เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 7 สายตาดี
ตอนที่ 7 สายตาดี
ได้ยินเสียงนี้ หย่าฉีและผู้ชายคนนั้นก็หันมามอง คนที่พูดคือซ่งจื่อเซวียนนั่นเอง
“นายพูดกับฉันเหรอ” ผู้ชายพูดพลางมองซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนยักไหล่ “เปล่า แค่พูดไปเรื่อย”
ผู้ชายหัวเราะในลำคอ “เหอะๆ พูดไปเรื่อย? ไม่ใช่ว่านายพูดว่าฉันเสียเงินแสนห้าไปฟรีๆ เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนเพียงหัวเราะในร่วนไม่ได้พูดอะไร
ชายคนนั้นชำเลืองมองซ่งจื่อเซวียน รับแจกันลายครามจากมือเจ้าของแผงมาดูอีกรอบทันทีแล้วเผยรอยยิ้มเย็น
“แจกันเครื่องลายคราม ยุคราชวงศ์หมิง เนื้อกระเบื้องหนาหนัก สีและความแวววาวค่อนข้างขุ่น ด้านในไม่สม่ำเสมอเป็นลักษณะเด่น ทุกอย่างตรงตามข้อมูล นี่เป็นของจริง” ผู้ชายกล่าวและมองไปทางเจ้าของแผง “เหอะๆ เถ้าแก่ ราคานี่เพิ่มไม่ได้นะ”
คนรอบๆ ที่มามุงดูไม่น้อยหัวเราะกันออกมา อย่างไรที่หลี่เจียหาวพูดก็ดูเชี่ยวชาญมาก ในสายตาของทุกคนเขาจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญแน่ๆ แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับดูเหมือนตัวตลก
เจ้าของแผงยิ้มกว้าง “แหะๆ สายตาพี่ชายดีจริง ผมยังไม่มีสายตาที่เชี่ยวชาญขนาดนี้เลย ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามราคานี้แล้วกัน คุณจะรูดบัตรใช่ไหม”
“หลี่เจียหาว นายจะไม่ลองคิดดูอีกหน่อยเหรอ ยังไงแสนห้าก็ไม่ใช่ถูกๆ นะ” หย่าฉีพูดขึ้นตอนนี้เอง
หลี่เจียหาวหัวเราะอย่างมั่นใจ “เหอะๆ หย่าฉี เธอสงสัยในสายตาของฉันเหรอ อย่าลืมสิ ฉันดูของมีค่ามาตั้งแต่เล็กจนโตนะ สายตาสองข้างของฉันเนี่ยเป็นเครื่องประเมินราคาของมีค่า มา รูดบัตร!”
พูดจบ เขาก็รูดบัตรที่เครื่องแล้วกดรหัส ซื้อขายสำเร็จ
หลี่เจียหาวกอดแจกันลายครามเอาไว้ พูดว่า “เหอะๆ ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอคนที่ไม่รู้แต่แสร้งทำเป็นรู้ในตลาดโบราณเข้าจริงๆ หย่าฉี พวกเราไปกันเลยไหม เดี๋ยวฉันส่งมันไปให้ที่บ้าน”
“นายจะให้ฉันจริงๆ เหรอ ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก แพงเกินไป” หย่าฉีพูด
“ของล้ำค่าคู่ควรกับสาวงามอยู่แล้ว จะยังไงเธอก็เป็นคนที่ฉันรักนี่”
หย่าฉีหน้าแดง “นาย…นายพูดเพ้อเจ้ออะไรเล่า สรุปแล้วฉันไม่เอานะ ถ้าบ้านนายเก็บสะสมอยู่แล้ว นายก็เอากลับไปเถอะ”
“เอาล่ะ ไม่พูดแล้ว พวกเราขับรถกลับกันก่อนดีไหม ยังไงจะมัวแต่ถือของมีค่าไว้มันก็ไม่สะดวก”
