เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 400 ฉันกลับมาแล้ว
ตอนที่ 400 ฉันกลับมาแล้ว
…………….
ซ่งจื่อเซวียนถามแบบนี้ ท่านเป้ยเล่อจึงสังเกตเห็น
มุมปากของหวังเหลียงจงมีรอยช้ำ หางคิ้วมีแผลแตก แม้ว่าเลือดไม่ไหลอาบแล้ว แต่ยังเห็นได้ชัด
“นั่นสิ ไอ้หนู นายไปทะเลาะกับใครมา ผู้ติดตามของนายล่ะ”
หวังเหลียงจงโบกมือ “เฮ้อ เลิกพูดถึงเถอะ เลี่ยงจื่อโดนอัดเละเหมือนกัน ให้ตายสิ ความรู้สึกโดนรังแกนี่มันไม่สนุกเอาซะเลย
เอาล่ะ เลิกพูดถึงเรื่องฉันสักทีเถอะ ทำไมพวกนายยังไม่ไปกันอีก”
ท่านเป้ยเล่อและซ่งจื่อเซวียนมองหน้ากัน แล้วหัวเราะออกมา
“พวกเรา…จะไปหรือไม่ไปก็ได้ ที่สำคัญคือต้องดูว่าอยากนอนที่วิทยาลัยอีกสักสองวันหรือเปล่า”
หวังเหลียงจงได้ยินดังนั้นก็ผงะไป เกาศีรษะแกรกๆ
“หา? นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม “ทำไมนายถึงไปรอพวกเราที่ทางเข้าวิทยาลัยล่ะ อยากไปส่งพวกเราเหรอ”
“แหงสิ เป็นเพื่อนกันทั้งที พวกนายถูกไล่ออก ฉันเลยคิดจะไปส่งพวกนาย ถ้าเกิดในอนาคตไม่ได้เจอกันอีกคงน่าเสียดายแย่”
“เจ้าบื้อ เพิ่มวีแชตไปแล้วทำไมจะไม่ได้เจอกันอีกล่ะ” ท่านเป้ยเล่อพูดด้วยรอยยิ้ม
“เอ๋? นั่นสิเนอะ ช่วงนี้ฉันคงมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย…”
หวังเหลียงจงถอนหายใจ
“โอเค พวกคุณคุยกันไปเถอะ ท่านเป้ยเล่อ พวกคุณจะไปเมื่อไรค่อยบอกผมก็ได้”
ท่านเป้ยเล่อทำมือเป็นสัญลักษณ์โอเคให้วังเหว่ย แล้ววังเหว่ยก็ออกไป
“หวังเหลียงจง นายมาส่งเรา…แล้วทำไมถึงโดนซ้อมล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนถาม
“แม่ง เมื่อกี้ตอนนั่งเรียนคาบทฤษฎี มีคนมาด่าโหยวไท่ชุดหนึ่ง ฉันก็ดีใจนิดหน่อย…
พอจบคาบฉันก็ไปรอพวกนายที่หน้าวิทยาลัยใช่ไหมล่ะ พอดีไอ้หมอนี่เดินผ่านมา แล้วก็เดินเข้ามาหาเรื่องพวกฉันเฉยเลย”
ได้ยินเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็สูดหายใจเข้า แล้วมองหน้าท่านเป้ยเล่อ
อีกฝ่ายมีสีหน้าไม่พอใจ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน หวังเหลียงจงยังถือเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
“หึๆ คิดไม่ถึงว่าในคลาสฝึกอบรมของเราจะมีหัวโจกแบบนี้ด้วย จริงสิจื่อเซวียน คงจะไม่ใช่คนเมื่อวานหรอกนะ”
“ไม่รู้สิ แต่หมอนั่นทักษะดีนะ อาจจะเป็นไปได้ ไม่งั้น…พวกเราลองดูๆ ไปก่อนดีไหม”
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม “ได้ ในเมื่อหมอนี่จะจริงใจ อุตส่าห์คิดจะไปส่งพวกเรา งั้นเราลองซื่อสัตย์บ้างดีไหม”
