เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 402 ข้าจะเอาแกให้จมเลย
ตอนที่ 402 ข้าจะเอาแกให้จมเลย
……….
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็รีบเทให้ฟางจิ่งจืออีกแก้ว
แน่นอนว่าทุกครั้งที่เขาเทสุราให้ตาเฒ่า ก็เทให้เกินครึ่งแก้ว
อย่างไรตาเฒ่าก็อายุมากแล้ว หากเทให้เต็มแก้วจริงๆ อย่างนั้นอาจจะเตรียมตัวเกิดเรื่องไว้เลย
“มา ปู่ ดื่มเถอะ ค่อยพูดกัน”
เห็นซ่งจื่อเซวียนทำหน้าอยากรู้ ฟางจิ่งจือก็อดยิ้มไม่ได้
“ไอ้หนู รู้ไหมทำไมหย่งชินอ๋องถึงต้องทำ ‘บันทึกหย่งซั่น’ ออกมาด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าเหมือนกับกลองป๋องแป๋ง
“เพราะเขาไม่มีความสามารถ ชินอ๋องคนอื่นๆ แต่ละคนต่างมีความสำเร็จเป็นของตัวเอง มีแค่อ้ายซินเจวี๋ยหลัว[1]ไจ้ฝู่[2]อย่างเขาที่ไม่เก่งอะไรเลย ดีแต่เรื่องกิน!
ถ้าเป็นคนธรรมดาถ้าใช้ภาษาปัจจุบันจะเรียกว่านักชิม แต่ถ้าอยู่ในราชวงศ์และขุนนาง นั่นก็คือลูกที่ใช้เงินฟุ่มเฟือย
พวกสนมก็ช่วยเขา เพื่อไม่ให้โดนจักรพรรดิด่า จึงให้เขาทำ ‘บันทึกหย่งซั่น’ ขึ้นมา
เป็นตามคาด พอเขาเสนอความคิดนี้ไป จักรพรรดิกวงซวี่[3]ก็เห็นด้วยทันที
ดูแบบผิวเผิน กวงซวี่ตรัสว่า ประชาชนถือว่าอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่พูดง่ายๆ ก็คือไว้หน้าไจ้ฝู่”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าน้อยๆ “พูดแบบนี้…ในราชวงศ์ก็มีความละเอียดลออมากนะเนี่ย ไว้หน้ากันด้วย”
“นั่นคือสิ่งที่…ในวังละเอียดลออมากกว่าด้านนอกมาก”
ฟางจิ่งจือหยิบถั่วลิสงมาเคี้ยวแล้วพูดต่อ
“ถึงแม้ต้องทำ ‘บันทึกหย่งซั่น’ ขึ้นมา แต่ในวังก็มีหนังสือสูตรอาหารอยู่แล้วนี่ ถ้าหนังสือสูตรอาหารอยู่ จะไม่เป็นการแย่งซีนกันเหรอครับ”
“เพราะงั้นไจ้ฝู่จึงกำจัดพ่อครัวในห้องเครื่องไปเสียเลย แถมยังทำลายหนังสือสูตรอาหารราชวงศ์ชิงตอนนั้นไป
ต่อจากนั้นอีก เขาก็เปลี่ยนพ่อครัวหลวงไปกลุ่มหนึ่ง แล้วหนังสือสูตรอาหาร ‘บันทึกหย่งซั่น’ ก็ออกมาทันทีตามที่เขาว่าไว้
หนังสือสูตรอาหารนี่ดูน่าฟังมาก บอกว่าได้มาจากการพูดคุยกับพสกนิกรในเมืองใหญ่ๆ หลายเมืองแล้วรวบรวมขึ้นมา
ที่จริงก็มีอยู่หลายสูตรที่ไม่ได้อาศัยสูตรจากพ่อครัว แต่ในบรรดานั้นกลับแอบบันทึกเมนูจากหนังสือสูตรอาหารราชวงศ์ชิงเข้าไปหลายเมนู”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็พูดทันที “หรือก็คือพวกข้าวผัดหยกทองกับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายนั่นน่ะเหรอ!”
