เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 399 ยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ
ตอนที่ 399 ยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ
…………….
แม้ว่าปกติหลินอู๋ซิ่วจะเป็นคนแข็งแกร่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อำนวยการเฉิงหวาลี่เขาต้องข่มตัวเองอย่างยิ่ง
อีกทั้งการนั่งตำแหน่งรองผู้อำนวยการได้นั้น จะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีไหวพริบ
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เขาจึงปิดปากเงียบ ทำเพียงรอฟังถ้อยคำจากปากของผู้อำนวยการว่าจะทดสอบอย่างไร
ซ่งจื่อเซวียนระบายยิ้มบาง “ผอ.ครับ คุณจะบอกว่า…อยากชิมอาหารฝีมือผมงั้นเหรอครับ”
เฉิงหวาลี่พยักหน้ายิ้มๆ “อาจจะดูละลาบละล้วงไปหน่อย แต่สำหรับวิทยาลัยอาหารของเราแล้ว ต่อให้คำพูดสวยหรูแค่ไหน สุดท้ายสิ่งที่เราพิจารณาก็คืออาหาร
ดังนั้น…ผมเลยอยากลองชิมสักหน่อย”
“ฮ่าๆ ท่านผอ.เกรงใจกันเกินไปแล้วครับ การได้ทำอาหารให้ท่านผอ.ทาน ถือเป็นเกียรติของจื่อเซวียนแล้วครับ”
เฉิงหวาลี่พยักหน้า “วังเหว่ย คุณช่วยพาจื่อเซวียนไปที่ห้องครัวชั้นห้าที ถ้าต้องการอะไรอีก ลงไปยืมที่ชั้นสี่ได้เลย”
“ผอ.ก็พูดเกินไปครับ ผมว่ามีแค่ข้าวกับไข่ไก่ก็พอแล้ว”
เฉิงหวาลี่พยักหน้ายิ้มๆ
จากนั้นวังเหว่ยก็พาซ่งจื่อเซวียนไปยังห้องครัว
เฉิงหวาลี่หันมาพูดกับท่านเป้ยเล่อ “เป็นยังไงบ้าง ไม่เจอกันซะนาน สบายดีไหม”
“ฮ่าๆ ขอบคุณนะครับที่คุณคิดถึงผม ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ แต่คราวนี้ผมใจร้อนไปหน่อย เลยสร้างปัญหาให้คุณเดือดร้อนเลย”
ฟังจบ เฉิงหวาลี่ก็หัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก ไม่ได้เดือดร้อนเลย คนกันเองทั้งนั้น”
พอได้ยินดังนั้นหลินอู๋ซิ่วก็รู้สึกสับสนขึ้นมาจริงๆ คนกันเองงั้นเหรอ ทำไมถึงเป็นคนกันเองล่ะ
“ผอ.ครับ ท่านนี้คือ…”
ในที่สุดหลินอู๋ซิ่วก็ทนไม่ไหว ต้องเอ่ยปากถามจนได้
“หึๆ อู๋ซิ่ว ตลอดหลายปีที่อยู่ปักกิ่ง คุณเคยได้ยินชื่อของท่านเป้ยเล่อบ้างหรือเปล่า”
ได้ยินดังนั้นหลินอู๋ซิ่วก็ถึงกับผงะ
ท่านเป้ยเล่อ…จะไม่เคยได้ยินได้อย่างไร
ในชั่วขณะนั้นเอง จู่ๆ หลินอู๋ซิ่วก็พูดไม่ออก
ในวิทยาลัยแห่งนี้ นอกจากผู้อำนวยการแล้ว เขาเป็นคนที่อยู่สูงที่สุด
อายุประมาณสี่สิบปีก็ได้เป็นถึงรองผู้อำนวยการ แถมยังได้รับผิดชอบด้านจัดการอาจารย์ผู้สอน ถ้าว่ากันเรื่องตำแหน่ง วังเหว่ยถือว่าตำแหน่งต่ำกว่าเขาอยู่เล็กน้อย
แต่เมื่อมองในสังคมภายนอก อำนาจของเขาเทียบกับท่านเป้ยเล่อไม่ได้แม้แต่น้อย
