เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 4 เด็กขอทาน
ตอนที่ 4 เด็กขอทาน
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา แม้แต่ตัวหยางต้าฉุยเองยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาเสียเต็มประดา ถึงอย่างไรกลิ่นนี้ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเขา อีกทั้งยังเป็นตอนที่เรียนทำอาหารสมัยหนุ่มๆ หากวันนี้ตนไม่ได้กลิ่นนี้เข้า เกรงว่าจะลืมไปจริงๆ…
ขณะกำลังรู้สึกทึ่งอยู่นั้น หยางต้าฉุยก็เริ่มพิจารณากลิ่นหอมนี้อีกครั้ง แล้วค่อยพยักหน้าอย่างจริงจัง “เป็นข้าวผัดจักรพรรดิจริงๆ หลังจากอาจารย์เสียไป เหมือนจะไม่เคยได้กลิ่นหอมแบบนี้อีกเลย…แต่เจ้ารอง…”
หยางต้าฉุยกำลังพูดกับตัวเอง ซ่งจื่อเซวียนก็ยกข้าวผัดจานหนึ่งจากหลังครัวออกมาแล้ว
“เถ้าแก่ ผมผัดเสร็จแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างเขินอายอยู่บ้าง ถึงอย่างไรการผัดอาหารในร้านชุนเซียงก็ยังไม่ถึงคราวของเขา
เขารู้มานานแล้วว่าเดิมทีเถ้าแก่หยางต้าฉุยก็เป็นพ่อครัวคนหนึ่ง อีกทั้งต่อให้เทียบกับจางขุย เขาก็ไม่มีคุณสมบัติได้สัมผัสตะหลิว
หยางต้าฉุยมองซ่งจื่อเซวียนพลางพยักหน้า เวลานี้สายตาเคร่งขรึมเป็นพิเศษ สายตาแบบนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง อย่างไรเถ้าแก่ก็ไม่เคยใช้สายตาแบบนี้มองเขามาก่อน
กินไปหนึ่งคำ ท่าทางหยางต้าฉุยก็แข็งทื่อไป แม้ว่าจะคุ้นเคยกับกลิ่นหอมนี้อยู่บ้าง แต่เรื่องกิน…กลับเป็นครั้งแรก ต้องรู้ก่อนว่าต่อให้เป็นตอนที่กำลังเรียนทำอาหารอยู่ เขาก็เคยแค่ได้กลิ่นข้าวผัดจักรพรรดิเท่านั้น…
สมัยที่เขาร่ำเรียนเป็นศิษย์ เคยได้ยินอาจารย์พูดไว้ว่า กลิ่นของข้าวผัดจักรพรรดิเกือบเปรียบได้กับอาหารรสเลิศใดๆ อีกทั้งมีประโยชน์ในการบำรุงร่างกายอย่างแน่นอน รสชาติในปากของเขาตอนนี้ราวกับได้พิสูจน์คำพูดของอาจารย์อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่นึกเลยว่าวัตถุดิบง่ายๆ จะผัดออกมาเป็นรสชาติอย่างนี้ได้…
“เจ้ารอง ในข้าวนี่ใส่อะไรเพิ่มหรือเปล่า”
หยางต้าฉุยเพิ่งจะพูดจบ เหมือนกับนึกอะไรได้ พูดต่อว่า “อ้อ ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นแฝงหรอก ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรถาม นี่เป็นความลับระหว่างพ่อครัวด้วยกัน แต่…ถึงยังไงฉันก็เป็นเถ้าแก่ร้านอาหารชุนเซียง ฉันมีเหตุผลที่ต้องรู้ว่าแกใส่อะไรที่พิเศษลงไปหรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนชะงักกับคำถามของหยางต้าฉุย คาดไม่ถึงว่าหยางต้าฉุยจะพูดว่านี่เป็นความลับระหว่างพ่อครัวด้วยกัน จะสื่อว่ามองตนเป็นพ่อครัวคนหนึ่งอย่างนั้นเหรอ
แต่นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าคิดถึงมาก่อนเลย ก็เหมือนที่พูดกับตาเฒ่าฟาง การได้เป็นพ่อครัวเป็นความฝันของเขาอย่างชัดเจน ความฝันนี้เป็นจริงเร็วไปแล้วมั้ง…
