกเขาชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี เดินตรงขึ้นไปยังห้องส่วนตัวชั้นสอง
เพิ่งจะถึงหน้าห้องส่วนตัวก็เห็นหลี่ม่านหงเข้ามาต้อนรับ หลี่ม่านหงวันนี้สวมชุดที่ดูสง่างามเป็นพิเศษ กี่เพ้ากำมะหยี่สีแดงเข้ม เข้าคู่กับผ้าไหมปักดิ้นสีดำ ปกปิดแขนขาวราวหิมะไปครึ่งหนึ่ง งดงามชดช้อยและไม่เสียกิริยาสูงส่ง
เธอแต่งแต้มริมฝีปากสีแดงบนใบหน้าซึ่งแต่งอ่อนๆ บนริมฝีปากเงาวาวเล่นแสงเล็กน้อยทำให้ดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ขณะที่คลี่ยิ้มบางคิ้วและตาดูผ่อนคลาย รูปปากเป็นกระจับ มีเสน่ห์เหลือล้นมานานแล้ว
“เสี่ยทั้งหลายมากันตรงเวลาเสียจริง เชิญรีบเข้ามาเถอะค่ะ น้ำชากับขนมจัดเตรียมไว้ให้ท่านแล้ว” หลี่ม่านหงเดินนำไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย วาจาเหมาะสม ชวนให้รู้สึกอยากครอบครองแต่ครอบครองไม่ได้ อยากสัมผัสแต่สัมผัสไม่ได้
“ฮ่าๆๆ เจ๊หงยังรอบคอบมากเหมือนเคย”
“ไม่ใช่แค่รอบคอบ เหมือนว่าจะยังสวยมากกว่าเดิมด้วยนะ”
หลี่ม่านหงรักษาระยะห่างดีมาก หลายปีมานี้เพราะธุรกิจหอหงเยวี่ย ทำให้ผู้ชายไม่รู้กี่คนต่อกี่คนมองเธอเป็นคนรักในฝัน กระทั่งคิดหาโอกาสเปย์อย่างหนัก แต่เธอกลับรักษาระยะห่างไว้อย่างดีที่สุดมาโดยตลอด ทำให้หลงรักแต่ไม่ได้ครอบครอง
ห้องส่วนตัวของหอหงเยวี่ยแต่ละห้องมีชื่อเป็นของตนเอง ทั้งหมดล้วนมีความสง่างามและน่าเกรงขาม และวันนี้หลี่ม่านหงจัดห้องส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดให้เหล่าเสี่ยที่มาวันนี้ และห้องนี้มีชื่อว่าไฉ่อวิ๋นเฟย
ด้านหลังทั้งสามคนที่เดินเข้ามาล้วนตามมาด้วยลูกน้องหนึ่งถึงสองคน เสี่ยทั้งสามนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แดง ส่วนลูกน้องยืนอยู่ด้านหลัง
“เสี่ยเคอซาน พวกเราไม่ได้เจอกันนานเลย ช่วงนี้ธุรกิจโด่งดังใหญ่แล้วใช่ไหม” ชายที่สวมเสื้อคอจีนสีน้ำตาลคนหนึ่งพูด
ชายคนนั้นผมเป็นสีดอกเลา เห็นได้ชัดว่าอายุอานามมากกว่าเคอหงเทาอยู่เล็กน้อย ในมือยังถือไม้เท้าไว้ด้วย ถึงจะบอกว่าถือไว้แต่นั่นก็เพราะเป็นมาดอย่างหนึ่ง เวลาเดินก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว
