เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 48 ปวกเปียกอีกแล้ว
ตอนที่ 48 ปวกเปียกอีกแล้ว
“ว่าไงนะของจริงเหรอ ชุดละสอง…สองหมื่นกว่าหยวนเหรอ”
“จริงหรือหลอกเนี่ย แต่เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าคุณชายหลี่บอกว่า…”
“ที่คุณชายหลี่พูดน่าจะไม่ได้ผิดหรอก มีคนเคยเห็นเขาไปเดินห้างใหญ่อยู่บ่อยๆ ไม่ใช่แค่ซื้อให้ตัวเองนะ ยังซื้อของตั้งมากตั้งมายให้กับเด็กผู้หญิงด้วย คงจะไม่ได้มองผิดไปหรอก”
“ฉันก็คิดแบบนี้ คนคนนั้นเป็นใครน่ะ”
“พวกนายไม่รู้จักเธอเหรอ เถ้าแก่ร้านขนมหวานซานซานไง!”
“อ้อ…ฉันรู้จัก โต้วซานซาน ที่แท้ก็คือเธอนี่เอง ร้านขนมหลายสาขาทำรายได้ต่อเดือนจากแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ได้ตั้งห้าพันกว่าหยวนแน่ะ!”
“ถูกต้อง ได้ยินว่าพอเธอเรียนจบก็เริ่มทำของหวานเลย แม้ว่าหน้าร้านจะไม่ใหญ่ แต่เหมือนว่าประสบความสำเร็จกับเดลิเวอรี่ แถมยังคิดจะเปิดแฟรนไชส์ด้วยนะ”
“ฉันเคยเห็นเธอในเว็บอาหารเลิศรส ทั้งยังบอกว่าเธอเป็นว่าที่ราชินีขนมหวานของเมืองตู้เหมิน”
ในฝูงชนพูดคุยกันเช่นนี้ แทบจะทุกคนต่างรู้ที่มาที่ไปของโต้วซานซาน ถึงอย่างไรก็สามารถทำให้ร้านหลายสาขาเป็นแนวหน้าในแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ได้ ฐานะครอบครัวก็คงไม่ต่ำต้อยจนเกินไป เช่นนั้นสิ่งที่เธอพูดก็ย่อมมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้างเช่นกัน
หลี่เจียหาวมองไปที่โต้วซานซาน พูดว่า “หึ เธอคิดว่าเธอรู้เรื่องเยอะมากสินะ”
“ไม่ถึงขั้นรู้เรื่องหรอก แต่อย่างน้อยที่สุดก็คงไม่มองพลาดไปหรอก นายด้อยค่าคนเขาขนาดนี้คงจะมีสาเหตุใช่ไหม นายชอบผู้หญิงคนนั้น แต่คนเขาไม่ชอบนาย เธอชอบพี่คนหล่อคนนี้ต่างหาก!”
โต้วซานซานพูดจบ หลี่เจียหาวร้อนรนทันที “เธอ…เธอเป็นใคร ใครเชิญเธอมา”
“หึ ฉันยังไม่รู้เลยว่านายเป็นใคร นายมีสิทธิอะไรมาถามว่าใครเชิญฉันมา ถ้านายเป็นผู้จัดงาน ฉันจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้เลย!”
