เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 63 เงื่อนไขแลกเปลี่ยน
ตอนที่ 63 เงื่อนไขแลกเปลี่ยน
เมื่อได้ยินหลี่ม่านหงพูดเช่นนี้ เคอหงเทาและเฉิงปาต่างก็พยักหน้า
“ฉันก็ต้องให้เกียรติเจ๊หงอยู่แล้ว” เคอหงเทากล่าวพลางชำเลืองมองซ่งจื่อเซวียน “ไอ้หนู แม้ภูผาจะไม่เคลื่อนตัว แต่สายธารบนภูผายังคงไหลริน[1] ฉันไม่เชื่อว่าเราจะไม่ได้พบกันอีก ไปล่ะ!”
หลังพูดจบ เคอหงเทาก็เดินออกจากห้องส่วนตัวไปพร้อมกับลูกน้องสองสามคน
จากนั้นเสี่ยเฉิงปาก็พาคนอื่นๆ ออกไป ขณะที่กำลังจะเดินออกจากประตู หลี่ม่านหงก็พูด “ท่านชายซาง”
ซางเทียนซั่วหยุดฝีเท้า “เหอะๆ เจ๊หง คุณยังจำผมได้”
“แน่นอนค่ะ ฉันหลี่ม่านหงไม่มีวันลืมแขกทุกคนที่หอหงเยวี่ย” หลี่ม่านหงเห็นว่าเสี่ยเฉิงปาและคนอื่นๆ ออกไปแล้ว จึงพูดว่า “ท่านชายซาง หอหงเยวี่ยของฉันยินดีต้อนรับคุณและเพื่อนของคุณมาดื่มชาได้ตลอดเวลา แต่…เจ๊หงอยากเตือนคุณสักหน่อย อยู่ห่างๆ เคอซานและเฉิงปาไว้หน่อยนะคะ”
ซางเทียนซั่วได้ยินก็พยักหน้า “ผมรู้ เจ๊หง มันมีเหตุผลที่ไม่อาจทำตามใจตนเองได้นะ”
ได้ยินแบบนั้น หลี่ม่านหงก็เหลือบมองซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ข้างเขาแล้วพูดว่า “คุณซ่ง ข้าวผัดของคุณยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ยิ่งดีเท่าไรก็ยิ่งนำพาความยุ่งยากมาให้เท่านั้น ดูแลตัวเองดีๆ นะคะ”
ซ่งจื่อเซวียนประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าหลี่ม่านหงจะรู้ตัวตนของเขา
ตามจริงแล้ว เขาไม่เคยแนะนำตัวเองเลย แม้แต่เคอซานและเฉิงปาก็ไม่น่าจะแนะนำเขากับหลี่ม่านหง แต่ไม่นึกว่าเธอจะเรียกชื่อเขาออกมาโดยตรง…
หลี่ม่านหงคนนี้ไม่ธรรมดา หอหงเยวี่ยก็ไม่ธรรมดายิ่งกว่า!
“ขอบคุณเจ๊หง” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยสี่คำเบาๆ
หลี่ม่านหงไม่แสดงสีหน้าอะไร เพียงพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องส่วนตัวไป
หลังออกจากหอหงเยวี่ย ทุกคนก้าวขึ้นรถบิวอิคก์ เสี่ยเฉิงปานั่งเบาะหลังและถอนหายใจออกเล็กน้อยอย่างเหนื่อยหน่าย แทบทุกคนก็ล้วนตึงเครียดกับเหตุการณ์นี้ พวกเขาจึงย่อมรู้สึกเหนื่อยเป็นธรรมดา
เหลยจื่อหันไปมองแล้วพูดว่า “เสี่ยปา คงไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ ให้ผมโทรเรียกพวกพี่น้องเรามาดีไหมครับ”
เสี่ยเฉิงปาหลับตาพร้อมส่ายหัว “ไม่เป็นไร ออกรถเถอะ เคอซานก็คงจะคิดแบบเดียวกัน ถ้าจะลงมือที่หอหงเยวี่ยก็เว้นแต่ว่าเขาจะไม่อยากข้องเกี่ยวอีกต่อไป”
“เสี่ยปา เสี่ยว่า…ทำไมไม่มีใครกล้าลงมือที่หอหงเยวี่ยนี่ล่ะครับ” เหลยจื่อถาม
“เหอะๆ คนที่มาหอหงเยวี่ยเป็นใครกันบ้างล่ะ คนใหญ่คนโตในเมืองปักกิ่งและเมืองตู้เหมิน บ้างเป็นข้าราชการ บ้างก็เป็นพวกประธานบริษัท จะพูดคุยเรื่องอะไรที่หอหงเยวี่ยก็ปลอดภัย แกคิดว่าที่แห่งนี้ทำให้พวกเขาหาเงินได้เท่าไรล่ะ ถ้าใครกล้าก่อปัญหาที่นี่ ไม่ได้หมายความว่าเขาตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกคนใหญ่คนโตหรอกเหรอ รนหาที่ตาย!”