“ถูกต้อง ได้ยินว่าบันทึกลงไปทั้งหมดห้าเมนูหลักๆ เพียงแต่ฉันตระหนักออกมาได้สี่เมนูจากทั้งหมด ส่วนเมนูที่ห้า…ตั้งแต่เกิดมาฉันก็ไม่เคยกินมาก่อนเลย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ปู่ เมนูที่ห้านี่…อยู่ในหนังสือสูตรอาหารราชวงศ์ชิงไหม”
“ใช่ เพียงแต่ว่า…ฉันตระหนักไม่ได้ หลาน วันหลังถ้าแกศึกษาเมนูสุดท้ายนี้ได้ ก็น่าจะเข้าใจว่าอะไรเป็นความหมายที่แท้จริงของการทำอาหารแล้วล่ะ”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็เกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมาทันที
ความรู้สึกนับถือนี้คือนับถือฟางจิ่งจือ ขณะเดียวกันก็นับถือหนังสือสูตรอาหารราชวงศ์ชิงและการทำอาหารจีนด้วย
“เพียงแต่ในช่วงหลายสิบปีที่ฉันศึกษาสูตรอาหาร พบว่าสี่สูตรก่อนหน้าไม่ได้ง่ายเหมือนที่ฉันคิดเอาไว้
ทำทุกเมนูออกมาได้ ไม่ได้หมายความว่าจะตระหนักได้จริงๆ ที่ไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับแกมาก่อน ก็เพราะว่าแม้แต่ทำแกก็ยังไม่เคยได้ทำ พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่สมควรแก่เวลาเลย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ปู่ ผมเข้าใจ”
“อืม งั้นก็ดี”
“ปู่บอกว่าไม่ใช่ง่ายๆ แค่ทำออกมา นี่หมายความว่ายังไง”
ฟางจิ่งจือเงียบไปครู่หนึ่ง พูดว่า “แรกเริ่มตอนที่แกอ่านสูตรอาหาร รู้สึกยังไงล่ะ”
“อืม…ไม่ค่อยเข้าใจอยู่แล้วล่ะ ถึงจะเข้าใจอยู่บ้าง ก็จะรู้สึกว่าเป็นเกล็ดเล็กๆ มาก ยากที่จะประกอบกันขึ้นมา จึงไม่มีทางเข้าใจความหมายที่แท้จริงในนั้นได้เลย”
ฟางจิ่งจือยิ้ม “ถูกต้อง ตอนนี้สูตรอาหารนี่สำหรับฉันก็เป็นแบบนั้น
วิธีทำทุกเมนู เป็นแค่เกล็ดเล็กๆ เท่านั้น แต่ฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าในสูตรอาหารนี้ยังมีอะไรที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าอยู่”
ซ่งจื่อเซวียนอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ลึกซึ้งยิ่งกว่าเหรอ ผม…ไม่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะ”
ฟางจิ่งจือยิ้ม “เด็กโง่ แกยังเร็วไป
ที่จริงก็เหมือนกับที่แกทำโต้วหลงเหมินได้ แต่กลับตระหนักมังกรทะยานสี่ย่านน้ำไม่ได้ ทว่าขณะที่ศึกษาโต้วหลงเหมิน แกก็พัฒนาการควบคุมไฟได้
สรุปว่า…เกล็ดเล็กๆ พวกนี้ถ้าสามารถรวมเข้าด้วยกันได้ ก็น่าจะเป็นหนังสือสูตรอาหารราชวงศ์ชิงที่แท้จริง”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“ปู่ ปู่ว่า…วิจัย ‘บันทึกหย่งซั่น’ แล้ว จะมีส่วนช่วยในการตระหนักหนังสือสูตรอาหารราชวงศ์ชิงไหม”
ฟางจิ่งจือมองไปด้านหน้า ไม่ได้พูดอะไร