“ทำอะไร? ให้ตายสิ พวกนายจะเอาคืนเหรอ พอเถอะ พี่ชาย…”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงักไป “เอ่อ นี่ไม่เหมือนนิสัยนายเลยนะ”
“เฮ้อ ไม่กี่วันนี้ที่ปักกิ่งพวกพี่ชายก็ทำเอาอึ้งเลย ใครที่สู้ได้ก็สู้ เบ่งได้ก็เบ่ง ให้ตาย เราอย่าหาเรื่องอีกเลยนะ”
ท่านเป้ยเล่อกลับหัวเราะออกมา “ได้ มีสำนึกนะเนี่ย”
ถึงแม้ว่าหวังเหลียงจงจะไม่กล้าหาเรื่อง แต่ท่านเป้ยเล่อและซ่งจื่อเซวียนก็ยังไปที่ห้องบรรยายในช่วงบ่ายอยู่ดี
แม้จะถูกรับเข้าทำงานเป็นกรณีพิเศษแล้ว แต่พวกเขายังมีอิสระในการเข้าเรียนหรือกลับบ้าน
ช่วงบ่าย ในห้องบรรยาย นักเรียนทุกคนต่างนั่งประจำที่เรียบร้อย อาจเป็นเพราะความเข้มงวดของโหยวไท่ ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าสาย
เมื่อหวังเหลียงจงเดินเข้ามาพร้อมกับพวกท่านเป้ยเล่อ สายตาพลันจ้องไปยังคนที่ต่อยเขาเมื่อตอนกลางวันทันที
พวกเขาสามคนหาที่นั่งแถวหลังและนั่งด้วยกัน หวังเหลียงจงชี้ไปที่คนคนนั้นแล้วกล่าว “คนนั้นล่ะ!”
ท่านเป้ยเล่อและซ่งจื่อเซวียนค่อนข้างประหลาดใจ ที่อีกฝ่ายไม่ใช่หยางจวิ้นเย่ที่บังเอิญเจอที่เขตป่าเมื่อคืน
แต่เป็นผู้ชายอายุราวๆ สามสิบปี
ชายคนนั้นรูปร่างสูงปานกลาง ตัดผมสั้น ดูเรียบร้อย มองแวบแรกไม่เหมือนพวกนักเลงแม้แต่น้อย
“เขาชื่อหลี่เซียง เมื่อเช้าตอนโหยวไท่ขานชื่อ ไอ้หมอนี่หลับไป แต่ดูจองหองพอตัว”
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้ม “เราไม่ควรตัดสินใครจากภายนอก ใจกล้าหัวร้อนน่าดู”
“แต่ว่าตอนที่โหยวไท่ตำหนิเขาเมื่อเช้า ฉันได้ยินเขาบอกว่า อย่าคิดว่าพี่ชายเป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ แล้วจะทำอะไรๆ ก็ได้…”
“อ้อ? หึๆ มีเส้นสายครอบครัวนี่เอง” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ
ท่านเป้ยเล่อพูด “โอเค รู้ตัวคนทำแล้ว จื่อเซวียน ถ้านายไม่อยากเจอไอ้ดำนั่น เราออกไปกันเถอะ”
“ไอ้ดำ? คุณหมายถึงโหยวไท่เหรอ”
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้า
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “โอเค ผมก็ไม่อยากเรียนเหมือนกัน เราออกไปรอข้างนอกเถอะ”
หลังจากนั้นทั้งสองก็จากไป
หวังเหลียงจงที่อยู่ในห้องเรียนไม่ได้กลัวแต่อย่างใด เพราะมีโหยวไท่อยู่ หลี่เซียงย่อมไม่กล้าทำอะไร
ที่สนามกีฬา ซ่งจื่อเซวียนและท่านเป้ยเล่อสูบบุหรี่พลางพูดคุยกันอีกสักพักก็ถึงเวลาเลิกเรียน
ไม่นานนัก เหล่านักเรียนก็เริ่มเดินออกมา
หลังจากเห็นหวังเหลียงจงแล้ว ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้รีบร้อนทักทายเขา อย่างไรเสียถ้าคิดจะสั่งสอนหลี่เซียงในวันนี้ เขาไม่ควรไปยุ่งกับหวังเหลียงจง
