เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 6 เสียแสนห้าไปฟรีๆ
ตอนที่ 6 เสียแสนห้าไปฟรีๆ
เห็นหานหรงจะลุกขึ้น ซ่งจื่อเซวียนรีบคีบข้าวเข้าปากคำหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปรั้งแม่ไว้ ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเอง
เห็นว่าเป็นหยางต้าฉุย อีกทั้งสองมือก็หิ้วของมาสองถุงใหญ่ ซ่งจื่อเซวียนมึนงงเล็กน้อย พูดว่า “เถ้าแก่มาได้ยังไงครับ”
หยางต้าฉุยยกยิ้ม ถือของเดินเข้ามา เพราะร่างกายอวบอ้วน ท่าทางจึงดูงุ่มง่ามอยู่บ้าง
“แหะๆ ปกติที่ร้านค่อนข้างยุ่ง ไม่ได้มาเยี่ยมพี่สาวเลย” หยางต้าฉุยเดินตรงเข้าไปหาหานหรง
หานหรงลุกขึ้นยิ้มตอบ “ไอหยา เถ้าแก่หยาง ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ มาก็มาเฉยๆ สิ ยังหอบข้าวหอบของมาเยอะขนาดนี้ทำไมกัน”
หยางต้าฉุยวางข้าวของไว้บนพื้น นั่งกับโต๊ะพลางหอบหายใจเล็กน้อย “ดูพี่พูดสิ ผมเอาของมานิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งหลายปี ผมเลยซื้อพวกของจำเป็นมาให้พี่บ้าง”
หานหรงชำเลืองมองพวกนั้นแวบหนึ่ง เอาเถอะ ยังไงก็เป็นพวกเนื้อกับผักแพงๆ ทั้งนั้น อีกอย่างยังมีข้าวห้ากิโลกระสอบใหญ่ เธอจึงเหลือบไปมองซ่งจื่อเซวียนอีกรอบทันที
แม้จะเป็นแม่บ้าน แต่หานหรงก็ได้รับการศึกษาที่สูง อีกทั้งยังฉลาดมาก เธอก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าคนที่ขึ้นชื่อเรื่องตระหนี่ถี่เหนียวอย่างหยางต้าฉุยขนข้าวของมาเยี่ยมตน จะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ และจะต้องเป็นเพราะซ่งจื่อเซวียน
เธอรู้จักลูกชายของตนเองดี แม้ซ่งจื่อเซวียนจะไม่ได้ขี้ขลาดตาขาว แต่ก็ไม่ได้ชอบหาเรื่อง ดังนั้นจึงไม่ใช่เพราะเขาประมาทเลินเล่อแน่นอน ตรงกันข้าม หยางต้าฉุยจะต้องมาเอาอกเอาใจซ่งจื่อเซวียนแน่ถึงได้มาที่นี่ ส่วนเหตุผลที่มาเอาอกเอาใจนั้น เธอคิดไม่ออก
“แหะๆ เถ้าแก่หยางก็เกรงใจเกินไปแล้ว ของในบ้านก็มีพอถมเถ ทำเถ้าแก่สิ้นเปลืองอย่างนี้พวกเราเกรงใจแย่เลย” หานหรงพูด
หยางต้าฉุยมองไปทางซ่งจื่อเซวียนด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวก็พูดเสียยืดยาว เจ้ารองทำงานในร้านก็นับว่าช่วยผมได้เยอะ ถ้าไม่ใช่เพราะที่ร้านมีเรื่องให้จัดการค่อนข้างเยอะ ผมคงมาเยี่ยมพี่นานแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนสีหน้ากระอักกระอ่วนไม่รู้จะพูดอะไร หานหรงจึงพูดขึ้นว่า “นั่นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เจ้ารอง แกก็อย่าเพิ่งกิน ไปเอาน้ำมาให้เถ้าแก่หน่อยไป”
“ไม่ต้องๆ ให้เจ้ารองกินข้าวไปเถอะครับ” หยางต้าฉุยรีบโบกมือ
“พี่สาว ผมแค่มาเยี่ยมพี่ เลยถือโอกาสเอาของเล็กๆ น้อยๆ มาให้ด้วย นี่ก็ดึกแล้ว ผมกลับก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมมาเยี่ยมใหม่ พวกเราจะได้พูดคุยกันอีกที”
“ไม่ล่ะครับ พี่ก็รีบพักผ่อนนะครับ” พูดพลาง หยางต้าฉุยก็เดินออกไปแล้วปิดประตู