ไม่นานนัก เขาก็ยกแก้วสุราขึ้นดื่ม พูดว่า “อาจจะมีส่วน ถ้า ‘บันทึกหย่งซั่น’ นี่เป็นของจริง…ก็อาจจะมีหลายสิ่งที่ไม่ได้เห็นจากฉบับเขียนด้วยฝีพระหัตถ์”
ที่จริงตอนอยู่ที่วิทยาลัย ครั้งหนึ่งซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าก็แค่ ‘บันทึกหย่งซั่น’ ไม่ต้องดูก็ได้
แต่ตอนนี้ เขามั่นใจกับความคิดตอนแรกแล้ว ท่าทางครั้งนี้ต้องเข้าร่วมการวิจัยให้ได้
ไม่ใช่แค่นั้น ถ้าตระหนักไม่ได้จริงๆ เขากระทั่งคิดว่าจะแอบถ่ายรูปมาให้ตาเฒ่าดูด้วย
วันนี้คำพูดของตาเฒ่า นับว่าให้หัวข้อใหญ่กับซ่งจื่อเซวียน
อาหารเมนูสุดท้าย หรือก็คือสูตรอาหารที่สำคัญที่สุด
จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่าคำพูดของตาเฒ่ามีเหตุผลมาก
ข้อมูลทั้งหมดเหมือนกับเกล็ดเล็กๆ ถ้าประกอบขึ้นมา อาจจะเป็นก้อนผลึกของอาหารมากมาย
แก่นแท้ของการทำอาหารจีน
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าน้อยๆ ที่แท้ สูตรอาหารหลายสูตรไม่นับเป็นอะไรเลย แต่ถ้าเข้าใจแก่นแท้…
เขาตัดสินใจว่าจะศึกษา ‘บันทึกหย่งซั่น’ แล้ว!
กินดื่มจนอิ่มหนำ ซ่งจื่อเซวียนก็ให้เหมยจื่อมาเก็บกวาด
แต่ตอนนี้เองในลานก็นับว่าครึกครื้น ยิ่งมีถังหย่าฉีและหลิงเข่อเอ๋อร์สองคนนี้ด้วยแล้ว
พวกเธอส่งเสียงหัวเราะร่าเริงเป็นระลอก
เห็นซ่งจื่อเซวียนออกมา พวกเธอถึงเข้าไปคุยกับตาเฒ่าฟางครู่ใหญ่
ฟางจิ่งจือก็ดีใจ ถึงอย่างไรยิ่งแก่ก็ยิ่งชอบความคึกคัก
…
วันถัดมา หลังจากซ่งจื่อเซวียนไปส่งถังหย่าฉีเสร็จก็มาถึงร้านสวนสวินเฟิงตามปกติ
แต่ยังไม่ทันเปิดร้าน ก็มีรถจี๊ปสีเขียวคันหนึ่งจอดอยู่หน้าสวนสวินเฟิง
เห็นพวกซ่งจื่อเซวียนเดินมาเปิดประตู ประตูรถคันนั้นก็เปิดออก
คนที่ลงมาคนหนึ่งเป็นผู้ชายอายุราวๆ สามสิบปีคนหนึ่ง
ชายคนนี้สูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร หุ่นกลางๆ สวมชุดลำลองตัวโคร่ง
มองเกรดของเสื้อออกว่าไม่ด้อยเลย
หน้าตานับว่าโหลมาก แต่หนวดสั้นๆ ที่ไม่หนาตรงคางกลับดึงดูดความสนใจมาก
ดูเสเพลไม่น้อย
“คุณรอสักครู่นะครับ เรายังไม่ได้เปิดร้าน”
ฟางรุ่ยเห็นคนคนนั้นเดินเข้ามาจึงหันหลังไปพูด
ชายคนนั้นยักไหล่ “ช่างสิ ผมไม่ได้มากินข้าวสักหน่อยนี่”
“หืม มาหาคนเหรอครับ” ฟางรุ่ยพูด
“ใช่แล้ว ผมมาหาเชฟซางเทียนซั่วน่ะ”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็สบตากับฟางรุ่ยแวบหนึ่ง อดยิ้มออกมาไม่ได้
เป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกซางเทียนซั่วแบบนี้ ไม่ค่อยชินเลยจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนพูด “มาหาเทียนซั่วเหรอ งั้นเข้ามาสิ หาที่นั่งตามสบายนะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ถึงชายคนนั้นจะดูค่อนข้างเสเพล แต่มีมารยาทและสุภาพมาก