เหลยจื่อพยักหน้าเข้าใจแล้วสตาร์ทรถทันที ขณะที่กำลังจะออกรถ เขาก็เห็นรถเจ็ดที่นั่งสีดำคันหนึ่งขับออกไป เสี่ยเฉิงปาพูดว่า “พวกเคอซานไปกันแล้ว อ้อ จริงสิเปียวจื่อ แกลงมือหรือยัง”
“เสี่ยวางใจเถอะ ลงมือนานแล้วครับ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ตะลึงงัน ลงมือ? หรือว่าครั้งนี้เสี่ยเฉิงปายังจะทำเรื่องอื่นอีก
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ เขาก็เห็นจางเปียวเอื้อมมือยื่นอะไรบางอย่างให้เสี่ยปา คนอื่นมองเห็นไม่ชัด แต่สายตาของซ่งจื่อเซวียนจ้องอยู่ มันคือหยกพม่า[2]ชิ้นหนึ่ง!
เขาอาจจะมองไม่ชัดว่าหยกแกะสลักเป็นรูปอะไร แต่อาศัยแสงสว่างนอกหน้าต่างก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่าคุณภาพของหยกนั้นดีเลิศ!
เสี่ยปารับหยกมาและคลึงในฝ่ามือสองสามครั้งก่อนจะแสยะยิ้มพูด “คนเขาบอกว่าเคอซานชอบของสิ่งนี้ ฉันไม่สนใจของเล่นแบบนี้หรอก ทองคำดูน่าสนใจกว่าอีก”
“ฮ่าๆ เสี่ยปา นี่มันอะไรเหรอครับ” เหลยจื่อถาม
เสี่ยเฉิงปาหยิบขึ้นมาดู ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นสิงโตมั้ง…”
เขามองไม่ออกแต่ซ่งจื่อเซวียนมองออก นั้นคือปี่เซียะหยกขนาดเท่าไข่ไก่ ระยะห่างนี้ไม่เพียงพอให้เห็นการแกะสลัก แต่คุณภาพไม่เลว เนื้อใสแวววาว
“มีคนบอกว่าเคอซานอาศัยโชคลาภจากของเล่นชิ้นนี้ เมื่อก่อนทำอะไรก็พึ่งพามัน ธุรกิจอาหารตอนนี้ก็อาศัยมันเหมือนกัน เหอะๆ วันนี้เสี่ยปาได้ทำลายโชคของเขาแล้ว!”
เสี่ยเฉิงปาพูดพลางลดหน้าต่างลงคิดที่จะโยนปี่เซียะหยกออกไป ตอนนี้รถกำลังวิ่งอยู่บนถนนริมแม่น้ำ หากเขาขว้างมันไปก็จะจมลงสู่ก้นแม่น้ำทันที
ขณะที่เขากำลังจะขว้าง ซ่งจื่อเซวียนพูดห้ามไว้ “เสี่ยปา ช้าก่อน ขอผมดูหน่อยได้หรือเปล่า”
“หืม น้องชายรู้จักมันเหรอ”
“เหอะๆ แค่คิดว่าของนี้น่าสนใจดีน่ะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนรับปี่เซียะมาดูอย่างระมัดระวัง นี่เป็นของดีที่หาดูได้ยากในตลาด เนื้อหยกโปร่งใสทั้งตัว มีตำหนิน้อยมาก โดยพื้นฐานแล้วมีพื้นผิวแวววาวคล้ายแก้ว การแกะสลักมีรายละเอียดสูงและสดใสมีชีวิตชีวา เรียกได้ว่าเป็นฝีมือระดับปรมาจารย์
รูปกายของปี่เซียะเป็นสีเขียวสว่าง ท้องอวบใหญ่ เดิมทีปี่เซียะเป็นของนำโชค ยิ่งท้องอวบใหญ่เท่าไรก็แสดงถึงความมั่งคั่งที่มากขึ้นเท่านั้น บนหน้าผากมีสีม่วงปนอยู่ เมื่อรวมกับเนื้อใสวาวของปี่เซียะก็กลายเป็นสีม่วงสว่างสดใส แปลว่าโชคยิ่งใหญ่มาเยือนหรือเมฆสีม่วงปรากฏที่ทิศตะวันออก[3] ล้วนแทนสัญลักษณ์ของความโชคดี
ความพิถีพิถันของหยกต้องมองที่ลักษณะความโปร่งใสและสี และหยกชิ้นนี้มีลักษณะและสีที่ดีเยี่ยมตามแบบฉบับ เนื้อมีความโปร่งใส ไม่เพียงแต่มีสีที่ถูกต้อง ทั้งยังอยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงที่ควรมีอยู่มากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นงานธรรมชาติสรรสร้างผสมผสานกับฝีมือการแกะสลักอันชาญฉลาด!