“ผม…ไม่ได้ใส่อะไรเพิ่มเลย มีแค่ข้าวสวย ไข่ อ้อ ยังมีต้นหอมซอยด้วย” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
หยางต้าฉุยได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เขาเข้าใจซ่งจื่อเซวียนแจ่มแจ้ง เจ้าเด็กคนนี้ฉลาดแต่กลับไร้เดียงสา ยิ่งไม่มีทางโกหกเขาด้วย แต่…ข้าวผัดจักรพรรดิจะใช้วัตถุดิบธรรมดาๆ แค่นี้ได้อย่างไร อย่างนั้นจะต่างอะไรกับข้าวผัดทั่วไปเล่า
“เถ้าแก่ไม่เชื่อผมเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม เขาไม่ได้พูดโกหกจริงๆ ส่วนวัตถุดิบเขาก็ไม่ได้ใส่เครื่องปรุงอะไรลงไปเพิ่ม เพียงแต่วิธีการผัดกลับมาจากหนังสือสูตรอาหารเล่มนั้นของตาเฒ่าฟาง
ซ่งจื่อเซวียนไม่มีทางพูดความลับนี้ออกไปแน่นอน อย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับชายชราด้วยว่ายินยอมหรือไม่
“อ้อ ไม่ใช่หรอก” หยางต้าฉุยตอบเร็วรี่
“เหอะๆ เจ้ารองเอ๊ย แกมาทำงานกับฉันใกล้จะครบปีแล้ว ฉันจะไม่รู้นิสัยของแกได้ยังไงกัน ดูท่าครั้งนี้ก้อนทองหล่นใส่หัวแกแล้วจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้มบาง ไม่ได้พูดตอบรับประโยคนี้ของหยางต้าฉุย เขาเข้าใจ ถ้าพูดต่อไป เกรงว่าตนเองจะต้องหลุดพูดที่มาของวิธีการผัดนี้ไปแน่
ส่วนหยางต้าฉุยก็พยักหน้ายิ้มน้อยๆ เขาเคยเป็นพ่อครัวคนหนึ่ง จึงเข้าใจเหตุผลนี้ดี ในวงการอาหารความลับบางอย่างก็พูดออกมาไม่ได้
กินอีกสองคำ หยางต้าฉุยก็ไม่ได้อยากกินอีก แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะข้าวผัดจานนี้รสชาติไม่ดีพอ แต่เป็นเขาที่มีความคิดอัดแน่นอยู่ในหัวเต็มไปหมด
ต้องกล่าวเลยว่า ในใจของหยางต้าฉุยตอนนี้สับสนวุ่นวายเป็นที่สุด ซ่งจื่อเซวียนตอนนี้เป็นต้นไม้เรียกเงินเรียกทองที่เติบโตอย่างรวดเร็วจริงๆ ส่วนจะเรียกเงินให้ใครนั้น…ก็ต้องดูว่าใครเป็นคนมารดน้ำ
ตอนนี้หลินเทียนหนานยื่นไมตรีออกมาแล้ว เขา หยางต้าฉุยที่เป็นศาลาใกล้น้ำ ไม่มีทางปล่อยให้คนอื่นพรากซ่งจื่อเซวียนไปต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ได้ แต่เงินเดือนที่อีกฝ่ายเสนอให้…เขาตัดใจให้ไม่ได้จริงๆ
“เจ้ารอง ฉันกลับก่อนนะ แกเก็บกวาดลวกๆ สักหน่อยแล้วกลับไปพักผ่อนเถอะ” หยางต้าฉุยลุกขึ้นพูด
“ครับเถ้าแก่ รักษาตัวด้วยนะครับ” ซ่งจื่อเซวียนออกปากอย่างมีมารยาท
เดินถึงหน้าประตู หยางต้าฉุยอดหันหน้ากลับมาอีกไม่ได้ “คือว่า…เจ้ารองเอ้ย ที่ฉันพูดไปเมื่อกี้น่ะ แกก็คิดๆ ดูนะ”
ซ่งจื่อเซวียนมองหยางต้าฉุย พยักหน้าหงึกหงัก แต่ไม่ได้พูดอะไร
หลังหยางต้าฉุยจากไป ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้รีบร้อนเก็บกวาด แต่นั่งลงบนม้านั่งครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้นในสองวันนี้อย่างละเอียด
ว่ากันตามตรงเงินเดือนที่หลินเทียนหนานเสนอให้เป็นจำนวนที่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่ฉุกละหุกเกินไปแล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่ กระทั่งตั้งรับไม่ทันอยู่บ้าง