“แต่ว่าคุณอาจจะต้องรอนานหน่อยนะ เขาจะมาที่ร้านประมาณเก้าโมงสิบโมงน่ะ”
ได้ยินดังนั้น ชายคนนั้นก็ดูนาฬิกา “ครับ อีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมจะรอเขา”
เห็นชายคนนั้นตั้งมั่นขนาดนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้สนใจอีก ขึ้นไปที่ห้องทำงานชั้นสอง
ส่วนฟางรุ่ยและเหลียงฮั่นก็เริ่มแสดงบทบาทการเป็นพนักงาน ทำงานพวกจัดการโต๊ะและเก้าอี้ในโถง เปลี่ยนผ้าเช็ดปาก
จากนั้นพนักงานก็เริ่มทยอยมาที่ร้าน งานช่วงสายก็เริ่มขึ้น
ชายคนนั้นไม่ได้แสดงท่าทีเกินความจำเป็น แค่นั่งรออยู่ตรงที่เดิม กระทั่งไม่สูบบุหรี่ด้วยซ้ำ
ท่าทางนับว่ามีมารยาทและสุภาพมาก
ไม่นานนัก ซางเทียนซั่วก็เดินหาวหวอดเข้ามาในสวนสวินเฟิง
ยังไม่ทันเดินเข้าไปในครัวด้านหลัง ฟางรุ่ยก็บอกเขาว่ามีคนมาหา
เห็นคนคนนั้นที่นั่งอยู่ด้านนอก ซางเทียนซั่วกลับไม่รู้จัก แต่ในเมื่อมาหาตัวเอง จึงเดินเข้าไปหา
“นายมาหาฉันเหรอ”
ชายคนนั้นได้ยินก็ยืนขึ้น ยิ้มน้อยๆ “คุณคือ…เชฟซางเทียนซั่วใช่ไหมครับ”
ซางเทียนซั่วชะงัก เหมือนว่าจะยังไม่ค่อยชินกับกับคำเรียกแบบนี้
“เอ่อ…เข้าใจแบบนั้นก็ได้มั้ง”
“เหอะๆ ครั้งนี้ที่ผมมาหาคุณมีเรื่องอยากละลาบละล้วงสักหน่อย แต่ผมคิดว่าเราต้องเจอกันสักครั้ง”
ซางเทียนซั่วค่อนข้างสับสน เดิมก็ยังไม่ตื่นดี ตอนนี้ยิ่งมึนงงเข้าไปใหญ่
“นาย…เป็นใครเหรอ”
“ผมชื่อเจ้าอีโจว แต่ก่อนเป็นเชฟของภัตตาคารจงไห่จินหัง ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยอาหารปักกิ่งครับ”
ซางเทียนซั่วมองเจ้าอีโจวเบื้องหน้าอย่างงุนงง…
“ไม่ใช่สิ ฉันว่านะ…พี่ชาย ฉันอยากบอกนายว่า ฉันไม่รู้จักนาย นายเข้าใจไหม มาแนะนำตัวกับฉันมีประโยชน์อะไรเล่า”
เจ้าอีโจวกลับยิ้ม “เหอะๆ คุณอาจจะไม่รู้จักผม แต่ผมกลับอยากเจอคุณมานานแล้ว”
“หืม” ซางเทียนซั่วอึ้งเล็กน้อย นี่…ชื่นชมเลยมาหาเหรอ แฟนคลับฉันเหรอ
เชี่ย วิทยาลัยอาหารปักกิ่งก็มีแฟนคลับฉันด้วยเหรอ
“นายมาทำอะไรล่ะ แค่มาเจอฉันเหรอ” ซางเทียนซั่วถาม
“ไม่ครับไม่ ที่ผมมาคือผมมีเรื่องอยากจะบอกคุณครับ เอ่อ…คุณน่าจะรู้จักโต้วซานซานล่ะมั้ง”
แน่นอนอยู่แล้ว…หลายวันก่อนซางเทียนซั่วยังกินข้าวกับโต้วซานซานอยู่เลย โดนเด็กสาวคนนั้นมอมไปมาก
ถึงเด็กสาวคนนั้นจะสวมเสื้อผ้าสไตล์โลลิคอนที่ดูโอเวอร์ทุกวัน แต่พอเหล้าเข้าปาก ก็กลับกลายเป็นชายฉกรรจ์ตัวจริง
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซางเทียนซั่วเสียเปรียบ ทุกครั้งที่ตื่นแต่เช้ามา ก็สงสัยว่าผู้หญิงคนนั้นทำอะไรกับตนไปบ้าง…
“รู้จักสิ ทำไมล่ะ”
“ผมเป็นแฟนของโต้วซานซานครับ”
“อ้อ…หา?”