“เธอ…”
“ไม่ต้องมา เธอๆๆ เลย แม่นายไม่ได้สอนให้นายเคารพคนอื่นหรือไง คราวหลังหัดเรียกคนอื่นว่าคุณนะ เข้าใจไหม”
โต้วซานซานว่าจบ คนรอบๆ ไม่น้อยหัวเราะออกมา ถึงอย่างไรสถานการณ์อย่างนี้ก็เกิดขึ้นได้น้อยมาก
ถึงคนที่มาร่วมงานอาจจะไม่ถือว่าเป็นผู้ดีไปเสียหมด ก็เป็นคนที่ทำธุรกิจอาหารได้ดีทั้งสิ้น หรือก็คือจะแสร้งก็ต้องแสร้งอย่างมีคุณภาพ ดังนั้นส่วนใหญ่จึงยังสุภาพและมีมารยาท พูดคุยเสียงเบา
แต่เดิมโต้วซานซานก็ยังวัยรุ่นอยู่ ธุรกิจที่ทำมาหลายปีนี้ก็ไปได้สวย ถึงไม่สนใจอะไรพวกนี้และพูดโพล่งออกมาตรงๆ คนที่สังเกตการณ์อยู่รอบๆ จึงไม่มีใครไม่ได้ยิน
หลี่เจียหาวเริ่มโมโห เมื่อครู่ถูกซ่งจื่อเซวียนกวนโมโหกลับไม่เป็นอะไร ตอนนี้ถูกโต้วซานซานพูดสั่งสอนเหมือนแม่สั่งสอนลูกอย่างไรอย่างนั้น ขายหน้าไปถึงบ้านยายแล้ว
“หึ เธอเป็นผู้หญิง ฉันไม่ได้รู้เยอะขนาดเธอสักหน่อย” เห็นโต้วซานซานยั่วยุไม่ได้ หลี่เจียหาวจึงพุ่งเป้ากลับไปที่ซ่งจื่อเซวียนทันที “ซ่งจื่อเซวียน ดูไม่ออกเลยนะว่านายจะยังมีความสามารถอย่างการเกาะผู้หญิงกินน่ะ สูทนี่ของนายก็เป็นเธอที่ซื้อให้สินะ”
“ไม่ใช่มั้ง เขาเพิ่งจะอายุเท่าไรก็เกาะผู้หญิงกินแล้วเหรอ”
“จะไม่ใช่ได้ยังไง นายดูสิว่าหน้าตาเขาก็ออกจะน่ามอง แต่กลับเหมือนยังอ่อนต่อโลกอยู่จริงๆ”
“ปัดโธ่ คนหนุ่มคนสาวขยันหมั่นเพียรด้วยตนเองดีจะตาย ไม่จำเป็นต้องเกาะผู้หญิงกิน”
ได้ยินผู้คนซุบซิบกัน หลี่เจียหาวก็หัวเราะ “เหอะๆ ซ่งจื่อเซวียน นายนี่ใช้ได้จริงๆ เพื่อที่จะเข้าร่วมวงสังคมของเมืองตู้เหมินถึงกับพึ่งวิธีแบบนี้เลยเหรอ”
“หลี่เจียหาว จะพูดจะจาอะไรระวังไว้หน่อยจะดีที่สุดนะ มีสองสามบัญชีที่เรายังไม่ได้เคลียร์กันอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่รู้นะ!”
ถ้อยคำซ่งจื่อเซวียนชัดเจนมากว่าพูดถึงเรื่องพี่เจี๋ยกับพี่เลี่ยง
“งั้นเหรอ รู้ก็ดี แต่ว่านี่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย เหมือนที่คนอย่างนายไม่เหมาะกับที่แบบนี้เลยสักนิด นายควรจะไสหัวกลับไปที่ร้านอาหารหมาโทรมๆ นั่นซะ!”
ซ่งจื่อเซวียนมองหลี่เจียหาวอย่างเย็นชา แม้แต่คำพูดไร้สาระของหลี่เจียหาวก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย เป็นแค่เสียงหมาเห่าหอนเท่านั้น แต่ตอนนี้…ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะล้ำเส้นของเขาแล้ว
แต่ไม่รอให้ซ่งจื่อเซวียนตอบสนองอะไร ก็เห็นซางเทียนซั่วที่อยู่ข้างๆ มาตลอดพุ่งออกมาฉับพลัน คว้าคอเสื้อหลี่เจียหาวไว้ ยกมือขึ้นแล้วตบปากเขาดัง ‘เพียะ’ เสียงก้องใส
เห็นดังนี้ สุภาพสตรีจำนวนไม่น้อยก็หยุดหายใจกะทันหัน ถึงอย่างไรในงานเช่นนี้ตามปกติไม่น่าจะเกิดเรื่องรุนแรงขึ้นได้…
หลี่เจียหาวกุมขมับชะงักงันอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง รู้สึกเพียงเห็นดาววนไปวนมาอยู่ข้างหน้า ร่างกายสูญเสียการควบคุมขึ้นมา
‘เพียะ!’