“ฮ่าๆ เสี่ยเจียงจะรีดไถผมใช่ไหมเนี่ย ใครไม่รู้บ้างว่าในบรรดาเราทั้งหลายก็เป็นผมที่ทำมาค้าขายไม่ขึ้น แต่เสี่ยกลับมีชีวิตผ่อนคลายสบายตัว ไม้เท้าบ็อกซ์วูด[2]นี่ไม่ใช่ถูกๆ ล่ะมั้ง” เคอหงเทาพูดเจือรอยยิ้ม
“เสี่ยเคอซานนี่สายตาดีจริง ไม้เท้านี่ที่จริงไม่เลว วัสดุทั้งอันขนาดนี้ไม่มีตำหนิ ที่สำคัญที่สุดงานฝีมือนี่ก็ไม่เลวเลยจริงๆ นี่เป็นงานที่ผมสั่งทำกับเสี่ยวกงโดยเฉพาะเชียวนะ”
เคอหงเทาได้ยินก็จับจ้องไปที่ไม้เท้าอันนั้น เสี่ยวกงคือปรมาจารย์ช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงของตู้เหมิน ถึงจะชื่อเสี่ยวกงแต่ที่จริงอายุมากกว่าหกสิบด้วยซ้ำ ทำงานมาหลายสิบปีก่อนก็ถูกคนเรียกแบบนี้จนกลายเป็นฉายาไปเสียแล้ว
แต่ปากบอกว่าเสี่ยวกง พอเจอหน้าจริงๆ เสี่ยพวกนี้ก็ต้องเรียกเขาว่าปรมาจารย์กงเป็นเสียงเดียวกัน ถึงอย่างไรฝีมือเช่นนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว
“เป็นงานของเสี่ยวกงจริงๆ ด้วย เสี่ยเจียงครั้งนี้โชคดีแล้ว ถ้าไม่ใช่แปดหมื่นถึงแสนหยวนก็คงเอามาไม่ได้ใช่ไหมเนี่ย”
“ฮ่าๆๆ พี่ชายคนหนึ่งของผมรู้จักกับเสี่ยวกงน่ะ แค่ห้าหมื่นก็ทำให้แล้ว”
ได้ยินประโยคนี้ เคอหงเทาก็ลอบขำในใจ ไอ้แก่โง่เง่า ฝีมือเสี่ยวกงแกะสลักหัวไม้เท้านี่ประเมินราคาไม่ได้ทั้งนั้น ห้าหมื่น…เจ้าตัวคงไม่ได้ทำด้วยตัวเองแน่นอน เพราะเป็นถึงปรมาจารย์ก็คงมีลูกศิษย์เยอะแยะมากมายอยู่แล้ว ใครจะรู้ว่าเป็นฝีมือสลักของลูกศิษย์คนไหน
ขณะกำลังพูดคุยกันอยู่ ประตูก็ถูกเปิด หลี่ม่านหงเดินเข้ามาอีกครั้ง และด้านหลังเธอก็มีคนตามมาอีกสองคน
ชายสองคนที่เดินด้านหน้าสุด หนึ่งในนั้นคนหนึ่งคือคุณเถียนที่เคอหงเทาเคยเจอ ส่วนชายอีกคนสวมเสื้อกันลมกระดุมถักตัวยาว สวมถุงมือสีดำ ผมสีดำเสยไปด้านหลัง ถึงใบหน้าจะมีรอยยับย่นอยู่บ้าง แต่กลับไม่มีผมขาวเลยสักเส้น
เห็นคนคนนี้เดินเข้ามา คนที่กำลังนั่งอยู่ก็ลุกขึ้นกันหมด แต่ละคนประสานหมัดคารวะเหมือนแสดงความเคารพ
“เสี่ยหวงมาแล้ว”
“เสี่ยหวง!”