เขาจ้องมองท่านเป้ยเล่อซึ่งมีอายุยี่สิบกลางๆ เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะประเมินเขาสูงถึงระดับนี้
“คุณคือ…ท่านเป้ยเล่องั้นเหรอ”
เฉิงหวาลี่พูดแกมหัวเราะ โดยไม่รอให้ท่านเป้ยเล่อเอ่ยปาก “ฮ่าๆ ซูหมิง…ถ้าวังเหว่ยไม่บอก ผมคงไม่รู้ว่าเป็นคุณ”
ท่านเป้ยเล่อยิ้มแห้งๆ “ผมไม่ค่อยใช้ชื่อนี้มาหลายปีแล้วล่ะครับ บางทีผมเองก็ไม่ชินเหมือนกัน”
“ฮ่าๆ คนในวงการ เรื่องในวงการ ในวงการเป็นแบบนี้ล่ะ ท่านเป้ยเล่อ คุณปิดบังซะแนบเนียน จนผมไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าคุณเข้ามาในวิทยาลัย แถมยังเข้าร่วมการประเมินด้วย”
ฟังจบ หลินอู๋ซิ่วที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “การประเมิน…ต้องเข้าร่วมอยู่แล้วล่ะครับ ระบบต้องเป็นระบบ”
เฉิงหวาลี่ฟังแล้วเข้าใจความหมายของหลินอู๋ซิ่ว และพยักหน้าทันที “ถูกต้อง ระบบเป็นเหมือนเหล็กกล้า ทุกอย่างต้องทำตามระบบระเบียบ”
ท่านเป้ยเล่อลอบยิ้มน้อยๆ หลินอู๋ซิ่วคนนี้ใจแคบจริงๆ
ถึงแม้จะเคยมีเรื่องกันมาก่อน แต่นี่ผู้อำนวยการเป็นคนไกล่เกลี่ยให้ เรื่องนี้ก็น่าจะเลิกแล้วต่อกันไม่ใช่เหรอ
แต่ฟังจากสิ่งหมอนี่พูดมา…ไอ้ลูกหมานี่เจ้าคิดเจ้าแค้นใช่ย่อย
ในตอนนี้เอง ซ่งจื่อเซวียนและวังเหว่ยก็เดินออกมา ขณะเดียวกันในมือของจื่อเซวียนก็ถือข้าวผัดมาด้วยจานหนึ่ง
ข้าวผัดเป็นสีทองน้ำมันเคลือบเงางาม แค่ได้เห็นก็ชวนให้น้ำลายสอแล้ว
ทุกวันนี้คนที่ได้กินข้าวผัดจักรพรรดิฝีมือซ่งจื่อเซวียนมีอยู่ไม่กี่คน นอกจากครอบครัวผู้นำเจ้าแล้ว ก็มีคนที่นั่งอยู่ตรงนี้เท่านั้น
เมื่อเห็นดังนี้ หลินอู๋ซิ่วกลับหัวเราะออกมา “ผอ.ครับ เรื่องนี้…ผมมองยังไงก็ไม่เข้าใจ อาหารเลิศรสที่คุณว่า…คือข้าวผัดไข่งั้นเหรอครับ”
“หึๆ อู๋ซิ่ว พวกเราลองชิมดูก่อนเถอะ”
หลังจากนั้น พวกเขาก็ตักแบ่งใส่ชามเล็กๆ คนละชาม ส่วนชามของหลินอู๋ซิ่วนั้น…ที่จริงแล้วมีแค่หนึ่งคำถ้วน
ด้วยตำแหน่งของเขาในทุกวันนี้ ไม่จำเป็นต้องลดตัวลงมากินข้าวผัดไข่ ถ้าเฉิงหวาลี่ไม่ออกปาก เขาคงไม่ชิมด้วยซ้ำ
ทว่าพอตักข้าวผัดใส่ปากแล้ว หลินอู๋ซิ่วกลับต้องอึ้ง
ผู้เชี่ยวชาญเวลาชิมอาหารย่อมไม่เหมือนกับคนทั่วไป
เวลาคนธรรมดาได้ชิมของอร่อย ปฏิกิริยาแรกคือดื่มด่ำกับความอร่อยของมัน จากนั้นค่อยกินต่อคำโตๆ
แต่ผู้เชี่ยวชาญจะวิเคราะห์รสชาติก่อนเป็นอันดับแรก ให้คะแนนความอร่อยของมัน จากนั้นจึงวิเคราะห์องค์ประกอบของรสชาตินั้น
หลินอู๋ซิ่วผู้ศึกษาเรื่องอาหารมานานจนป่านนี้ สามารถวิเคราะห์เครื่องปรุงที่ใช้ในจานนั้นๆ ได้ทันทีที่ชิมครั้งแรก