ยิ่งซ่งจื่อเซวียนมองดูปี่เซียะนี้มากเท่าไรก็ยิ่งชอบมันมากขึ้นเท่านั้น เขามองเสี่ยเฉิงปาแล้วพูดว่า “เสี่ยปา เจ้านี่…ให้ผมได้ไหม”
เมื่อเสี่ยเฉิงปาได้ยินก็ประหลาดใจ “หืม ที่จริงมันก็ไม่ได้สำคัญ ยังไงก็จะโยนทิ้งอยู่แล้ว แต่ว่า…แกไม่กลัวเคอซานรู้แล้วจะเกิดเรื่องยุ่งยากกับแกเหรอ ของเล่นนี้อาจเป็นชีวิตจิตใจของเขา”
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้ม “ไม่กลัว ผมว่ามันสวยดี จะเอาไปตั้งโชว์ที่บ้าน”
เสี่ยปาโบกมือ “ตามใจแก เอาไปเถอะ ยังไงโชคลาภของเคอซานก็ขาดวิ่นแล้ว จากนี้ไป…ฮ่าๆ น้องชาย เหลือเราสองพี่น้องที่จะก้าวหน้าแล้วล่ะ”
“เสี่ยปาวางใจได้ สิ่งที่เคยพูดกับคุณไปผมจะทำตามสัญญา”
ซ่งจื่อเซวียนคร้านจะพูดให้มากความ ความสนใจเกือบทั้งหมดของเขาอยู่ที่ปี่เซียะในมือ ของเล็กกระจ้อยร่อยนี้ประเมินค่าไม่ได้ อย่างไรวัสดุที่ดีแบบนี้ บวกกับการแกะสลักนั้นในตลาดยากที่จะได้เห็น!
ซางเทียนซั่วยังคงเงียบมาตลอด จนกระทั่งภายในรถตกอยู่ในความเงียบ เขาจึงโน้มตัวไปข้างหูของซ่งจื่อเซวียนพร้อมพูดว่า “อาจารย์ ได้ลาภลอยแล้วนะเนี่ยว”
ซ่งจื่อเซวียนย่อมเข้าใจ ทันทีที่ได้ยินก็กลั้นไว้ไม่ได้จนยิ้มพรายออกมา เขาวางนิ้วบนริมฝีปาก สื่อให้ซางเทียนซั่วลดเสียงลง
“อาจารย์ คิดว่าของเล่นชิ้นนี้มีราคาเท่าไรกัน” ซางเทียนซั่วพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตามที่เขาเข้าใจเกี่ยวกับพวกสิ่งของ ทำให้สามารถประเมินมูลค่าของหยกนี้ออกมาได้ แต่มูลค่ากับราคาเป็นสองสิ่งที่ต่างกัน ราคาขึ้นอยู่กับตลาดกำหนด จุดนี้ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่เข้าใจ
เขาส่ายหัว “ไม่แน่ใจ ฉันคิดว่านี่เป็นของหายาก ราคาต้องหลายพันหยวนมั้ง แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ซื้อไม่ไหว”
ซางเทียนซั่วพยายามกลั้นขำอย่างหนักพร้อมกระซิบว่า “อาจารย์ อย่างน้อยก็เลขหกหลัก…”
เมื่อได้ยินซ่งจื่อเซวียนก็ตาค้าง หกหลัก งั้นก็คือหนึ่งแสนงั้นเหรอ!