ไม่อย่างนั้น ถ้าพวกเขากลับไปแล้ว หวังเหลียงจงจะต้องเดือดร้อนแน่
จนกระทั่งพวกเขาเห็นหลี่เซียงเดินออกมา ท่านเป้ยเล่อยิ้มและพูดว่า “จื่อเซวียน อย่าเพิ่งจัดการเขาตรงนี้เลย อยู่ห่างๆ ไปก่อน”
“อืม ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน รุ่ยจื่อ อีกเดี๋ยวช่วยออมมือหน่อย ไม่ต้องถึงขั้นสาหัส”
“ไม่ต้องห่วงครับนายท่านรอง ผมออมมืออยู่แล้ว”
ท่านเป้ยเล่อกล่าว “ต้องทิ้งแผลภายนอกไว้ อย่าให้ช้ำใน แบบนี้ถึงจะช่วยระบายความโกรธของไอ้หนูหวังเหลียงจงได้”
“หึๆ คุณมันแค้นฝังหุ่นจริงๆ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
พวกเขาเดินตามไปตลอดทาง จนกระทั่งใกล้ถึงหอพัก พวกเขากลับพบว่าหลี่เซียงไม่ได้เดินเข้าไป แต่กลับเดินไปข้างหน้าต่อ
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ราวกับกำลังโทรหาใครบางคนอยู่
ไม่นานนัก หลี่เซียงก็หยุดอยู่ที่หน้าอาคารสี่ชั้นหลังหนึ่ง
ประมาณสามถึงสี่นาทีให้หลัง มีชายอีกคนหนึ่งเดินลงมาจากอาคาร ทั้งสองพูดคุยกัน
ชายคนนั้นอายุประมาณสามสิบปี สูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ทำทรงผมสลิคแบค
เขาหน้าตาหล่อเหลา แต่เมื่อเทียบกับหลี่เซียงแล้วดูโหดกว่าเล็กน้อย
หลังจากทั้งสองพูดคุยกันไม่นาน ชายคนนั้นก็จากไป ส่วนหลี่เซียงโทรศัพท์อีกครั้งและเดินกลับมา
พวกเขายังเดินตามต่อไป คราวนี้หลี่เซียงเดินออกไปนอกวิทยาลัย
พอเห็นฉากนี้ ท่านเป้ยเล่อก็หัวเราะออกมา “โอเค ถือว่ารู้ตัว จื่อเซวียน ดูเหมือนว่าเราสองคนคงไม่ต้องแสดงตัวแล้วล่ะ”
“ผมไม่คิดจะทำอยู่แล้ว”
พอเดินออกมาจากวิทยาลัยแล้ว หลี่เซียงก็ดูไม่คุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้ เขาเดินไปด้วยพร้อมกับดูโทรศัพท์มือถือของตนไปด้วย เห็นได้ชัดว่ากำลังดูแผนที่อยู่
ประมาณเจ็ดถึงแปดนาทีต่อมา เขาก็เลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ แห่งหนึ่ง และหยุดฝีเท้าที่หน้าร้าน ‘ซินซินนวดฝ่าเท้า’
“ให้ตายสิ เขารู้จักผ่อนคลายด้วยแฮะ เลิกเรียนแล้วออกมาหาอะไรสนุกๆ ทำด้วย” ท่านเป้ยเล่อกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “ร้านนวดเท้าแบบนี้ส่วนมากไม่ค่อยถูกกฎหมายเท่าไร ไอ้หมอนี่คึกดีแฮะ”
“รุ่ยจื่อ นายไปสิ อย่าลืมถ่ายรูประหว่างอยู่ที่นั่นด้วยนะ”
“หา? รูปภาพเหรอครับ” ดูเหมือนฟางรุ่ยจะไม่เข้าใจนัก
ท่านเป้ยเล่อหัวเราะออกมา “เจ้าเด็กโง่ รอให้ไอ้หมอนั่นมันกำลังเสร็จกิจแล้วค่อยถ่ายรูปมา ยิ่งอล่างฉ่างยิ่งดี”
“อ้อๆ ฮ่าๆ ได้ครับ ผมจัดการเอง!”