หานหรงมองหยางต้าฉุยที่เดินจากไปไกลผ่านทางหน้าต่าง หันหลังกลับมาพูด “ลูกชาย บอกแม่ที เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ หยางต้าฉุยขึ้นชื่อเรื่องเดาใจยาก จู่ๆ วันนี้โรคเก่ากำเริบขึ้นมาหรือไงถึงได้เอาของมาให้บ้านเราน่ะ”
หลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เล่าที่มาที่ไปให้ฟังรอบหนึ่ง แน่นอนว่าเรื่องสูตรอาหารเขายังเก็บไว้เป็นความลับ จุดนี้ก็เพื่อให้เกียรติฟางจิ่งจือ
ฟังเรื่องที่ลูกชายเล่าจบ หานหรงก็พยักหน้า “ที่แท้ก็เรื่องก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ดูท่าหยางต้าฉุยคนนี้พยายามยื้อลูกไว้สุดกำลังเลยนะ เจ้ารอง แกคิดว่าไง จะอยู่หรือจะไปล่ะ”
“ลูก…แม่ ลูกอยากไปทำงานที่ร้านหลินเทียนหนานจริงๆ เพราะยังไงถ้าลูกได้เงินเดือนแปดหมื่นหยวน ลูกคงไม่ให้แม่ไปรับจ้างรายวันแล้ว แต่…”
“แกกลัวว่าแกจะมีความสามารถไม่พอที่จะรักษาหม้อข้าวหม้อแกง[1]ไว้ได้เหรอ” หานหรงก็ยังเข้าใจในตัวลูกชายเหมือนเดิม เวลาซ่งจื่อเซวียนคิดจะทำอะไรก็จะระมัดระวังแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เรื่องที่ควบคุมไม่ได้จะไม่ยอมเสี่ยงลงมือทำ
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ได้พูดอะไร
หานหรงเงียบไปพักใหญ่ พูดว่า “เจ้ารอง เรื่องนี้แม่ตัดสินให้แกไม่ได้ แกโตแล้วนะ ต้องจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองเหมือนผู้ใหญ่ได้แล้ว แต่จำคำแม่ไว้นะ จะทำเรื่องอะไรก็ต้องมีจิตสำนึก จะทำร้ายผู้อื่นไม่ได้!”
ได้ยินที่แม่กำชับ ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้าขึ้นพยักหน้าสุดแรง “แม่ ลูกเข้าใจแล้ว”
ผ่านไปสองวันก็นับว่าสงบสุขดี หลังจากซ่งจื่อเซวียนเลิกงานก็ไปอ่านสูตรอาหารทุกวัน แต่กลับไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เหมือนกับจะไม่มีหนทางตระหนักถึงเนื้อหาส่วนหลังได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของหยางต้าฉุยขณะอยู่ที่ร้านได้อย่างชัดเจน
เมื่อก่อน หยางต้าฉุยแทบจะไม่มองเขาด้วยซ้ำ มากสุดก็ตอนจะใช้เขาทำงานถึงจะตะโกนเรียกเขา แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว กระทั่งสองวันมานี้ยังสั่งให้จางขุยทำอาหารกลางวันให้ซ่งจื่อเซวียนด้วยตัวเอง
ผ่านช่วงกลางวันที่ยุ่งเหยิงที่สุดไป หยางต้าฉุยได้รับออร์เดอร์เดลิเวอรีมาออร์เดอร์หนึ่ง “เจ้ารอง แกเอาออร์เดอร์นี้ไปส่งบ้านพี่สาวจางที่ชุมชนฉางโช่ว แกรู้จักใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนรู้จักอยู่แล้ว พี่สาวจางที่ว่านั่นคือจางเหม่ยหลิง แม่หม้ายที่อายุสี่สิบกว่าปี เปิดร้านทำผม แต่ปกติไม่รู้ว่าไปมาอย่างไร เธอถึงมากินข้าวที่ร้านอาหารชุนเซียงบ่อยครั้ง และทุกครั้งก็จะเล่นหูเล่นตากับหยางต้าฉุย มีครั้งหนึ่งซ่งจื่อเซวียนเห็นหยางต้าฉุยหยิกก้นพี่สาวจางกับตาตัวเอง