แต่ข้าวผัดชามนี้…กลับทำให้เขาสับสน เดาไม่ออกว่าทำไมมันถึงหอมได้ขนาดนี้
จากประสบการณ์ของเขา ข้าวผัดจานนี้ไม่ได้ใส่อะไรเลยนอกจากเกลือ แต่ความหอมนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเกลือเพียงอย่างเดียว
ทางด้านเฉิงหวาลี่ ขมวดคิ้วมุ่นขณะรับรสชาติของข้าวผัดไข่จานนี้ไปด้วย
จากนั้นเขาจึงพยักหน้าช้าๆ “เอ่อ…จื่อเซวียน อาจารย์ของคุณเป็นใครมาจากไหนเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าเฉิงหวาลี่เป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
ถ้าเป็นคนนอกวงการอาหารต้องถามว่าข้าวผัดนี่ใส่เครื่องปรุงอะไรบ้าง ไม่ก็ถามว่าทำอย่างไร
แต่เฉิงหวาลี่ไม่ได้ถามแบบนั้น เขาแยกแยะความแตกต่างของข้าวผัดจักรพรรดิได้ในคำเดียว แถมยังสนใจว่าเขาเป็นศิษย์ของอาจารย์ท่านใดมากกว่า
“แหะๆ ท่านผอ. อาจารย์ของผม…เป็นคนรักสันโดษ จึงไม่สะดวกเปิดเผยตัวตนน่ะครับ”
เฉิงหวาลี่ฟังแล้วก็พยักหน้าช้าๆ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง แต่อีกฝ่ายเป็นถึงอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ หากผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนคงจะดีไม่น้อย”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม อย่างไรเขาก็ไม่มีทางตอบรับคำขอเช่นนี้
“ข้าวผัดจานนี้…รสชาติไม่เลว แต่เทียบกับฝีมือของอาจารย์หรือนักเรียนดีเด่นของวิทยาลัยแล้วก็ไม่ได้โดดเด่นมากเท่าไร”
ในตอนนี้เอง หลินอู๋ซิ่วก็พูดขึ้น
“ฮ่าๆๆ ผอ.หลินคงหมายความว่า ในวิทยาลัยแห่งนี้คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ทำข้าวผัดแบบนี้ออกมาได้ใช่ไหมครับ”
ท่านเป้ยเล่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินอู๋ซิ่ววางชามกับตะเกียบลง “แล้วมันแปลกตรงไหนเหรอครับ ในประเทศจีน วิทยาลัยอาหารถือเป็นสาขาวิชาอันทรงเกียรติ จะเอาไปเทียบกับอาหารข้างถนนได้ยังไง”
“ที่ผอ.หลินพูดมานั้นถูกต้องเลยครับ ผมมันก็แค่พ่อครัวข้างถนนจริงๆ แต่จะว่าไป…ถ้าอาหารของผมเทียบกับฝีมืออาจารย์ในวิทยาลัยได้ ดูเหมือนว่าวิทยาลัยคงต้องปรับปรุงคุณภาพการสอนใหม่แล้วล่ะครับ!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย อันที่จริงซ่งจื่อเซวียนไม่ชอบปะทะฝีปากกับใครสักเท่าไร
แต่การที่หลินอู๋ซิ่วเอาพ่นคำพูดไร้สาระออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เขารู้สึกรำคาญนิดหน่อย
“ว่าไงนะ คุณกำลังตั้งคำถามกับการสอนของวิทยาลัยอาหารงั้นเหรอ ผมจะบอกอะไรให้นะ พวกคุณเพิ่งจะได้เข้าร่วมการอบรมเท่านั้น ถึงจะผ่านการอบรมแล้ว พวกคุณก็รู้อะไรแค่ผิวเผินเท่านั้นแหละ!