“โอ้โห ก็แค่หินก้อนเดียว มันแพงขนาดนี้เลยเหรอ”
“อาจารย์มาจากยุคโบราณหรือเปล่าเนี่ย ทุกวันนี้คุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้นแล้ว อะไรคือสิ่งที่มีค่าที่สุด ของฟุ่มเฟือยไงล่ะ หยกไม่ใช่แค่หินแต่เป็นอัญมณี อัญมณีเลยนะ แถมคุณภาพของชิ้นนี้ก็ดีขนาดนี้ มันต้องทะลุหกหลักแน่นอนอยู่แล้ว” ซางเทียนซั่วอธิบาย
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเนิบนาบ มือจับปี่เซียะแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าเขาจะได้รับเงินเดือนแปดหมื่นหยวน แต่เขาเหมือนจะยังไม่ชินกับการมีเงินอยู่ในมือ พอได้มาถือของหลายแสน ตามจริงก็กังวลอยู่บ้าง
เสี่ยเฉิงปาตรงไปส่งซ่งจื่อเซวียนที่บ้าน ก่อนลงจากรถ เขาพูดว่า “น้องชาย หลังจากผ่านเรื่องวันนี้ไป เคอซานอาจจะกลับมาหาแกอีก ดังนั้นฉันต้องรับรองความปลอดภัยของแก”
ซ่งจื่อเซวียนคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าที่เคอหงเทาพูดจารุนแรงวันนี้ เขาไม่คิดจะปล่อยตนไปอยู่แล้ว “จะทำตามที่เสี่ยปาเตรียมการครับ”
“ดี ตั้งแต่พรุ่งนี้ฉันจะให้เหลยจื่อทำหน้าที่ไปรับแกทุกวัน ขณะเดียวกันในรถจะมีพวกน้องชายอย่างน้อยสองคน ทำหน้าที่ไปรับแกจากต้าสือไต้กลับบ้าน จากนั้นก็รับแกมาที่ร้านของเราแล้วค่อยส่งกลับบ้านอีกรอบ ฉันเชื่อว่าเคอซานยังไม่ถึงกับก่อเรื่องก่อราวใหญ่โตหรอก”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้ารับ “รับทราบครับ ถ้างั้นก็ต้องรบกวนเสี่ยปาแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจแล้ว จากนี้ไปแกก็คือคนกันเอง ยังไงก็ระวังตัวไว้ด้วยล่ะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็อยู่ที่ร้านไปเลย”
“เหอะๆ วางใจเถอะเสี่ยปา ผมยังไม่ถึงกับปอดแหกขนาดนั้น เรื่องอื่นจะทำตามที่คุณบอกครับ!”
หลังจากเสี่ยเฉิงปาจากไป ซ่งจื่อเซวียนก็ให้ซางเทียนซั่วกลับไป ส่วนตนเองตรงไปที่บ้านของฟางจิ่งจือ
หลังจากดื่มสองจอกกับตาเฒ่า ซ่งจื่อเซวียนก็ไปอ่านหนังสือสูตรอาหาร ฟางจิ่งจือเอนกายบนตั่งจ้องมองซ่งจื่อเซวียนแล้วเอ่ย “ไอ้หนู แกมีศักยภาพนิดเดียวเองสินะ อ่านมานานขนาดนี้แล้ว…ยังไม่เข้าใจเมนูที่สองอีก”
“ปู่ ปู่บอกว่าเจ้าของคนเดิมของสูตรอาหารเล่มนี้ใช้เวลาสี่ปีในการทำความเข้าใจบทแรก แล้วบทแรกนี้มีอาหารกี่เมนูเหรอปู่” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“บทแรกน่ะเรอะ เหอะๆ แกอ่านให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยถามฉันเถอะ แต่เขาใช้เวลาสิบเอ็ดปีในการเรียนรู้สูตรอาหาร สุดท้ายก็เรียนรู้ได้ห้าเมนู” ฟางจิ่งจือกล่าว
“ห้าเมนูในสิบเอ็ดปี ปู่ ถ้างั้นต่อให้อาหารจะสมบูรณ์แบบแค่ไหน ก็เป็นสุดยอดพ่อครัวไม่ได้หรอก ยังไงก็จะขายแค่ห้าเมนูไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