เสี่ยหวงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยส่งสัญญาณให้ “ขอโทษด้วยเสี่ยทั้งหลาย ฉันมามืดค่ำไปสักหน่อย ทุกคนรอนานเลย”
“เสี่ยหวงเกรงใจไปแล้ว พวกเราก็เพิ่งถึงเอง” เสี่ยเจียงพูดพลางประสานหมัดคารวะ
เคอหงเทาพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ช้ากว่ากันมากหรอกครับ อีกอย่างสิ่งที่เสี่ยหวงทำมีแต่เรื่องใหญ่ พวกเรารอสักหน่อยจะเป็นอะไรไป เสี่ยหวง เชิญเถอะ”
เสี่ยหวงยิ้ม เดินเข้าไปในห้องส่วนตัว นั่งลงในที่ประธานที่หลายคนจงใจเหลือไว้ให้ “เสี่ยเคอซานยังพูดได้ดีแบบนี้เหมือนเดิม สีหน้าไม่เลวเลยนะ”
“ได้พึ่งใบบุญเสี่ยหวงนั่นแหละครับ อาหารของตู้เหมินนี่ยังต้องได้รับการดูแลจากเสี่ยหวงถึงจะใหญ่โตยืนยาวได้!”
เสี่ยหวงได้ยินดังนั้นก็โบกมือพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยซานก็กล่าวหนักไป ความจริงแล้วจุดประสงค์ที่เรียกมาวันนี้ เสี่ยทุกท่านน่าจะรู้เพราะคุณเถียนได้ไปพบปะทุกคนมาก่อนล่วงหน้าแล้ว อย่างนั้นพวกเราเข้าประเด็นสำคัญเลยแล้วกัน”
เสี่ยหวงพูดพลางโบกมือให้ลูกน้องด้านหลัง ลูกน้องหยิบเอกสารออกมาจากในกระเป๋าเอกสารทันที ขณะเดียวกันก็แจกให้ทุกคนในห้องนั้น และสิ่งที่ทำให้เคอหงเทาแปลกใจคือเอกสารชุดนี้ก็ส่งให้หลี่ม่านหงหนึ่งชุด เห็นได้ชัดว่าเสี่ยหวงนับว่าเธอเป็นหนึ่งในคนที่มาประชุมวันนี้เช่นกัน
“นี่คือข้อมูลของข้าวผัดจักรพรรดิที่ฉันรวบรวมมาทั้งหมด ต่างคนต่างกวาดตาอ่าน จากนั้นพวกเรามาคุยรายละเอียดกัน!”
เสี่ยหวงพูดจบก็จุดซิการ์สูบไปพลางมองทุกคน รัศมีเหนือกว่าทุกคนในที่แห่งนี้อย่างเห็นได้ชัด
……
ในห้องพัก สองตาของซ่งจื่อเซวียนจ้องมองเพดาน ถึงจะล้าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าหลับ ไม่รู้ทำไมเขามักจะคิดว่าวิกฤตอันตรายอยู่ใกล้ตัวพวกเขามาก ถึงยังไม่ได้ปรากฏ แต่…อีกไม่นานก็คงจะเกิดขึ้นแล้ว
ทว่าเสียงกรนของซางเทียนซั่วกลับเริ่มตั้งแต่ตอนที่นอนลงแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยหยุดเลย
เดิมซ่งจื่อเซวียนคิดจะปลุกเขา แต่ก็คิดอีกว่านั่งรถไฟมาทั้งบ่ายก็ล้าแล้ว อีกทั้งถ้าต้าลี่คนนั้นโผล่มาจริงๆ เสียงกรนแบบนี้ก็จะทำให้อีกฝ่ายสะเพร่าได้ง่ายเพราะคิดว่าพวกเขาหลับไปแล้ว สุดท้ายจึงไม่ได้ปลุกซางเทียนซั่ว
ซ่งจื่อเซวียนฟังเสียงเข็มวินาทีที่กำลังเดินของนาฬิกาบนผนัง ฝืนถ่างหนังตาที่ใกล้จะตก ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ความง่วงงุนก็เข้าจู่โจมสมองในที่สุด สองตาค่อยๆ ปิดลง