พูดพลาง หลี่เจียหาวก็จะพาหย่าฉีจากไป แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับแค่นหัวเราะ “เนื้อกระเบื้องหนา สีแววขุ่น ด้านในไม่สม่ำเสมอ ก็สร้างจากมือมนุษย์ได้ทั้งนั้นแหละ ดูที่ก้นแจกันนั่นสิ”
ได้ยินประโยคนี้ ฝูงชนที่เดิมทีตั้งใจจะแยกย้ายก็หยุดฝีเท้า แต่ละคนมองไปที่แจกันลายคราม ของล้ำค่าชิ้นนั้นที่เพิ่งซื้อขายสำเร็จด้วยราคาแสนห้าในมือของหลี่เจียหาวอีกครั้ง
หลี่เจียหาวมองก้นแจกันพลางลูบคลำ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ยังไงล่ะ ร่องรอยตรงนี้บันทึกกาลเวลาและการผ่านเหตุการณ์มามากมายไง อาจจะมีคราบโคลนบ้างแต่ถ้าลองเช็ดก็ยังเช็ดออกได้ แน่นอนว่าฉันจะไม่ทำอย่างนั้นหรอกนะ”
“ฮ่าๆ นั่นก็แน่อยู่แล้ว ที่ก้นภาชนะเครื่องลายครามในสมัยราชวงศ์หมิง…หรือก็คือก้นขวดจะเป็นแบบก้นทราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคจักรพรรดิหย่งเล่อก็จะเป็นก้นทรายสีขาว คุณไม่รู้หรอกเหรอ”
จบประโยคนี้ของซ่งจื่อเซวียน บรรยากาศก็เปลี่ยนไปหมด ประโยคนี้เชี่ยวชาญยิ่งกว่าการประเมินของหลี่เจียหาวก่อนหน้าเสียอีก
คนที่เดินดูของในตลาดโบราณไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญไปเสียทั้งหมด ส่วนใหญ่ก็มาเพื่อชมความคึกคัก โดยเฉพาะเมื่อบังเอิญเจอกับการซื้อขายที่มีราคาสูงก็ยิ่งมุงเข้ามาดูกันง่าย ตอนนี้ คนที่มามุงดูเยอะขึ้นเรื่อยๆ เกือบจะซ้อนกันสองถึงสามชั้น
หลี่เจียหาวหน้าเขียว ลูบคลำก้นแจกันอีกครั้ง เป็นอย่างที่ซ่งจื่อเซวียนพูดจริงๆ แม้ว่าก้นแจกันจะมีรอยขรุขระและคราบโคลนบ้างประปราย แต่มีสิ่งเคลือบอยู่เรียบเนียน ไม่ใช่ก้นทรายแต่เดิมอยู่แล้ว
“เหอะๆ น้องชาย นายคิดว่านายรู้เรื่องพวกนี้ดีมากใช่ไหม แต่น่าเสียดายคนที่นายเจอก็ไม่ใช่คนนอกวงการ ฉันดูของโบราณมาตั้งแต่เล็กจนโต เครื่องลายครามในยุคสมัยหย่งเล่อไม่ได้เป็นก้นทรายสีขาวทั้งหมด!”
ถึงแม้หลี่เจียหาวจะพูดอย่างนั้น แต่ในใจก็กำลังเต้นแรง อย่างไรเสียก็โยนเงินแสนห้าออกไปแล้ว เป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย ที่พูดแบบนี้ไปก็เพื่อรักษาหน้าของตัวเองไว้ รอกลับถึงบ้านเขาต้องพิสูจน์เสียหน่อย
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มสบายๆ “ตามใจ ยังไงเงินที่จ่ายไปก็เป็นเงินคุณอยู่ดี คุณคิดว่าเป็นของจริงก็ดี แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไรอีก” หลี่เจียหาวมึนงงอยู่บ้างจริงๆ เด็กผู้ชายที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ หักหน้าตนเองก็ช่างเถอะ แต่ที่สำคัญคือตอนนี้ยังอยู่ต่อหน้าถังหย่าฉีน่ะสิ!