“ไอ้เด็กนี่ไม่รู้อะไรซะเลย ห้าเมนูก็อาจจะเปรียบได้กับอาหารหนึ่งท้องถิ่นแล้วด้วยซ้ำ ส่วนนี้…ภายหลังแกจะเข้าใจเอง”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วน้อยๆ คิดถึงสิ่งที่ตาเฒ่ากล่าว บางทีสูตรอาหารนี้อาจลึกซึ้งมากกว่าที่เขาคิด คิดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกร้อนอกร้อนใจขึ้นมา อย่างไรนานขนาดนี้แล้วเขาไม่เพียงยังไม่เข้าใจเมนูที่สอง กระทั่งเนื้อหาทั้งหมดที่ต่อจากข้าวผัดจักรพรรดิก็อ่านไม่ค่อยเข้าใจเลยด้วยซ้ำ…
เขาหายใจเข้าลึกๆ มือสัมผัสปี่เซียะหยกในกระเป๋าของตนอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกอบอุ่นและเย็นยะเยือกไหลเวียนอยู่ในมือของเขา รู้สึกสบายจริงๆ
ฟางจิ่งจือเหลือบมองมือของเขาจากด้านข้าง แม้จะไม่ได้หยิบปี่เซียะออกมา แต่เมื่อเขาจับมันเล่นไปมาจนสุดขอบกระเป๋า ก็ถูกเผยออกมาบางส่วน เมื่อฟางจิ่งจือเห็นเข้าก็เบิกตากว้าง
“ไอ้เด็กเวร ได้สมบัติมายังไม่เอาให้ปู่ดูอีกเรอะ”
ซ่งจื่อเซวียนตกใจ รีบเก็บมือเข้าไป “ฮะ สมบัติอะไรกันปู่ ไม่ ไม่มีนะ…”
ฟางจิ่งจือกระตุกยิ้ม “ไอ้เด็กเวรเอ๊ย จะแกล้งทำมึนกับปู่แกยังอ่อนไปหน่อยนะ ตราบใดที่ของดีๆ เล็ดลอดเข้ามาในสายตาปู่ ถึงจะเห็นเพียงด้านข้างก็หลบไม่พ้นแล้ว รีบเอามาให้ปู่เชยชม เร็วเข้า!”
เมื่อเห็นว่าตาเฒ่าเห็นมันจริงๆ ซ่งจื่อเซวียนก็เลิกแอบพร้อมคลี่ยิ้ม “ปู่ นี่เป็นของดีแน่นอน ถ้าปู่ชอบ ปู่ก็เอาตะหลิวลายฟีนิกซ์มาให้ผมสิ”
“เอ๋ เสนอเงื่อนไขกับฉันงั้นเหรอ จะล้อเล่นอะไรอีก ไอ้หนูเชื่อไหมว่าฉันจะไปฉีกสูตรอาหารทิ้งซะ!”
ฟางจิ่งจือพูดพลางลุกขึ้นนั่ง ซ่งจื่อเซวียนก็รีบพูดอย่างตะลีตะลาน “อย่า อย่านะ ตาเฒ่าคนนี้นี่ พูดแล้วก็จะทำเลย เอางี้ไหมล่ะ อืม…เรามาทำเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกัน แหะๆ ผมให้ปู่ดูแล้วปู่ก็ให้ผมดูเหมือนกัน”
เมื่อเห็นฟางจิ่งจือเหมือนกำลังครุ่นคิด ซ่งจื่อเซวียนก็พูดว่า “เฮ้อ…คนขี้งก ตาเฒ่าคนนี้น่าเบื่อซะจริง!”
“ก็ได้ แกเอามาให้ปู่เชยชมก่อน ถ้ามันเป็นของดีจริงๆ ฉันจะเอาให้แกดู” ฟางจิ่งจือพูดด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
………………………………………
[1] แม้ภูผาจะไม่เคลื่อนตัว แต่สายธารบนภูผายังคงไหลริน (山不转水转) หมายถึง ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เปลี่ยนแปลง
[2] หยกพม่า (翡翠) หรือหยกเจไดต์ ค้นพบครั้งแรกที่ประเทศพม่า เป็นหยกที่มีความแข็ง มีสีเขียวเข้มสดมากกว่าหยกจีน จัดเป็นหยกคุณภาพดีและหาได้ยากในปัจจุบัน
[3] เมฆสีม่วงปรากฏที่ทิศตะวันออก (紫气东来) เป็นสำนวนจีนในบันทึกประวัติศาสตร์ เรื่องราวของเหลาจื่อที่กำลังเดินทางมายังด่านของหยินสี่ ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกปรากฏเห็นก้อนเมฆใหญ่สีม่วงลอยเด่นอยู่ จึงเป็นความหมายว่า สิ่งอันเป็นมงคลมาทางทิศตะวันออก