หยางต้าฉุยยิ้มๆ “อืม ช่วงบ่ายไม่ได้ยุ่งมาก แกก็ไม่ต้องรีบกลับมา ค่อยกลับมามื้อเย็นก็ได้ ฉันจะสั่งให้จางขุยทำหมูสองไฟ[2]ให้กิน”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มเจื่อนๆ ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร สองวันมานี้ก็ถือว่าหยางต้าฉุยดูแลเขาดีสุดๆ แล้ว…
เดินไปสิบกว่านาที ซ่งจื่อเซวียนก็มาถึงชุมชนฉางโช่ว ตอนที่จางเหม่ยหลิงได้รับอาหารที่สั่งก็เย็นชาห่างเหินใส่ แทบจะไม่มองซ่งจื่อเซวียนด้วยซ้ำ
แต่ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้ใส่ใจ ดูท่าจางเหม่ยหลิงคนนั้นจะหัวสูง ต้องดูถูกตัวเองที่เป็นเด็กครัวตัวเล็กๆ แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้สนใจ
ส่งอาหารเสร็จ ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี หยางต้าฉุยบอกให้เขาไม่ต้องรีบกลับ แต่เขาก็ไม่มีที่ให้ไป ถึงอย่างไรเขาก็วนเวียนอยู่แค่สามที่นั่นคือร้านอาหาร บ้าน และก็บ้านของตาเฒ่าฟางเท่านั้น
แต่เดิมคิดจะไปอยู่ที่บ้านฟางจิ่งจือ คุยเล่นกับชายชราสักครู่ แต่ตอนที่กำลังเดินไป ซ่งจื่อเซวียนก็สังเกตเห็นความรื่นเริงข้างหน้า เงยหน้ามองก็เห็นตัวอักษรตัวใหญ่สีทองที่สลักไว้ตรงซุ้มประตูบานใหญ่ ตลาดโบราณเมืองตู้เหมิน
ตลาดโบราณของเมืองตู้เหมินอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง ไม่กี่ปีก่อนซ่งจื่อเซวียนเคยมากับฟางจิ่งจือครั้งหนึ่ง ตอนนั้นชายชรายังเดินได้คล่องแคล่วอยู่ หัวสมองยังจดจำได้ดี เขาจำได้ว่าครั้งนั้นชายชราซื้อแก้วสีเขียวใบหนึ่งกลับไป
ตอนนั้นซ่งจื่อเซวียนยังไม่เข้าใจ หลังจากนั้นฟางจิ่งจือก็บอกเขาว่านั่นคือแก้วเรืองแสงของราชวงศ์ซ่ง และตั้งแต่นั้นมาเขาก็เริ่มสนใจพวกวัตถุโบราณเล็กน้อย ประกอบกับอ่านหนังสือโบราณและหนังสือประวัติศาสตร์มาไม่น้อย จึงยิ่งสนใจเรื่องพวกนี้มากขึ้นอีก
หยุดยืนอยู่พักหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนก็เดินเข้าไปในตลาดโบราณ
แผงลอยของพ่อค้าแม่ขายเรียงรายเป็นแถว มองไม่เห็นปลายทาง แต่สินค้าที่วางบนแผงลอยเป็นพวกงานหัตถกรรมร่วมสมัยเสียส่วนใหญ่ มากที่สุดจะเป็นพวกเลียนแบบ ซ่งจื่อเซวียนจึงยิ่งไม่สนใจ
จนเดินมาถึงแผงลอยแผงหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนถึงได้ย่อตัวลง สองตามองไปที่ป้ายสีเขียวชิ้นหนึ่งตรงมุมแผง
พื้นผิวป้ายสีเขียวสีกระดำกระด่าง ดูขรุขระ ผ่านมรสุมมามากมาย สายคล้องสีน้ำตาลก็ทำขึ้นมาหยาบๆ ไม่พิถีพิถัน มีบางช่วงเปื่อยแล้วเล็กน้อย เหมือนเจ้าของไม่ได้ใช้อย่างทะนุถนอมเท่าไร วางทิ้งไว้ส่งๆ
ซ่งจื่อเซวียนค้ำพื้นเอื้อมไปหาป้ายชิ้นนั้น หยิบขึ้นมาดู พื้นผิวมีรอยแตกอยู่ไม่น้อย ในร่องแตกเต็มไปด้วยคราบไคล ตอนอยู่บนมือกลับไม่ได้เบาเหมือนกับที่เห็น
“เถ้าแก่ ป้ายนี่ขายเท่าไร” ซ่งจื่อเซวียนใช้มือชั่งน้ำหนักแผ่นป้ายพลางถาม
ฟางจิ่งจือเป็นชาวปักกิ่ง ชอบดูของพวกนี้ และเคยให้ความรู้เรื่องของโบราณกับซ่งจื่อเซวียนไม่น้อย ที่สำคัญที่สุดก็คือการจะซื้อของพวกนี้ต้องซื้ออย่างไร