“แต่คุณดูที่ตัวอักษรนั่นสิ แหะๆ ยุคหย่งเล่อใช้ตัวอักษรแบบจ้วน[1] แต่ในมือคุณนั่นน่ะเป็นตัวอักษรแบบข่าย[2]”
“นาย…นายบอกอักษรจ้วนก็ต้องเป็นอักษรจ้วนเหรอ ฉันว่ามันเป็นอักษรข่าย!” หลี่เจียหาวโกรธสุดๆ แล้วจริงๆ เขาพูดตะคอก
ผู้คนในฝูงชนไม่น้อยกำลังป้องปากหัวเราะ เหตุผลง่ายๆ ก็คือหลี่เจียหาวที่มั่นใจเต็มเปี่ยมเมื่อครู่ ทั้งยังพูดว่าสายตาของตัวเองเป็นเครื่องประเมินของมีค่าอะไรนั่น ตนเองดูพวกของโบราณมาตั้งแต่เล็กจนโตนั่นอีก แต่ตอนนี้…ชัดเจนว่าใช้เงินซื้อของปลอมไปแล้วแสนห้า
เพิ่งจะเดินออกมาจากฝูงชน ซ่งจื่อเซวียนก็ได้ยินเสียงแตกเพล้งเสียงหนึ่ง มีเศษเครื่องลายครามชิ้นหนึ่งกระเด็นมาที่เท้าเขาด้วย เขามองดูแวบหนึ่ง ก็เผยยิ้มเจื่อนออกมา
หลี่เจียหาวโมโหจนปาเครื่องลายครามแตก ถังหย่าฉีตกใจจนกรีดร้อง “หลี่เจียหาว นายทำอะไรเนี่ย”
พูดจบ เธอก็หันหลังวิ่งออกมาจากฝูงชน ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยืนใกล้หลี่เจียหาวไปหน่อย อายคนชะมัด…
หลี่เจียหาวหอบหายใจแรง คว้าคอของเจ้าของแผงไว้แน่น พูดว่า “แม่มันเถอะ ขายของปลอมให้ฉันเหรอ”
“ผม…ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ พี่ชาย ของโบราณต้องขึ้นอยู่กับสายตา คุณมองไม่ออกเองก็โทษผมไม่ได้สิ อีกอย่าง…คุณไม่ประเมินดีๆ เอง มีสิทธิอะไรมาหาว่าผมขายของปลอมเล่า”
ได้ยินดังนั้น หลี่เจียหาวทั้งโกรธ ขณะเดียวกันก็เสียใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อครู่บุ่มบ่ามไปแล้ว ดีร้ายยังไงก็น่าจะรอผลประเมินก่อนว่าเป็นของปลอมถึงค่อยปาลงพื้น
ตอนนั้น เขาที่อยู่ในฝูงชนก็เหมือนกับเป็นตัวตลก อยากจะหาซักซอกมุดเข้าไปเสียเหลือเกินเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของผู้คนรอบๆ เขาก็กัดฟันคิดเงียบๆ ไอ้เด็กเวรที่โผล่หัวมาจากไหนก็ไม่รู้ รอเจอแกอีกรอบก่อนเถอะ จะสับแกให้เป็นชิ้นๆ เลย!
และซ่งจื่อเซวียนที่เพิ่งเดินออกมาจากฝูงชน ก็มีมือหนึ่งวางที่ไหล่เขา หันกลับไปมองก็เป็นชายอายุห้าสิบกว่าปีคนหนึ่ง
ผมสั้นของชายคนนั้นยุ่งเล็กน้อย เส้นผมสีดำไม่ได้มากกว่าผมขาวมากนัก เสื้อเชิ้ตตัวเก่าสีขาวเปรอะคราบดำเต็มไปหมด เขาสวมแจ็กเก็ตสีน้ำเงินไว้ด้านนอก แขนเสื้อแจ็กเก็ตสองข้างมีรอยขาด บวกกับบนแก้มและปลายจมูกก็มีคราบสกปรก ซ่งจื่อเซวียนเกือบคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกันกับเด็กขอทานคนนั้นจริงๆ…
“คุณลุง มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
ชายคนนั้นยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก อยากจะคุยกับนายสักประโยคน่ะ”
“หืม”
“ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น แค่สามคำเท่านั้น สายตาดี!”
ได้ยินคำพูดของชายคนนั้น ซ่งจื่อเซวียนไม่เข้าใจนิดหน่อย “คุณหมายถึง ตอนที่ผมอยู่ที่แผงนั่นน่ะเหรอ”
“แหะๆ ฉันไม่ได้สนใจเครื่องลายครามปลอมนั่นหรอก ของจริงที่นายซื้อมาชิ้นนั้นไม่เลวเลย ให้ฉันดูหน่อยได้ไหม” ชายคนนั้นกล่าวยิ้มๆ