ซางเทียนซั่วเบิกตามองเจ้าอีโจวที่อยู่ตรงหน้า
“นายบอกว่านาย…”
ขณะที่พูด ซางเทียนซั่วก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที เหมือนความง่วงหายไปจนหมดสิ้นในพริบตา
ทันใดนั้น เขาก็กระชากคอเสื้อของเจ้าอีโจว
“แม่แกเหอะ แกบอกมาอีกรอบซิ ว่าแกเป็นแฟนของใครนะ”
ต้องพูดเลยว่า ที่จริงซางเทียนซั่วไม่ได้อยากคบกับโต้วซานซาน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ชอบหลิงเข่อเอ๋อร์มาโดยตลอด
แต่นับตั้งแต่คบกับหลิงเข่อเอ๋อร์ไม่ได้จริงๆ เขาก็ติดต่อกับโต้วซานซานมากขึ้นบ้าง
ไปมาหาสู่กันนานวันเข้า ถึงจะไม่ได้ชอบขนาดนั้น แต่ก็ชินกับที่เด็กสาวคนนั้นแกล้งทำมารยาใส่ตนแล้ว
พอได้ยินเจ้าโจวอีพูดแบบนี้ ก็รับไม่ได้ทันที
กระทั่งมีความรู้สึกเหมือน…โดนสวมเขา
แม่งเอ๊ย ต่อหน้าติดต่อกับฉัน ลับหลังสวมเขาฉันเหรอ
เจ้าอีโจวที่ถูกเขากระชากคอเสื้อกลับไม่ได้ลนลานอะไร จับแขนของซางเทียนซั่วไว้พร้อมกับกวาดเท้า ซางเทียนซั่วก็ล้มลงกับพื้น
เสียงตึงดังขึ้น ล้มลงไปอย่างแรง
ได้ยินเสียง เหลียงฮั่นกับฟางรุ่ยก็พุ่งมา จ้องเจ้าอีโจวตาเขม็ง
ถึงจะบอกว่าปกติซางเทียนซั่วเป็นคนปากเสีย แต่ตอนนี้ พวกเขาก็ยังอยู่ฝั่งเดียวกัน ร่วมมือกันสู้ศึกภายนอก
“ไอ้หนู แกแม่งกล้าทำร้ายข้าเหรอวะ ไอ้สารเลว สวมเขาแล้วยังจะทำร้ายข้าอีก ข้าจะเอาแกให้จมเลย!”
………………………………….
[1] อ้ายซินเจวี๋ยหลัว คือ ราชสกุลในราชวงศ์ชิงซึ่งมีเชื้อสายแมนจู
[2] ไจ้ฝู่ เป็นบุตรชายคนที่สองของอี้กวงชินอ๋องแห่งราชวงศ์ชิง ในช่วงราชวงศ์ชิงตอนปลาย
[3] จักรพรรดิกวงซวี่ พระนามเดิม อ้ายซินเจวี๋ยหลัว ไจ้เถียน เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 11 แห่งราชวงศ์ชิงและเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 10 ที่ปกครองจีนอย่างถูกต้อง ครองราชย์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1875-1905
……….