“นายยังมีหน้ามาหาว่าฉันนิสัยเสียนะ ให้ตาย ฉันว่านายก็พอๆ กันนั่นล่ะ!”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะโดยไม่พูดอะไร
เขาไม่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่น ถ้าไม่มาหาเรื่องก่อนเขาก็ไม่ทำอะไรใคร แต่ครั้งนี้ไอ้หมอนั่นมารังแกหวังเหลียงจง มันต้องชดใช้
นี่คือกฎ!
“ท่านเป้ยเล่อ แล้วให้ผมทำอะไรล่ะครับ”
ต้าเหมาถาม สองวันมานี้ ต้าเหมาไม่ได้ยุ่งกับงานต่อยตีเลย จนเขาเริ่มวิตก…
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม “คอยดูเรื่องสนุกๆ ก็พอ นายท่านรองอยู่ด้วยทั้งคน ไม่ต้องถึงมือพวกเราหรอก”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็เข้าใจได้ทันที และยอมให้ท่านเป้ยเล่อใช้เขาเป็นเครื่องมือ…
“พอๆ บอกไว้ก่อนนะท่านเป้ยเล่อ คราวหลังถ้ามีเรื่องอะไรคุณต้องจัดการนะ!”
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม “โอเคๆ คราวหลังฉันลุยเอง”
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากร้านนวดฝ่าเท้า…
“อ๊าก…ไอ้เชี่ยแกเป็นใครวะ…อ๊าก…”
ซ่งจื่อเซวียนและท่านเป้ยเล่อปิดปากหัวเราะแทบจะพร้อมกัน
“แม่งเอ๊ย หน้าตาดูสุขุม กรี๊ดเสียงดังดีนี่หว่า!”
ท่านเป้ยเล่อหัวเราะออกเสียงอย่างอดไม่ได้
สักพักก็มีเสียงกรีดร้อง เสียงกระจกแตก และเสียงของบางอย่างร่วงลงกับพื้น…
นี่แหละที่เรียกว่าสนุก
ในห้องนวด หลี่เซียงนอนอยู่บนพื้น เลือดที่กบปากผสมกับเลือดกำเดาเป็นเนื้อเดียวกัน
ตาซ้ายของเขาถูกฟางรุ่ยต่อยจนบวมช้ำ มุมปากมีแผลแตก ที่สำคัญที่สุดคือ…เขายังไม่ได้ใส่กางเกงด้วยซ้ำ
เมื่อครู่เขายังคุยโวถึงความเจ๋งของตัวเองกับหมอนวดสาวอยู่นานสองนาน ตอนนี้กลับมานอนหมดสภาพต่อหน้าสาวเจ้าด้วยสีหน้าอับอาย
เห็นเพียงหมอนวดสาวยกมือสองข้างปิดปากด้วยความตกตะลึง
ความเจ็บปวดบวกกับความขายหน้านั้นรุนแรงจนเขาอยากจะหารอยแยกบนพื้นแล้วมุดหนีไปเสีย
พอจัดการหลี่เซียงเรียบร้อย พวกเขาก็จากไปทันที
หลังจากเก็บข้าวของแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็ให้ฟางรุ่ยขับรถส่งเขากลับไปที่ตู้เหมินเป็นอันดับแรก
เพราะถึงแม้จะจากมาได้แค่สองวัน แต่ก็ยังเป็นห่วงงานที่บ้าน
คืนนั้นหลี่เซียงกลับไปที่วิทยาลัย และมุ่งหน้าไปยังอาคารสี่ชั้นที่เขาเพิ่งไปก่อนหน้านี้
อาคารนี้เป็นหอพักอาจารย์วิทยาลัย
เนื่องจากวิทยาลัยมีอาจารย์ไม่เพียงพอ ห้องพักส่วนใหญ่จึงว่าง