แต่ในพริบตาที่กำลังจะปิดตา เสียงแกร๊กก็ดังขึ้น…
เสียงลูกบิดหมุนดังขึ้นอีกครั้ง ซ่งจื่อเซวียนก็ตื่นขึ้นมาจากที่จะหลับตอนแรกทันที ช่วงเวลานี้รู้สึกตื่นเต็มตาสุดๆ เซลล์ทั้งร่างระแวดระวังเต็มพิกัด
เขาค่อยๆ ลุกขึ้น เดินช้าๆ ด้วยเท้าเปล่าไปที่หน้าประตู เขารู้ว่าถ้าต้าลี่คนนั้นมีคุณสมบัติในการเป็นอันธพาลอยู่บ้างจริงๆ การสวมรองเท้าเดินไปจะถูกอีกฝ่ายจับได้ง่ายมาก
ซ่งจื่อเซวียนแนบหูกับประตูฟังเสียงอยู่หลายวินาที และพลันส่องที่ตาแมวอย่างระมัดระวัง เหมือนกับเมื่อครู่ ด้านนอกไม่มีคนเหมือนเดิม
ซ่งจื่อเซวียนกระทั่งสงสัยว่าตนเองหูฝาดไปหรือเปล่า หรือไม่ก็อาจจะวิตกกังวลมากเกินไปจริงๆ
แต่ว่าตอนที่เขาเตรียมจะหันหลังเดินกลับไปนอน จู่ๆ ก็พบว่าในห้องมืดๆ มีลำแสงส่องเข้ามา ผ้าม่านถูกเปิดออก และมีเงาดำเงาหนึ่งกำลังยืนสบตากับซ่งจื่อเซวียนอยู่ด้านหน้าผ้าม่าน!
กลางดึก ถึงจะมองเห็นหน้าค่าตาไม่ชัด แต่ใช้แสงที่ส่องเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่างก็ยังสามารถมองเห็นรูปร่างได้ ซ่งจื่อเซวียนมั่นใจได้ทันทีว่าคนคนนี้ไม่ใช่ต้าลี่ แต่…ก็คุ้นเคยมาก
“เป็นนายเองเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“นายรู้เหรอว่าฉันเป็นใคร” เงาดำนั่นพูดเหมือนแปลกใจ
ซ่งจื่อเซวียนหรี่ตาลงเล็กน้อย “บอดี้การ์ดของเสี่ยเคอซาน”
“สายตาดีนี่” เห็นอีกฝ่ายจำได้ ฟางรุ่ยจึงพูดแค่ประโยคนี้
“นายตามฉันมาถึงที่หลานหยวนเลยเนี่ยนะ”
ฟางรุ่ยแค่นหัวเราะ “เพื่อฆ่านาย เสี่ยซานบอกว่า นาย…เก็บไว้ไม่ได้!”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้ว แต่ครู่หนึ่งก็คลายหัวคิ้ว หัวเราะเบาๆ “ที่แท้ก็เป็นคืนฆ่าคนนี่เอง แต่ฉันกล้าพูดเลยว่า…นายฆ่าฉันไม่ได้หรอก”
ขณะที่พูด ใบหน้าของซ่งจื่อเซวียนไม่ได้มีความหวาดกลัวเลยสักนิด แถมยังมั่นใจแผนการในใจของตัวเองอีกด้วย!
ตอนที่เสียงพูดของซ่งจื่อเซวียนเพิ่งจะเบาลง ซางเทียนซั่วที่อยู่อีกเตียงก็ลืมตาขึ้นมาในฉับพลัน กระโจนเข้าหาฟางรุ่ยอย่างดุร้ายราวกับเสือ!
………………………………………….
[1] พลิกฟ้าคว้าฝน (翻云覆雨) หมายถึงการใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงไปมาอย่างเหนือชั้น แต่ในบริบทนี้หมายถึงการร่วมรัก
[2] บ็อกซ์วูด (Boxwood) เป็นไม้ยืนต้นที่เขียวชะอุ่นตลอดทั้งปี สามารถเติมโตได้ทุกสภาพอากาศ