เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 398 มีเรื่องสนุกๆ ให้ดู
ตอนที่ 398 มีเรื่องสนุกๆ ให้ดู
…………….
คำพูดของวังเหว่ยทำเอาเฉิงหวาลี่ตกตะลึง ถึงขั้นเป็นอาจารย์ได้เลยเหรอ
จำเป็นต้องทราบเสียก่อนว่าหลายปีมานี้วิทยาลัยอาหารอบรมอาจารย์น้ำดีออกมาหลายต่อหลายคน
แต่ความต้องการของวิทยาลัยยังอีกไกลกว่าจะบรรลุผล เนื่องจากวิทยาลัยพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ต้องการอาจารย์คุณภาพดีเป็นจำนวนมาก
แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรับสมัครสอบทุกปี พวกที่มาสมัครก็มีแต่พวกปานกลาง
ดังนั้นตอนนี้วิทยาลัยจึงต้องลดเงื่อนไขในการสมัครลง และขยายการรับสมัคร เพื่อเฟ้นหาคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ และค่อยๆ ฝึกฝนพวกเขาไปช้าๆ
ทว่าคนที่ยังไม่ได้เป็นอาจารย์ แต่กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่ามีคุณสมบัติเป็นอาจารย์ได้นั้น…ยังไม่เคยมีมาก่อน
“คุณจะบอกว่าซ่งจื่อเซวียนคนนี้มีคุณสมบัติสามารถเป็นอาจารย์ได้เลยงั้นเหรอ”
วังเหว่ยพยักหน้ายืนยัน “ผมไม่ได้พูดเกินจริงนะครับผอ. คุณพอจะทราบหรือไม่ครับว่าอาหารที่โด่งดังที่สุดของปักกิ่ง ตู้เหมิน และอวิ๋นอันในปีที่แล้วมีอะไรบ้าง”
เฉิงหวาลี่เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางคุร่นคิด ก่อนจะตอบ “อาหารขึ้นเหลาของปักกิ่งก็ต้องเป็นพระกระโดดกำแพง ของอวิ๋นอันก็ต้องเป็นบะหมี่บัควีท ส่วนตู้เหมินคือข้าวผัดจักรพรรดิ”
วังเหว่ยพยักหน้ายิ้มๆ “เมนูไหนที่โด่งดังที่สุดครับ”
“แม้ว่าผมจะไม่ได้ไปลิ้มรสด้วยตัวเอง แต่ดูจากโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตแล้ว น่าจะเป็นข้าวผัดจักรพรรดิของตู้เหมิน
ข้าวผัดหนึ่งจานถูกขายในราคาถึงแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวน แถมจำกัดจำนวนขายวันละยี่สิบจาน แต่ดันขายหมดอย่างรวดเร็วทุกวัน
แต่ผมได้ยินมาว่าร้านนั้นปิดไปแล้วนี่นา”
วังเหว่ยยิ้มและกล่าวว่า “ผอ. ครับ ที่คุณพูดถึงคือภัตตาคารต้าสือไต้ ร้านนั้นปิดกิจการไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เชฟข้าวผัดจักรพรรดิได้เปิดกิจการร้านอาหารอีกแห่ง ทุกวันนี้ข้าวผัดจักรพรรดิยังขายดีอยู่เลยครับ”
ฟังจบ เฉิงหวาลี่ก็พยักหน้าช้าๆ
“อย่างนั้นเองเหรอ ว่าแต่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับสิ่งที่คุณพูดตรงไหน”
ทันทีที่พูดจบ เฉิงหวาลี่ก็คล้ายจะตระหนักได้ถึงบางอย่าง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมา
“คุณหมายถึง…”
วังเหว่ยยิ้มและพยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าเขาได้ตอบคำถามของเฉิงหวาลี่แล้ว
“หึๆ น่าสนใจ ผู้สมัครปีนี้น่าสนใจมากๆ
แต่…วังเหว่ย แค่คำพูดลอยๆ เชื่อถือไม่ได้หรอก ผมต้องเห็นด้วยตาตัวเอง”