หลี่เจียหาวพูดจบ ฝ่ามือก็ประทับมาอีกครั้ง
นี่เป็นนิสัยแท้จริงของซางเทียนซั่ว และเป็นเรื่องที่ซ่งจื่อเซวียนกังวลที่สุดด้วย ว่าแล้ว…ว่าจะเกิดขึ้น
“แม่มันเถอะ ข้าอดทนกับแกมานานมากแล้ว นายแขวะอาจารย์ฉันจนเสพติดแล้วใช่ไหม” ซางเทียนซั่วตะคอกเสียงดัง
ทันทีที่ตะโกนเสียงดังขนาดนี้ มีคนหลายคนถอยหลังไปหลายก้าว อย่างไรคนที่มางานเลี้ยงนี้ได้ก็ล้วนมีหน้ามีตาในวงการอาหารเมืองตู้เหมินกันทั้งนั้น จะเคยเห็นสถานการณ์ที่อันธพาลทะเลาะวิวาทได้ที่ไหน…
“แก…” หลี่เจียหาวพูดพลางชี้หน้าซางเทียนซั่ว แต่ในใจก็หวาดกลัว จึงมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “ซ่งจื่อเซวียน มีแค่นายไม่พอยังพาคนมุทะลุมาด้วยใช่ไหม คอยดูให้ดีเถอะ ยามล่ะ ยามอยู่ไหน”
ทันทีที่หลี่เจียหาวตะโกนเรียก ยามหน้าประตูก็รีบวิ่งเข้ามาทันที นอกประตูก็มีผู้ชายสวมสูทคนหนึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมกัน เป็นหวังเสี่ยน ผู้จัดการโถงใหญ่ของเดรนท์นั่นเอง และเป็นผู้รับผิดชอบวางแผนงานเลี้ยงครั้งนี้อีกด้วย
ตอนนี้หวังเสี่ยนกำลังทักทายแขกที่มาใหม่อยู่ด้านนอก จะรู้ได้อย่างไรว่าด้านในจะวุ่นวายขึ้นกะทันหัน จึงรีบวิ่งเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น” หวังเสี่ยนพุ่งเข้ามาในฝูงชน แวบแรกก็เห็นหลี่เจียหาว “คุณชายหลี่ คุณมาแล้วเหรอครับ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ”
“อะไรคือเกิดอะไรขึ้น หวังเสี่ยน เดรนท์ของพวกนายมีระเบียบการรักษาความปลอดภับแบบนี้เหรอ ข้าโดนตบในที่ของพวกนายเนี่ย!”
“หา? ใครทำครับ คุณชายหลี่อย่าเพิ่งโกรธ ผมจะไล่พวกเขาให้ออกไปเอง!” หวังเสี่ยนพูด
“ฉันทำเอง แล้วมันทำไม!”
ซางเทียนซั่วไม่ได้แสดงออกถึงความอ่อนแอเลย คนปกติในเวลาแบบนี้จะทำตัวให้ไม่เป็นจุดสนใจ เพราะยามก็มาแล้ว ผู้จัดการเองก็มาแล้ว แต่เขากลับตะโกนออกมาทันที อีกทั้งยังหนักแน่นเสียขนาดนั้น
ได้ยินดังนั้น หวังเสี่ยนก็พลันหันหน้าไป แต่ท่าทางชะงักงันไปทันที
“ใช่ เขานั่นแหละ รีบไล่ออกไปให้ฉันเลย!” หลี่เจียหาวตะคอกในทันใด กระทั่งเจือน้ำเสียงร้องไห้ด้วย นึกเสียใจที่ไม่ได้พาลูกน้องมาด้วยกัน ไม่อย่างนั้นตนก็คงไม่ถูกตบแบบนี้
“เอ่อ…ท่านชายซางเหรอครับ”
ทันทีที่พูดประโยคนี้ออกมา คนไม่น้อยก็ชะงักไปกันหมด กระทั่งซ่งจื่อเซวียนเองก็ด้วย คิดไม่ถึงว่าหวังเสี่ยนจะรู้จักซางเทียนซั่ว
แต่ตอนนี้คนที่ยิ่งสับสนก็คือหลี่เจียหาว เหมือนว่า…เรื่องราวจะไม่เป็นไปตามที่เขาคิดไว้อย่างไรอย่างนั้น