สิ่งสำคัญที่สุดเวลาจะซื้อของโบราณก็คือการจับผิด อย่างแรกจะทำให้เจ้าของแผงรู้ไม่ได้ว่าคุณสนใจของชิ้นนี้ กระทั่งบางครั้งจะดูเป็นรอบที่สองก็ไม่ได้ เพราะถ้าคุณมองมัน ก็เท่ากับแจ้งเตือนเจ้าของแผงแล้ว
และด้วยเหตุนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงทำท่าชั่งน้ำหนักป้ายอยู่ในมือ สีหน้าไม่ได้แสดงออกมาว่าชอบแต่อย่างใด
“อ้อ อันนั้นเหรอ ฉันขายให้ห้าร้อยหยวนละกัน” เจ้าของแผงตอบส่งๆ
ซ่งจื่อเซวียนลอบยิ้ม เขารู้ดีว่าเจ้าของแผงตั้งใจทำแบบนี้ ถ้าบอกราคาต่ำไปส่งๆ คนจะต้องรับเลยแน่นอน ดังนั้นการบอกราคาสูงเต็มที่และทำเป็นไม่สนใจ ไม่เพียงแค่แสดงออกว่าเป็นของดีแล้ว ยังเอาเปรียบคนที่หลอกง่ายได้อีกด้วย
แต่ซ่งจื่อเซวียนเพียงแค่ส่ายหน้าแล้วยิ้มบาง เอาของวางกลับที่เดิม มองของอย่างอื่นต่อ
เห็นอย่างนั้น เจ้าของแผงก็พูดว่า “น้องชาย ถ้าสนใจจริงๆ พี่ลดให้อีกหน่อยได้นะ”
“แหะๆ ไม่ใช่เรื่องลดให้หรอกครับ ผมแค่มองสุ่มๆ ซื้อเล่นๆ ไม่ได้คิดจะใช้เงินเยอะขนาดนั้น” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางตอบ ขณะพูดก็ไม่ได้มองไปที่ป้ายสีเขียวนั่นอีก
“งั้นน้องคิดว่าจะใช้เงินเท่าไรล่ะ”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็มั่นใจแล้ว เจ้าของแผงคนนี้ไม่ได้มองว่าป้ายสีเขียวนี่เป็นของดีอย่างเห็นได้ชัด ถึงอยากรีบขายออกไปเร็วๆ
“ผมก็ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับของพวกนี้เท่าไร ก็แค่อยากซื้อของฝากให้น้องชายดีใจเฉยๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวผมเหลือแค่ยี่สิบหยวนแล้ว พี่ขายให้ผมราคานี้ได้ไหม ถ้าขายไม่ได้ผมก็จะดูอย่างอื่น”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นยืน เจ้าของแผงจึงรีบพูด “ยี่สิบหยวน ล้อกันเล่นหรือไง น้อยชาย เอาอย่างนี้แล้วกัน ให้พี่ห้าสิบหยวนเป็นไง พี่ขายให้!”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้ายิ้มๆ “จุดสำคัญคือผมเหลือแค่ยี่สิบหยวนแล้ว ไว้ผมดูอย่างอื่นดีกว่าครับ”
“ก็ได้ พี่ให้ยี่สิบ แต่ไม่มีกล่องให้นะ ต้นทุนกล่องพี่ก็ห้าหยวนแล้ว” เจ้าของแผงพูด หยิบแผ่นป้ายสีเขียวขึ้นมาถูๆ บนตัวแล้วส่งให้ซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนรื่นเริงในใจ รีบรับป้ายสีเขียวใส่เข้าไปในกระเป๋า ขณะเดียวกันก็จ่ายเงินให้เจ้าของแผงยี่สิบหยวน
ในร้านของโบราณ ต่อให้เป็นของดีก็เรียกว่าของเล่น ถ้าสนใจของขึ้นมา การเจรจาก็คือไหวพริบ ถ้าคุณใจอ่อนล่ะก็ อีกฝ่ายได้หลอกคุณจนล้มละลายแน่ จึงจำเป็นต้องชั่วร้ายเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเอาตัวรอดได้
ขณะซ่งจื่อเซวียนดีอกดีใจกำลังจะออกจากร้าน ก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้าไปในฝูงชน เด็กสาวคนนั้นสวมกางเกงยีนส์ ขาเรียวยาว ใส่เสื้อสีขาวเรียบๆ นอกจากเครื่องหมายการค้าที่กระบอกแขนเสื้อก็ไม่ได้ตกแต่งมากมายอีก ส่วนเครื่องหมายการค้านั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่รู้จักว่าเป็นแบรนด์อะไร