หลังจากโทรศัพท์ได้ไม่นาน ชายที่ปรากฏตัวก่อนหน้านี้ก็เดินออกมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของหลี่เซียง ชายคนนั้นก็ตกใจ ขมวดคิ้วแน่นทันที
“เกิดอะไรขึ้น นายไปทะเลาะกับใครมา”
“พี่ ผม…ผมโดนคนต่อยมา”
ชายหนุ่มพูด “มีเรื่องอะไร คนในวิทยาลัยเหรอ”
หลี่เซียงพยักหน้าอย่างแรง “ใช่ ถึงคนที่ต่อยผมจะไม่ใช่คนในวิทยาลัย แต่ผมจำเจ้านายของมันได้ ก่อนหน้านี้ที่มีเรื่องกันที่สนามกีฬาก็เป็นพวกมันนี่แหละ”
จากนั้น หลี่เซียงก็เล่าเรื่องที่ฟางรุ่ยกับโหยวไท่ปะทะกันเมื่อเช้า และเล่าถึงเรื่องในร้านนวดฝ่าเท้าเมื่อครู่ด้วย
ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย “แม่งเอ๊ย วอนหาที่ตายซะแล้ว ถ้าพวกมันไม่โดนไล่ออกไปก่อน ฉันจะไปสั่งสอนพวกมันเดี๋ยวนี้ล่ะ
ว่าแต่แกก็ด้วย หายหัวไปตั้งนาน ขนาดมาอยู่ปักกิ่งแล้วยังแก้นิสัยเดิมๆ ไม่ได้อีกเหรอ ฉันว่าแกต้องจัดการกับไอ้ข้างล่างของแกได้แล้วนะ!”
“พี่ คือผม…”
“พอ หยุดพูดเลย แกทำให้อาจารย์ขายขี้หน้า คราวนี้แกโดนต่อยฟรีแล้ว ไอ้พวกนั้นมันโดนไล่ออกไปแล้ว แกจะทำอะไรได้”
หลี่เซียงโกรธมาก คราวนี้เขาโดนต่อยอย่างไม่ยุติธรรมเลย
แม่ง สองคนนั้นโดนไล่ออกแล้ว ก่อนไปยังแวะมาต่อยเขาอีก
แต่สิ่งที่เขางุนงงที่สุดคือทำไมต้องถ่ายรูปเขาไปด้วย
ต่อยก็ต่อยไปแล้ว จะถ่ายรูปเขาไปทำอะไรอีก
แต่เรื่องนี้เขาไม่กล้าบอกชายคนนั้น เพราะว่า…มันน่าอายเกินไป
…
เมืองตู้เหมิน
ร้านสวนสวินเฟิง
ตอนนี้ที่สวนสวินเฟิงเป็นช่วงที่ยุ่งที่สุดของอาหารค่ำ
ซางเทียนซั่วกำลังง่วนกับการทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย ส่วนเจิ้งฮุยและคนอื่นๆ เองก็ยุ่งกับการทำอาหาร
ถังหย่าฉียิ่งไม่ต้องพูดถึง ซ่งจื่อเซวียนไม่อยู่ เท่ากับมีแค่เธอคนเดียวที่คอยดูแลร้าน
แม้แต่ไต้ทง เหลียงฮั่นก็ยังต้องช่วยทำหน้าที่เป็นบริกรด้วย
บวกกับเรื่องที่ซ่งจื่อเซวียนไม่อยู่ ทำให้ถังหย่าฉีอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
“เถ้าแก่เนี้ย ยังมีห้องส่วนตัวอยู่ไหมครับ”
ได้ยินดังนั้น ถังหย่าฉีก็ก้มหน้าก้มตาขมวดคิ้ว “ขอโทษด้วยค่ะ ห้องส่วนตัวของเราเต็ม…”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เสียงนี้…
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นใบหน้าของซ่งจื่อเซวียน ถังหย่าฉีก็น้ำตาไหลทันที
เธอเดินอ้อมเคาน์เตอร์แคชเชียร์ไปกอดซ่งจื่อเซวียนไว้
ซ่งจื่อเซวียนเห็นภาพของเธอก็รู้สึกปวดใจ เขาลูบหลังถังหย่าฉีเบาๆ “เด็กดี ฉันกลับมาแล้วนะ…”
…………………………………………..
…………….