“ฮ่าๆ เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงครับ ผอ. ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”
พูดจบ วังเหว่ยก็เดินออกจากห้องทำงานผู้อำนวยการไป
เฉิงหวาลี่มองเอกสารคำร้องในมือ แล้วฉีกทิ้งลงในถังขยะ
เขาไม่เคยสงสัยในตัววังเหว่ยเลย เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่พึ่งพาได้ ซื่อสัตย์ ไม่มีลับลมคมในกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงให้วังเหว่ยไปจัดการ ที่จริงสาเหตุหลักคือเขาอยากจะลิ้มรสอาหารอันโด่งดังนี้
ในหอพัก ซ่งจื่อเซวียนนั่งสูบบุหรี่ที่โต๊ะทำงานของเขา สีหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา แต่ในใจรู้สึกเสียอารมณ์เป็นอย่างมาก
นี่ไม่ได้เป็นเพราะความขัดแย้งกับโหยวไท่และหลินอู๋ซิ่ว แต่เป็นเพราะมาปักกิ่งเสียเที่ยว
น่าเสียดายไม่น้อยที่ไม่ได้เห็นบันทึกหย่งซั่น
แต่ท่านเป้ยเล่อไม่เป็นอย่างนั้น เขานั่งพิงผนังบนเตียง พลางสูบบุหรี่อย่างไม่ทุกข์ร้อน
“หึๆ จื่อเซวียน พวกเรามาพนันกันไหม”
“หือ? พนันอะไรครับ” น้ำเสียงของซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ตื่นเต้นสักเท่าไร
“อืม…พนันว่าจะมีคนมาหาเมื่อไร” ท่านเป้ยเล่อกล่าวยิ้มๆ
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก “จะมีคนมาเหรอ ไม่เห็นจะน่าสนุกเลย เดี๋ยวฟางรุ่ยกับต้าเหมาก็มาแล้วนี่ครับ”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่พวกเขาสิ ฉันหมายถึงคนของวิทยาลัย ที่จะมาตามพวกเรากลับไปเรียนอีกครั้งไง”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางครุ่นคิด แต่แล้วก็หัวเราะออกมา
ท่านเป้ยเล่อยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ไม่มีทาง” เขามองนาฬิกาข้อมือของตนเอง “อย่างมากสุดสิบนาที!”
“มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ก็ประมาณนั้น บวกกับเวลาเมื่อกี้ น่าจะพอให้วังเหว่ยจัดการอะไรๆ เสร็จแล้ว”
ท่านเป้ยเล่อยักไหล่ยิ้มๆ จากนั้นโยนก้นบุหรี่ลงบนพื้น
ซ่งจื่อเซวียนเห็นก้นบุหรี่บนพื้นก็พูดขึ้นว่า “กฎระเบียบของวิทยาลัย รักษาความสะอาดของหอพัก!”
ท่านเป้ยเล่อยิ้มแต่ไม่พูดอะไร กฎระเบียบของวิทยาลัย…ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเขา
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง จู่ๆ ประตูก็เปิดออก ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึง ไม่น่าเร็วขนาดนี้มั้ง?
แต่เมื่อเห็นคนที่เข้ามาคือต้าเหมา เขาก็หันไปมองท่านเป้ยเล่อ “เหอะๆ ไม่ใช่วังเหว่ย”
ท่านเป้ยเล่อไม่สนใจ ดูเหมือนจะยังเชื่อมั่นอยู่มาก
ทว่าในตอนนี้ พอต้าเหมาเข้ามา วังเหว่ยก็เดินตามเข้ามาด้วย
ซ่งจื่อเซวียนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “คุณพระคุณเจ้า โอเค คุณชนะแล้ว!”