“ผู้จัดการหวัง ไม่เจอกันนานเลยนะ” ซางเทียนซั่วเชิดคางขึ้น ท่าทางอวดดีกว่าหลี่เจียหาวไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
“ฮ่าๆ นั่นสิครับ นั่นสิ ปกติท่านชายซางจะยุ่งเลยไม่มีเวลามา ดูท่านสิจะมาวันนี้ก็ไม่แจ้งให้ทราบก่อน ผมนี่ดูแลไม่ทั่วถึงจริงๆ เลยครับ” ขณะที่หวังเสี่ยนพูดก็ประจบสอพลอมากกว่าที่กระทำกับหลี่เจียหาวอย่างเห็นได้ชัด
“อืม นี่ไม่เป็นไรหรอก จริงสิ นายอยากจะไล่ฉันออกไปใช่ไหม” ซางเทียนซั่วถาม
หวังเสี่ยนราวกับถูกไฟช็อต ยืนตัวตรงทันที “อะไรกันครับ อย่าล้อเล่นกันสิ ผมน่ะเหรอจะกล้า ท่านชายซาง จะว่ายังไงดี ท่านกับคุณชายหลี่ก็เป็นท่านชายที่มีหน้ามีตาในเมืองตู้เหมินกันทั้งนั้น ไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย”
“หึ ฉันยังไม่ได้ว่าอะไร เขาเข้ามาก็…”
หลี่เจียหาวคิดจะพูด พูดยังไม่ทันจบ ซางเทียนซั่วก็พูดขึ้น “ใครแม่งจะเหมือนเขาล่ะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ตอนนี้ข้าจะไปแล้ว ก็เท่ากับว่าเดรนท์ของพวกนายไล่ฉันออกไปโอเคไหม”
“อย่าเลยครับ อย่าๆ ท่านชายซางอย่าถือสาที่ผมพูดเล่นเลย ถ้าท่านไปทางผมก็หมดหนทางอธิบายน่ะสิครับ”
ซางเทียนซั่วแค่นหัวเราะ “ไม่ไปก็ได้”
“นั่นแหละครับ ทุกเรื่องล้วนมีทางแก้ปัญหา ท่านบอกว่าท่านจะไปแล้วจะแก้ปัญหาได้ยังไงกันล่ะครับ” หวังเสี่ยนถึงเผยรอยยิ้มผ่อนคลายออกมาได้เล็กน้อย
“ไล่เขาไปสิ!” ซางเทียนซั่วชี้ไปที่หลี่เจียหาว!
“เอ่อ…”
“ผู้จัดการหวัง นายกล้าไล่ฉันออกไปเหรอ หึ นายคงรู้ว่าพ่อฉันทำอะไรใช่ไหม”
แน่นอนว่าหวังเสี่ยนรู้อยู่แล้วว่าความจริงพ่อหลี่เจียหาวเขาทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง แต่ที่สำคัญที่สุดคือเขาเป็นเพื่อนกับรองประธานกรรมการสมาคม
หวังเสี่ยนใคร่ครวญ “เอาอย่างนี้แล้วกันนะครับทั้งสองท่าน ผมขออนุญาตโทรศัพท์สักครู่”
พูดจบ เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หลี่เจียหาวหัวเราะเบาๆ ในใจ เขาย่อมหยิ่งในศักดิ์ศรี สายเลือดของพ่อตนไว้ใจได้แน่นอนอยู่แล้ว เขายังต้องเรียกรองประธานกรรมการสมาคมอาหารว่าลุง มีคนคุ้มครองนี้อยู่เขาต้องกลัวอะไรเล่า
“เหอะๆ ดูท่าแล้วไอ้เด็กนั่นต้องออกไปแล้วล่ะ อำนาจของคุณชายหลี่นี่สุดยอดจริงๆ”
“งั้นเหรอ คุณชายหลี่คนนี้เป็นมายังไง”
“แม้แต่เรื่องคุณชายหลี่นายก็ไม่รู้เหรอ เขาเรียกรองประธานกรรมการสมาคมอาหารว่าลุงอยู่ นายคิดว่าเป็นมายังไงล่ะ”
“ให้ตายสิ ต้นตระกูลดีซะจริง นี่โคตรจะสุด เดี๋ยวฉันไปแลกช่องทางติดต่อกับเขาสักหน่อยดีกว่า เผื่อวันหน้าจะมีประโยชน์”