ซ่งจื่อเซวียนล้วงป้ายหยกชิ้นนั้นออกมา ยื่นให้ชายคนนั้น พูดว่า “คุณหมายถึงนี่เหรอ ดูสิ”
ชายคนนั้นรับป้ายไปแล้วมองซ่งจื่อเซวียน “ใจกว้างมาก เหอะๆ ป้ายดีขนาดนี้ไม่กลัวฉันจะขโมยไปเหรอ”
“คุณบอกได้ว่าเครื่องลายครามนั่นเป็นของปลอม ก็หมายความว่าคุณเข้าใจ คุณอยากดูป้ายชิ้นนี้ ก็หมายความคุณก็เข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน อาจารย์ของผมเคยพูดไว้ว่าของดีๆ ต้องอยู่ในมือคนที่รู้เรื่อง ถ้าคุณขโมยไปก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
ชายคนนั้นพยักหน้าพลางยิ้ม ขณะเดียวกันก็พิจารณาป้ายหยกในมือ “ป้ายนี่ซื้อมายี่สิบเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าหงึกๆ
“นายนี่เจ๋งดีนี่หว่า ได้หยกแท้ธรรมชาติขนาดนี้มาชิ้นหนึ่งด้วยเงินยี่สิบหยวนเนี่ย”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็มั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เขายิ้มตอบ “ที่จริงเจ้าของแผงจะเอาห้าร้อยก็ราคาถูกแล้วแหละ แต่จุดสำคัญคือในกระเป๋าผมมันไม่มีจริงๆ น่ะสิ”
“เหอะๆ ใช้ได้ ไอ้หนูเจ๋งจริงๆ” พูดพลาง ชายคนนั้นก็คืนป้ายหยกให้ซ่งจื่อเซวียน ขณะเดียวกันก็ล้วงสุราไหเล็กออกมาออกมาดื่ม “เก็บไว้เถอะ หยกแท้นี่ถ้าเอาไปขัดเงา คงสวยตายแน่เลย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ลุงคนนี้น่าสนใจอยู่หน่อยๆ นิสัยเหมือนตาเฒ่าอย่างหนึ่ง สุราไม่ห่างกาย
“ไว้เจอกันนะ!” ดื่มเหล้าเสร็จ ลุงคนนั้นก็หันหลังเดินออกไปนอกตลาดโบราณ ขณะเดียวกันก็โบกมือมาด้านหลัง ท่าทางดูขี้เกียจอยู่บ้าง แต่สำหรับซ่งจื่อเซวียนก็ดูเก๋อยู่ไม่น้อย แน่นอนว่าความเก๋นี้ไม่ได้ขัดกับเสื้อขาดๆ ที่สวมอยู่เลย
“เหอะๆ ตาลุงคนนี้น่าสนใจจริงๆ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกไหม”
ที่ร้านอาหารซุนเซียง
หลังจากช่วงเวลาเร่งรีบอย่างมื้อเที่ยงผ่านไป พวกจางขุยก็เก็บกวาดโถงร้าน ขณะเดียวกันก็เริ่มตระเตรียมทำอาหารมื้อเย็น แต่หยางต้าฉุยกลับยืนคำนวณบัญชีที่หลังเคาน์เตอร์
ร้านอาหารชุนเซียงไม่ได้เป็นร้านอาหารใหญ่โตอะไร แต่เนื่องจากเปิดกิจการมาสิบกว่าปีแล้ว มีลูกค้าประจำในละแวกใกล้เคียงอยู่ไม่น้อย การค้าขายหมุนเวียนในทุกวันไม่เลวเลย
ตรวจบัญชีระหว่างวันเป็นตอนที่หยางต้าฉุยมีความสุขที่สุด อย่างไรก็ทำเงินได้ แต่วันนี้นับอยู่นานก็ยังไม่เสร็จเสียที หลายวันมานี้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยเรื่องที่จะรั้งซ่งจื่อเซวียนไว้ที่นี่ ไม่ได้จดจ่ออยู่กับเงินในมือเลย
พอดีกับที่ใจว้าวุ่น ก็มีเด็กสาวอายุไม่ถึงยี่สิบดีคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน เด็กสาวสวมกางเกงยีนส์ ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาอมชมพู ผมหยักศกเป็นลอนทิ้งตัว ยิ่งทำให้เครื่องหน้าประณีตมากขึ้น
เด็กสาวเดินเข้ามา โยนกระเป๋าเป้ใบใหญ่ไว้บนเคาน์เตอร์บาร์ พูดว่า “พ่อ ลูกหิวแล้ว”