แต่คิดๆ แล้วเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ซ่งจื่อเซวียนรู้อยู่แก่ใจดี ไม่ว่าอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่าตนเองจะเก็บเกี่ยวกลั่นกรองหนังสือสูตรอาหารเล่มนั้นของตาเฒ่าฟางได้หรือไม่ ดังนั้นต้องรีบเก็บกวาดแล้วไปบ้านตาเฒ่าฟางน่าจะดีกว่า
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนลุกขึ้นเก็บกวาดร้าน แต่ตอนนั้นเอง ประตูก็ถูกผลักเปิดเสียงดัง ‘ปัง’ เห็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรน
เด็กคนนั้นดูอายุราวๆ สิบกว่าปี เส้นผมระกับหูและบางส่วนมันเยิ้มจนติดกันแน่น แก้มและปลายจมูกกระดำกระด่าง เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนคราบน้ำมันและเป็นรูขาดนับไม่ถ้วน พูดได้คำเดียวเลยว่า สกปรก!
แต่กระเป๋าหนังสือที่สะพายพาดอยู่ที่ไหล่ของเขากลับน่าสนใจมาก สายกระเป๋าสะพายสกปรกไม่ต่างจากเสื้อผ้า แต่ด้านล่างกลับเป็นกระเป๋าหนังสือใบเล็กสองใบ เข้ากับร่างที่ไม่สูงมากของเขา ดูน่ารักน่าเอ็นดูเลยทีเดียว
เด็กคนนั้นเดินเข้ามามองซ้ายมองขวาอย่างร้อนรน ตรงเข้าไปหลังครัวทันที ซ่งจื่อเซวียนก็ตกใจ ขณะจะพูดอะไรบางอย่าง กลับเห็นว่าเด็กคนนั้นหันหน้ามายิ้มให้เขา นิ้วชี้จรดริมฝีปากทำสัญญาณว่าให้เงียบๆ แล้วเข้าไปหลังครัว
ไม่นานนัก คนอีกสามคนก็พุ่งเข้ามาในร้าน คนที่นำหน้ามาเป็นผู้ชายอายุราวๆ สามสิบปี ตัดสกินเฮดจนเกือบเห็นหนังศีรษะ สวมแจ็กเก็ตหนังแขนกุดสีดำ เผยให้เห็นรอยสักหลากสีสันบนแขนทั้งสองข้าง
“ไอ้หนู คนที่เพิ่งเข้ามาเมื่อกี้ล่ะ” ชายคนนั้นตะโกนถามซ่งจื่อเซวียนพร้อมกระหืดกระหอบ
ซ่งจื่อเซวียนถูกคนคนนี้ถามก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เขารู้ว่าสามคนตรงหน้านี้ต้องมาตามหาเด็กมอมแมมคนนั้นแน่นอน แต่จะบอกหรือไม่บอกพวกเขานั้น…กลับลังเลอยู่เล็กน้อย
หากว่ากันตามเหตุผล เขาควรจะบอกไปว่าเจ้าเด็กนั่นอยู่ในครัว อย่างไรทำเช่นนี้ก็จะไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายในร้าน แต่เห็นท่าทางหยาบคายของคนพวกนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่อยากบอก
“หา? คนที่…เพิ่งเข้ามาเหรอ ผมไม่เห็นนะ” ซ่งจื่อเซวียนแสร้งพูดไม่รู้ไม่เห็น
“ฮึ่ม เข้าไปหา!” ชายผมสกินเฮดเอ่ยปาก ผู้ชายสองคนด้านหลังก็พุ่งเข้าไปในครัวด้านหลัง
ซ่งจื่อเซวียนสะดุ้ง เขาไม่คิดว่าคนพวกนี้จะปรี่เข้าไปในร้าน ใจเขาร่ำร้องเงียบๆ ว่าท่าไม่ดีแล้ว ถ้าถูกเจอตัวเข้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าพวกเขาอาจทุบตีเจ้าเด็กนั่นสักรอบ ดูท่าตนก็น่าจะตกกระไดพลอยโจนไปด้วย
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็แอบรู้สึกเสียใจ จะอย่างไรเท่าที่ดูคนพวกนี้ก็คือผู้มีอิทธิพล ตัวเองจะเอาอะไรไปสู้พวกเขา…
แต่ไม่นานนักชายสองคนก็เดินออกมาจากครัวด้านหลัง ส่ายหัวพร้อมกัน
“พี่หู่ ไม่มีครับ!”