“ใช่ ฉันเคยแอดวีแชทแล้ว วันนี้ไอ้เด็กนั่นกล้าตบคุณชายหลี่ก็เป็นการหาเรื่องใส่ตัวแล้ว”
“ฉันคิดว่าไม่ใช่แค่เขาหรอกที่ต้องไป ไม่แน่โต้วซานซานก็ต้องโดนไล่ออกไปด้วย แล้วก็ไอ้เด็กนั่นอีก เหมือนว่าคุณชายหลี่จะไม่ชอบเขานะ”
“นั่นสิ ไม่รู้นะว่ามีบุญคุณความแค้นอะไรกัน ยังไงก็เป็นเรื่องระหว่างพวกคนหนุ่มสองคนอยู่แล้ว พวกเราคอยดูละครก็พอ”
หวังเสี่ยนป้องปากคุยสองประโยคก็วางสาย หันหลังมาพูดว่า “คุณชายหลี่ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ วันนี้พวกเรา ณ ที่นี้ดูแลไม่ทั่วถึง ไม่อย่างนั้น…คราวหน้าคุณค่อยมาใหม่ดีไหมครับ”
“อะไรนะ” หลี่เจียหาวตาลอย เขารู้สึกว่าโตมาจนอายุเท่านี้ไม่เคยขายหน้าต่อหน้าคนขนาดนี้
เทียบกับตอนนี้แล้ว ถ้อยคำโต้วซานซานหลายประโยคเมื่อครู่ที่ต่อต้านเขาไม่นับว่าเป็นอะไรเลย ต่อให้โดนซางเทียนซั่วตบปากสองทีก็ไม่ได้อายคนอย่างนี้ แต่ตอนนี้โดนไล่ให้ออกไปต่อหน้าธารกำนัลที่กำลังจ้องมองอยู่….
ขณะเดียวกัน คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ชะงักไปเล็กน้อย เรื่องอำนาจของหลี่เจียหาวพวกเขาต่างรู้กันหมด แต่ต่อให้เป็นอย่างนี้ เดรนท์กลับยอมผิดใจกับเขาและไม่กล้าไล่ซางเทียนซั่วให้ออกไป ซางเทียนซั่วคนนั้นเป็นมายังไงกันแน่
เห็นหลี่เจียหาวชะงักค้างอยู่ตรงนั้น หวังเสี่ยนก็กล่าวเสริมอีกประโยค “คุณชายหลี่ เชิญครับ!”
หลี่เจียหาวมองเขาแวบหนึ่ง จ้องมองซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วอย่างดุดันทันที ชี้พวกเขาพลางพูดว่า “คอยดูเถอะพวกแก เรื่องวันนี้ฉัน หลี่เจียหาวจำไว้แล้ว บัญชีนี้…พวกเราทยอยสะสาง!”
พูดจบเขาก็จากไปด้วยความโกรธ และบรรยากาศตอนนี้ก็อึดอัดจนถึงที่สุด
ตอนนี้เอง เสียงเพลงดังไปทั่วในโถงใหญ่ ผู้จัดงานอาจจะทำไปเพื่อคลายบรรยากาศ จึงรีบเปิดเพลงผ่อนคลาย
แน่นอนว่าเมื่อดนตรีบรรเลง ทุกคนก็ค่อยๆ จับกลุ่มพูดคุยกันเป็นกลุ่มเล็กๆ บรรยากาศตอนนี้เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย…
โต้วซานซานหันหลังไปมองซางเทียนซั่ว พูดกลั้วหัวเราะ “เทียนซั่ว นายหล่อมาก แต่เมื่อกี้ฉันออกปากให้อาจารย์นายแล้วนะ นายก็อย่าโกรธฉันเลยนะ”
ซางเทียนซั่วที่เพิ่งจะยัดขนมชิ้นหนึ่งเข้าไปในปาก ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ก็แทบจะสำลักออกมา เขารีบพยักหน้า “อืมๆ ไม่โกรธแล้ว ไม่โกรธ…”
ซางเทียนซั่วเมื่อครู่ยังกระฉับกระเฉง แต่พออยู่ต่อหน้าโต้วซานซานก็อ่อนปวกเปียกอีกแล้ว…
………………………………………………..