หยางต้าฉุยเงยหน้าขึ้น เห็นหยางเสวี่ยผู้เป็นลูกสาว ในที่สุดก็ผ่อนลมหายใจได้แล้ว “ไอ้เด็กแสบ แกกลับมาได้สักที”
พูดพลาง เขาก็เลิกม่านครัวด้านหลัง “จางขุย เสี่ยวเสวี่ยกลับมาแล้ว ผัดกับข้าวให้สักสองอย่างละกัน”
“รับทราบ!” จางขุยตอบรับ
หยางต้าฉุยเทน้ำร้อนใส่แก้วส่งให้หยางเสวี่ย “มานี่สิ ลูกสาวพ่อ นั่งก่อน ให้พ่อดูหน่อยสิ”
หยางเสวี่ยอายุสิบแปดปีเท่ากับซ่งจื่อเซวียน ปีนี้เรียนจบมัธยมปลายแล้ว สอบติดมหาวิทยาลัยหนานเฟิงที่เมืองตู้เหมินแล้ว และด้วยเหตุนี้หยางต้าฉุยถึงได้โอนเงินให้เธอไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ในชั้นเรียน
“พ่อ ทำไมพ่อกลับกลอกอย่างนี้นะ ลูกกับเพื่อนๆ กำลังเที่ยวอยู่ก็เรียกลูกกลับมาซะงั้น ทีหลังลูกจะเจอหน้าเพื่อนได้ยังไง” หยางเสวี่ยบ่น
“เหอะๆ ไม่ใช่เพราะที่ร้านยุ่งหรือไง อีกอย่างพ่อก็คิดถึงแกจะแย่แล้ว” ขณะพูดอยู่ จางขุยก็ยกกับข้าวสองอย่างมาให้ หยางต้าฉุยพูดว่า “มา ลูกสาวพ่อ รีบกินข้าว”
หยางเสวี่ยยกชามขึ้นกินหนึ่งคำ มองซ้ายมองขวา “ยุ่งที่ไหนกัน แล้วยังจะท่าทางแบบนั้นอีก พวกพ่อตั้งกี่คนยังยุ่งกันอีกเหรอ เอ๊ะ พ่อ เจ้ารองล่ะ”
เห็นหยางเสวี่ยเริ่มถามถึงซ่งจื่อเซวียน หยางต้าฉุยยิ้มตอบ “เจ้ารองเด็กคนนี้หน่วยก้านใช้ได้แถมยังฉลาดอีก ช่วงนี่เหนื่อยเกินไป พ่อเลยให้เขาพักครึ่งวัน แหะๆ จริงสิลูกสาวพ่อ แกก็ไม่เด็กแล้ว นี่ก็ใกล้จะไปเรียนต่อมหาลัย มีผู้ชายที่สนใจบ้างหรือเปล่า”
ความจริงหยางต้าฉุยก็แค่ลองถามหยั่งเชิงลูกสาวเท่านั้น ถ้าหยางเสวี่ยตอบว่าไม่มี อย่างนั้นก็จับคู่กับซ่งจื่อเซวียนได้พอดี แต่ถ้าตอบว่ามีล่ะก็…อย่างนั้นก็จับแยกแล้วจับคู่ใหม่เสียก็สิ้นเรื่อง!
“ฮัลโหล นี่พ่อใช่พ่อแท้ๆ ของลูกจริงไหมเนี่ย ลูกยังไม่ทันได้เรียนมหาลัยเลย พ่อแม่คนอื่นเขาไม่ยอมให้ลูกรีบมีความรักกันทั้งนั้น แต่พ่อกลับเป็นอย่างนี้ซะงั้น ลูกเพิ่งเรียนจบม.ปลายก็เริ่มถามเรื่องมีแฟนแล้วเหรอ” หยางเสวี่ยเลิกคิ้วใบหลิวพลางมุ่ยปากพูด
หยางต้าฉุยหัวเราะ “ฮ่าๆๆ อย่างนั้นก็ยังไม่มีล่ะสิ ลูกสาวพ่อนี่เรียบร้อยดีจริงๆ แต่พ่อว่านะ…มีก็ไม่เป็นไร ถือเป็นการซ้อมไปก่อนล่วงหน้าไง จะปล่อยให้ไร้ประสบการณ์เรื่องความรักไม่ได้สิ”
หยางเสวี่ยแทบจะสำลักข้าวออกมา “พ่อพูดอะไรเนี่ย”
ได้ยินดังนั้น หยางเสวี่ยก็ชะงักไป “ตัวเลือก? แถมยัง…ตัวเลือกดีๆ ด้วย?”
“ใช่แล้ว แกคิดว่าเจ้ารองเป็นยังไง”
……………………………………………………..
[1] ตัวอักษรจ้วน หรือจ้วนซู (篆书) เป็นตัวอักษรที่เกิดขึ้นหลังจากที่จิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียว และได้ทำการปฏิวัติตัวอักษรให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงสูง ขนาดตัวอักษรสม่ำเสมอเท่ากัน ความเป็นภาพวาดหายไป
[2] ตัวอักษรข่าย หรือข่ายซู (楷书) มีรูปแบบที่วิจิตรบรรจง เป็นมาตรฐานตัวอักษรจีนในปัจจุบัน มีต้นกำเนิดในยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขีดเป็นระเบียบ เส้นพู่กันชัด อ่านเขียนง่าย