“ไม่มีเหรอ บัดซบ เป็นไปไม่ได้ กูเห็นกับตาว่ามันวิ่งเข้ามาในนี้” ชายสกินเฮดที่ชื่อว่าพี่หู่แค่นเสียงขึ้นจมูก พูดด้วยสีหน้าสงสัย
หลังจากนั้นก็มองไปทางซ่งจื่อเซวียน “ไอ้หนู แกซ่อนเจ้าเด็กขอทานไว้ใช่ไหม ระวังฉันจะพังร้านพวกแก จะตัดขาแกด้วย!”
“ปะ เปล่านะ” ในใจซ่งจื่อเซวียนก็สับสน ครัวด้านหลังใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ เขาเห็นเด็กคนนั้นเข้าไปแล้วชัดๆ ทำไมถึงหาไม่เจอเล่า
คิดถึงตรงนี้ เขาก็พูดว่า “ผมไม่ทันเห็นจริงๆ พวกเราต้องปิดร้านแล้ว เมื่อกี้ผมกำลังล้างห้องน้ำอยู่”
พี่หู่ขมวดคิ้วแน่น “ฮึ่ม ฉันเตือนแกไว้เลยนะ ถ้ากล้าเล่นลิ้นล่ะก็ กูจะทำให้มึงพิการแน่!”
ในใจซ่งจื่อเซวียนหวาดกลัวจริงๆ เขาไม่เคยมีเรื่องมีราวกับผู้มีอิทธิพลมาก่อน เห็นหน้าตาดุร้ายของพี่หู่ ใจก็เต้นตุบตับ
แต่เขาก็ยังพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง พูดว่า “ร้านของพวกเราเล็กแค่นี้ พวกนายก็หาไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“พี่หู่ ไม่งั้นพวกเรารีบออกไปดูข้างนอกดีกว่า อย่าปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นหนีไปไกลเลย”
ได้ยินประโยคนี้ พี่หู่สูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง พยักหน้าแล้วพูดว่า “อืม หน้าประตูมีทางแยกสามทาง พวกเราแยกกันหา ถ้ารอบนี้ปล่อยให้มันหนีไปได้อีก พวกเราได้จบเห่แน่”
พูดจบ ชายสามคนก็ออกไปจากร้านอาหาร
ซ่งจื่อเซวียนกลับยังยืนงงอยู่ที่เดิม ใจก็ยังไม่สงบ แทบจะรู้สึกได้ว่าหน้าอกกำลังเต้นแรง
เมื่อแน่ใจว่าสามคนนั้นไปไกลแล้ว เขาถึงเดินเข้าไปในครัว หันมองไปรอบๆ เห็นมุมอับหลายๆ ที่ก็ไม่มีเงาของเด็กคนเมื่อครู่จริงๆ นี่มันแปลกประหลาดไปแล้ว ร้านอาหารชุนเซียงที่แม้แต่ประตูด้านหลังยังไม่มี ครัวด้านหลังก็ไม่มีหน้าต่าง เขาจะหนีไปได้อย่างไร
ขณะกำลังครุ่นคิด ซ่งจื่อเซวียนก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่ด้านหลัง ก็เห็นเพียงประตูตู้แช่สแตนเลสถูกผลักเปิดออก เด็กคนนั้นพุ่งออกมาในฉับพลัน นั่งไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้นอย่างนั้น ลูบถูสองแขนและหน้าอกอย่างแรง
“แม่เจ้าโว้ย จะแข็งตายอยู่แล้วฉัน ให้ตาย ถ้าถูกคนทุบตีจนตายถือว่าเป็นฮีโร่ล่ะก็ มาแข็งตายคงจะอับอายขายขี้หน้าน่าดูเลย” พูดประโยคนี้ น้ำมูกของเด็กคนนั้นก็ไหลลงมา ซ่งจื่อเซวียนที่เห็นเช่นนั้น ในกระเพาะก็ตีรวนขึ้นมา