ไว้คุณเข้าวิทยาลัยได้จริงๆ ได้เมื่อไร ถึงตอนนั้นคุณจะได้เห็นทักษะการทำอาหารที่แท้จริง!”
หลินอู๋ซิ่วกล่าวเสียงดังลั่น
“หึๆ ผมคาดหวังแล้วนะครับเนี่ย แต่ว่า…อย่าทำให้ผมผิดหวังก็แล้วกัน” ซ่งจื่อเซวียนพูด
เฉิงหวาลี่เอาแต่นั่งยิ้มเงียบๆ ปล่อยให้ทั้งสองปะทะฝีปากกันไป
ขณะเดียวกันก็มองข้าวผัดจักรพรรดิ พลางขบคิดอะไรในใจ
“เอาล่ะ ทุกคนต่างกันเป็นคนกันเองทั้งนั้น อย่าทะเลาะกันเลย ผมตัดสินใจแล้ว จื่อเซวียน คุณได้เข้าทำงานที่วิทยาลัย”
ประโยคนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง
ทว่าเมื่อเทียบกันแล้วท่านเป้ยเล่อกับวังเหว่ยออกแนวแปลกใจ ส่วนหลินอู๋ซิ่วกลับตกใจ…
แค่นี้ก็ได้เข้าทำงานแล้วเหรอ
ยกเว้นเป็นกรณีพิเศษงั้นเหรอ
เพราะ…ข้าวผัดไข่เนี่ยนะ
หลินอู๋ซิ่วยอมรับว่ารสชาติของข้าวผัดจานนี้อร่อยจริงๆ ถึงขั้นที่ถ้าไม่พูดเกินจริง แม้แต่อาจารย์ในวิทยาลัยก็ยังทำออกมารสชาติไม่อร่อยเท่านี้
แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายต้องถูกรับเข้าทำงานเป็นกรณีพิเศษนี่
วิทยาลัยอาหารปักกิ่งเป็นอะไร เป็นสถานีเก็บขยะไปแล้วเหรอ
“ผอ.ครับ คุณหมายความว่า…จะรับซ่งจื่อเซวียนเข้าทำงาน โดยไม่ผ่านการอบรม หรือให้ผมพิจารณาคะแนนประเมินรอบสุดท้ายของเขาเลยงั้นเหรอครับ”
หลินอู๋ซิ่วถามด้วยความประหลาดใจ
เฉิงหวาลี่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “ถูกต้องอู๋ซิ่ว คุณมีความเห็นอะไรไหม”
หลินอู๋ซิ่วไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร ราวกับมีซาลาเปาก้อนใหญ่จุกอยู่ในลำคอของเขา
“เอ่อ…ในเมื่อคุณตัดสินใจแบบนี้แล้ว ผมจะพูดอะไรได้อีกล่ะครับ เพียงแต่รู้สึกว่าระบบการรับอาจารย์ของวิทยาลัยนี้ไร้ประโยชน์เหลือเกิน”
เฉิงหวาลี่หัวเราะ เขาเข้าใจความหมายของหลินอู๋ซิ่ว แน่นอนว่าต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา
ระบบมีไว้เพื่อใช้ควบคุมทุกคน แต่ตอนนี้เฉิงหวาลี่ตัดสินใจเพียงลำพัง นั่นเท่ากับว่าเขามีสิทธิ์ตัดสินใจเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามเฉิงหวาลี่ไม่สนใจ ตลอดหลายปีที่เขาบริหารวิทยาลัยอาหารแห่งนี้มา สิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุดคือการรักษาผู้มีพรสวรรค์ไว้
และซ่งจื่อเซวียนที่อยู่หน้าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์อย่างแน่แท้ ส่วนจะมีศักยภาพแค่ไหนนั้น…
คงต้องรับเข้าวิทยาลัยเสียก่อนจึงจะมั่นใจได้
เฉิงหวาลี่พยักหน้า “ดี งั้นก็ตกลงตามนี้ ท่านเป้ยเล่อ ผมจะให้โควตากับคุณด้วย คุณกับจื่อเซวียนไม่จำเป็นต้องรับการประเมิน แต่หลังจากเป็นอาจารย์แล้ว…ผมหวังเพียงว่าพวกคุณจะปฏิบัติตามกฎของวิทยาลัยนะ”