ท่านเป้ยเล่อกลับมีสีหน้าผิดหวัง “แต่โชคร้าย ฉันลืมวางเดิมพันกับนายไปเลย
ว่าไงวังเหว่ย มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ให้ตาย จะไม่มีเรื่องได้เหรอ คุณก่อเรื่องให้ผมจนได้สิน่า พี่ชาย เรื่องไปถึงผอ. นู่นแล้ว”
วังเหว่ยสีหน้าเป็นกังวล ราวกับว่าคนที่จะถูกไล่ออกคือเขาเอง
ท่านเป้ยเล่อยิ้มและกล่าวว่า “ไปถึงผอ.เฉิงแล้วเหรอ เยี่ยมเลย ฉันกับผอ.เฉิงไม่ได้เจอกันนานแล้ว นายพาฉันไปหาเขาทีสิ!”
วังเหว่ยได้ยินดังนั้นก็กลอกตาใส่เขาหนึ่งที
“ไม่จำเป็น ตอนนี้คุณไม่ต้องไปขอเข้าพบเองหรอก ผอ.เฉิงให้เชิญพวกคุณไปพบเลย!”
“อะไรนะ ผอ.ต้องการพบพวกเราเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนผงะ
วังเหว่ยพยักหน้า
“ผมยังรู้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณ ผอ.หลินเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน พวกคุณไปยั่วโมโหเขาทำไมล่ะ
เอกสารขอให้ไล่พวกคุณออกก็อยู่บนโต๊ะผอ.เฉิงแล้ว แค่เซ็นทีเดียวพวกคุณก็มาเสียเที่ยวแล้วนะ”
ท่านเป้ยเล่อหัวเราะและกล่าวว่า “ฮ่าๆๆ งั้นก็ดี ฉันไม่ค่อยตั้งความหวังกับชีวิตในรั้ววิทยาลัยนักหรอก แต่ว่า…
วังเหว่ย หอพักของพวกนายสภาพไม่ค่อยโอเคเท่าไรนะ”
แม้แต่วังเหว่ยเองยังมึนงง “ใช่ครับ เงื่อนไขของเรามีจำกัด และผมก็ทำผิดต่อคุณ เราไปทานข้าวที่โรงอาหารกันไหมครับ”
“เขาไล่เราออกแล้วนี่ ไปกินข้าวด้วยคงไม่เหมาะเท่าไร”
วังเหว่ยเข้าใจดีว่าจริงๆ แล้วท่านเป้ยเล่อยังเคืองอยู่
ในวิทยาลัยแห่งนี้ หลินอู๋ซิ่วมีอำนาจในมืออยู่ไม่น้อย เนื่องจากเป็นคนดูแลอาจารย์ผู้สอนทั้งหมดเอง และยังรับผิดชอบงานจัดการบุคลากรอีกด้วย
พูดง่ายๆ คือถ้าใครอยากเป็นอาจารย์อาวุโส ต่อให้ผ่านประเมินมาจากไหน สุดท้ายก็ต้องให้หลินอู๋ซิ่วเซ็นอนุมัติ ถึงจะได้เป็น
แต่ในแง่ของสถานะในสังคม เขาเทียบอะไรไม่ได้กับท่านเป้ยเล่อ
คำพูดเพียงคำเดียวจากปากของชายคนนี้ ก็ทำให้สั่นสะเทือนไปทั้งปักกิ่ง
แน่นอนว่าพวกข้าราชการบางคนอาจจะมีการตอบโต้บ้าง
ถ้าเขาโกรธจริงๆ วังเหว่ยเชื่อว่าหลินอู๋ซิ่วคงอยู่สบายๆ ไม่ได้
“เอาล่ะ เลิกโกรธกันเถอะครับ ผมไม่ได้จะชวนไปทานข้าวเฉยๆ ผอ.เฉิงอยากพบพวกคุณครับ”
“แสดงว่า…ตาเฒ่านั่นอยากเชิญฉันไปกินข้าว เขาจำฉันได้เหรอ” ท่านเป้ยเล่อถามพร้อมรอยยิ้ม