“เมื่อกี้นายซ่อนอยู่ในตู้แช่เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
เด็กคนนั้นหันมอง “ก็เห็นอยู่แล้วยังจะถามอีกเหรอ”
เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน ยืดร่างกายไปด้วยหัวเราะคิกคักไปด้วย “แต่ต้องขอบคุณนายนะ ที่เมื่อกี้ไม่ได้โยนฉันออกไปน่ะ”
“ฮ่าๆ งั้นถ้านายยืนยันว่าฉันเข้ามา ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาคงหาเจอ ยังไงต้องขอบคุณล่ะนะ”
เด็กหนุ่มพูดพลางเดินไปโถงหน้าร้าน ซ่งจื่อเซวียนนับถือความกล้าหาญของเขาจริงๆ ยังไม่รู้เลยว่าสามคนนั้นจะกลับมาหรือเปล่า เขาก็จะออกไปแล้วเหรอ
“ว้าว ดีจัง มีข้าวให้กินด้วย หิวอยู่พอดีเลย”
เด็กคนนั้นมองข้าวผัดที่หยางต้าฉุยเหลือไว้เมื่อครู่ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เขาย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วเริ่มกิน เนื่องจากเมื่อครู่ซ่งจื่อเซวียนเก็บช้อนไปแล้ว เขาจึงใช้มือจ้วงกินง่ายๆ ทั้งอย่างนั้น
“เฮ้ย เดี๋ยวฉันเอาตะเกียบให้”
“ไม่ต้อง ฮ่าๆ ใช้ตะเกียบน่าอายจะตาย” เด็กคนนั้นพูดกลั้วหัวเราะ
ซ่งจื่อเซวียนก็จนปัญญาแล้ว จึงนั่งลงตรงข้ามมองเขากิน “นี่เจ้าเด็กน้อย ทำไมถึงได้เหมือนเด็กขอทานอย่างนี้ล่ะ”
เพิ่งจะพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เมื่อครู่พี่หู่คนนั้นเหมือนจะพูดคำว่าเด็กขอทานเหมือนกัน
“สายตาใช้ได้นี่ พี่ชาย แวบเดียวก็มองออกแล้วว่าฉันทำอาชีพอะไร” ระหว่างที่เด็กขอทานพูด ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่รู้สึกถึงความสุขเลย เป็นครั้งแรกที่ได้เจอคนเป็นขอทานแล้วภาคภูมิใจขนาดนี้
“เหอะๆ นายนี่น่าสนใจจริงๆ กินช้าๆ หน่อย ไม่พอเดี๋ยวฉันทำเพิ่มให้” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางมองกระเป๋าหนังสือที่เอวของเด็กขอทาน
“กระเป๋าหนังสือใบนี้ของนายนี่น่าสนใจจริงๆ นะ”
“กระเป๋าหนังสืออะไร นี่มันถุงผ้าต่างหาก นายทำข้าวผัดนี่อร่อยจริงๆ นะ” เด็กขอทานตักคำสุดท้ายเข้าปาก พูดด้วยใบหน้าอิ่มเอม
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ในใจก็คิดว่าเด็กขอทานนี่คงไม่ได้กินอาหารดีๆ อะไรเท่าไร กินข้าวผัดเย็นๆ ก็ดีใจขนาดนี้แล้ว
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ก็เกิดเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ประตูถูกผลักเปิดกะทันหัน!
ชั่วขณะนั้น ดวงตาสองคู่ของซ่งจื่อเซวียนและเด็กขอทานชะงักค้างที่ตรงนั้น…
……………………………………