ไม่แต่งหน้าออกมาข้างนอก ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนที่แต่งหน้าจัดหรือบางเบา คิ้วรูปใบหลิวทอดยาว เหนือริมฝีปากรูปสีเชอร์รี่ก็เป็นจมูกโด่งสวยได้รูป แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับน้ำเปล่า
พูดได้เลยว่า เครื่องหน้านี้จวนเจียนจะไร้ที่ติ บวกกับบนแก้มขาวนวลอมชมพู จะเรียกว่าสมบูรณ์แบบก็ได้
เห็นเด็กสาวคนนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงักค้างทั้งตัวไปหลายวินาที โตมาขนาดนี้แล้ว…ยังไม่เคยเจอเด็กสาวที่สวยขนาดนี้มาก่อนเลย…
เด็กสาวคนนั้นย่อตัวลงนั่งยองๆ ทัดผมยาวข้างหนึ่งขึ้นเบาๆ กลิ่นหอมกลิ่นหนึ่งก็ฟุ้งกำจายออกมา โดนใจจังๆ
“เถ้าแก่ แจกันนี่ราคาเท่าไรเหรอ”
เด็กสาวเพิ่งจะพูดจบ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังก็ย่อตัวลงนั่งยองๆ เช่นกัน พูดด้วยใบหน้าอ่อนโยน “เหอะๆ ของชิ้นนี้ไม่เลวเลยนะ เธอชอบหรือเปล่า หย่าฉี เดี๋ยวฉันซื้อให้”
เด็กสาวที่ชื่อหย่าฉีหันหน้าไปมองเขาแวบหนึ่ง “ไม่ต้อง ฉันมีเงิน”
“สาวน้อย หนูตาดีนะเนี่ย นี่เป็นของจากราชวงศ์หมิง อย่างน้อยๆ ก็น่าจะอยู่ในยุคจักรพรรดิหย่งเล่อ[3] ถ้าหนูชอบจริงๆ พวกเราต่อรองราคากันได้” เจ้าของแผงยิ้มกลั้วหัวเราะ
ได้ยินดังนั้น ผู้ชายก็พูดว่า “ต่อรองราคา? คุณคิดว่าราคาจะทำให้ผมตกใจตายได้เหรอ”
“จะเป็นไปได้ยังไง พี่ชายท่านนี้ดูท่าจะเป็นคนมีฐานะสินะ แต่ทำธุรกิจก็ยังต้องพูดคุยเรื่องราคาไม่ใช่เหรอ” เจ้าของแผงตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองพูดมาสิว่าเท่าไร”
“หนึ่งแสนห้าหมื่น ไม่ต่อรอง!”
เจ้าของแผงพูดจบ ผู้ชายก็หยิบแจกันลายครามขึ้นมาดู พยักหน้าเบาๆ “อืม…อยู่ในยุคราชวงศ์หมิง หย่าฉี พ่อของฉันก็เก็บสะสมของเก่าไว้ไม่น้อยเหมือนกัน ฉันพอรู้เรื่องเกี่ยวกับของพวกนี้อยู่บ้าง ฉันซื้อให้เธอใบหนึ่งแล้วกัน”
หย่าฉีพูดอย่างสงสัยเล็กน้อย “นายว่า…นี่เป็นของจริงเหรอ”
“เหอะๆ วางใจเถอะ ของโบราณในบ้านฉันมีมากไปแล้วล่ะ สายตาของฉันเทียบกับกึ่งผู้เชี่ยวชาญได้แล้วนะ” ผู้ชายพูดกลั้วหัวเราะอย่างอบอุ่น
พูดจบ ผู้ชายก็หยิบบัตรเครดิตจะจ่ายเงิน และเจ้าของแผงก็หยิบเครื่องรูดบัตรออกมา
ในตอนนี้เอง ข้างๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังมา “เหอะๆ ร่ำรวยจริงๆ เสียแสนห้าไปฟรีๆ”
………………………………………….
[1] รักษาหม้อข้าวหม้อแกง (保住饭碗子) เปรียบเปรยได้ว่ารักษาอาชีพของตนเองเพื่อให้มีหลักประกันในชีวิต
[2] หมูสองไฟ หรือ หุยกัวโร่ว (回锅肉) คืออาหารเสฉวน ใช้หมูสามชั้นผัดกับผัดกาด พริกหยวก ต้นหอม หัวหอมและซอสพิเศษ จุดเด่นคือจะนำเนื้อหมูมาเคี่ยวกับเครื่องเทศต่างๆ จากนั้นก็นำไปแช่แข็งอีกครั้งแล้วนำมาหั่นก่อนจะไปคั่วในกระทะอีกครั้ง รสชาติเผ็ดอ่อนๆ
[3] จักรพรรดิหย่งเล่อ (永乐) เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์หมิง ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 1402 ถึง ค.ศ. 1424