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม “วางใจเถอะครับท่านผอ. พวกเราจะทำตามกฎ”
“ผอ.ครับ แสดงว่า…พวกเราไม่ต้องเข้าอบรมช่วงหลัง กลับบ้านได้เลยใช่ไหมครับ”
“ฮ่าๆๆ เป็นอย่างนั้นล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนดีใจจนเนื้อเต้น ที่ตู้เหมินยังมีเรื่องอีกหลายอย่างที่ต้องสะสาง อีกอย่าง…เขาจะได้กลับไปหาถังหย่าฉีสุดที่รักด้วย
จากนั้น พวกเขาก็ออกจากโรงอาหาร กลับไปที่หอพัก
วังเหว่ยเองก็กลับมากับพวกเขาด้วย
อันที่จริงนี่ถือเป็นเรื่องดีสำหรับวังเหว่ย แม้ว่าเขาจะไม่มีเส้นสายในเรื่องรับคนเข้าวิทยาลัยแห่งนี้ แต่เขาก็หวังให้ท่านเป้ยเล่อและซ่งจื่อเซวียนได้เข้ามาทำงานที่นี่
เขาเป็นผู้รับผิดชอบหลักของโครงการบันทึกหย่งซั่น หลินอู๋ซิ่วเป็นผู้ช่วย ดังนั้นถ้าจัดการมันได้ดี ก็ถือเป็นความสำเร็จของเขา
“คราวนี้ผมต้องยินดีกับพวกคุณเลย โชคร้ายกลายเป็นดี ทีแรกจะโดนไล่ออก แต่กลับกลายเป็นได้รับเข้าทำงานซะงั้น”
วังเหว่ยกล่าว
ท่านเป้ยเล่อนั่งพิงผนังบนเตียง พลางกล่าวยิ้มๆ “ฮ่าๆ ฉันก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน แต่ก็ดี กลับไปจัดการธุระให้เสร็จ อีกไม่กี่วันฉันจะกลับมาทำงานแล้ว”
“ผมขอบอกก่อนนะครับ อย่าคิดว่างานสอนเป็นเรื่องง่ายเชียว ตอนนี้วิทยาลัยกำลังขาดอาจารย์อยู่ด้วย
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พวกคุณต้องดูแลนักศึกษาทันทีที่เริ่มงานเลย”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วน้อยๆ “ต้องดูแลนักศึกษาด้วยเหรอ ผมคิดว่าจะได้วิจัยบันทึกหย่งซั่นเลยซะอีก”
“เหอะๆ แม้แต่อาจารย์อาวุโสยังต้องสอนเลยครับ”
วังเหว่ยกล่าวยิ้มๆ “อีกอย่างวิทยาลัยยังขาดอาจารย์เก่งๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าได้ลดชั่วโมงไม่ต้องดูแลแล้ว คงจะได้ย้ายไปฝ่ายธุรการ”
“ธุรการ? หมายถึงพวกดูแลน้ำไฟน่ะเหรอ” ท่านเป้ยเล่อถาม
“ประมาณนั้นครับ ที่จริงงานยุ่งยิ่งกว่างานสอนซะอีก วันๆ โดนจิกหัวใช้อย่างกับคนรับใช้”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “งั้นขอเลือกพวกนักศึกษาดีกว่า อุตส่าห์ได้เป็นอาจารย์ทั้งที ให้มาเป็นคนรับใช้อีก ไม่ไหวหรอกครับ”
ได้ยินดังนั้นพวกเขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้นเอง ประตูห้องพักก็ถูกเปิดออก หวังเหลียงจงพุ่งตัวเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น
“ให้ตายสิ ทำไมพวกนายยังอยู่ที่นี่อีก ฉันรอพวกนายที่หน้าวิทยาลัยตั้งนาน!”
ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะเอ่ยปาก แต่สายตาเหลือบไปเห็นบาดแผลบนใบหน้าของหวังเหลียงจง จึงชะงักไปทันที
“เหลียงจง หน้านายไปโดนอะไรมา”
…………………………………………………
…………….