“ตลกน่า เมื่อกี้ผมบอกเขาไปหมดแล้ว ผอ.เฉิงเองยังบอกว่าคุณน่ะมีศักยภาพ”
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้าช้าๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจจะทำให้เขามีความสุขก็ได้
พูดจบ วังเหว่ยก็หันมาหาซ่งจื่อเซวียน “จื่อเซวียน ผมคิดว่าคุณคงต้องตกเป็นจุดสนใจไปอีกสักพัก ผอ.น่าจะอยากรู้ว่าทำไมข้าวผัดจักรพรรดิถึงดังในตู้เหมิน”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ถ้าใช้ห้องครัวของวิทยาลัยได้ ก็ไม่มีปัญหา”
ณ โรงอาหารวิทยาลัย
ทันทีที่เฉิงหวาลี่เดินออกมาจากลิฟต์ หลินอู๋ซิ่วที่ตามหลังมาก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหา
“ผอ.ครับ เอกสารที่ผมส่งไป ถ้าคุณเซ็นเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวผมเข้าไปรับนะครับ”
เนื่องจากเป็นงานจัดสรรบุคลากร ถึงจะเป็นการไล่นักเรียนฝึกอบรม ก็ต้องทำตามขั้นตอน
หลินอู๋ซิ่วทำงานค่อนข้างเข้มงวด ไม่มีทางลืมเอกสารสำคัญแบบนี้ไปแน่
“เอกสาร? อ้อๆ ที่ว่าจะไล่นักเรียนฝึกอบรมสองคนนั่นน่ะเหรอ”
หลินอู๋ซิ่วพยักหน้า “ใช่ครับ คุณเซ็นเรียบร้อยแล้วเหรอครับ”
“ยังหรอก ผมต้องตรวจสอบสองคนนั้นเสียก่อน”
“หืม? ตรวจสอบ? สองคนนี้ละเมิดวินัยอย่างร้ายแรงนะครับท่านผอ. ไม่มีทางแก้ไขอื่นนอกจากต้องไล่ออกแล้วล่ะครับ”
ฟังจบ เฉิงหวาลี่ก็ยิ้มน้อยๆ “อู๋ซิ่ว คุณต้องจำไว้นะว่าการทำงานของเราตอนนี้ เน้นที่คนมีความสามารถเป็นหลัก อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่นจนเกินไป”
หลินอู๋ซิ่วได้ยินดังนั้นก็โกรธมาก นี่ผอ.จะบอกว่า…ไม่มีการลงโทษงั้นเหรอ
สองคนนั้นจะเป็นคนมีพรสวรรค์ได้อย่างไร
“ผอ.ครับ ผมเข้าใจที่คุณพูดถึง แต่…แต่ว่าเราไม่ควรเพิกเฉยต่อกฎระเบียบของสถาบันนะครับ”
“แน่นอน แต่ในเมื่อพวกเขายังไม่ได้เป็นอาจารย์ของวิทยาลัย แถมเรื่องนี้ต้นเหตุก็เริ่มต้นจากการมาสายเท่านั้นเอง อู๋ซิ่ว คุณต้องใจกว้างหน่อยนะ”
หลินอู๋ซิ่วพูดไม่ออก เขารู้ว่าถ้าตนพูดต่อ เขาอาจจะทำให้ผู้อำนวยการอารมณ์เสียได้
เฉิงหวาลี่ยิ้ม “ไม่ใช่ว่าผมไม่ฟังความคิดเห็นของคุณนะ เพียงแต่ผมต้องการทดสอบความสามารถของสองคนนั้นเสียก่อน”
“ครับ? ผอ.ครับนี่มัน…”
“หึๆ มาๆ มาทานข้าวด้วยกันนะ”
หลินอู๋ซิ่วพยักหน้า และไม่พูดอะไรต่อ
ชั้นห้าของโรงอาหารวิทยาลัย เป็นพื้นที่รับประทานอาหารของผู้อำนวยการ
คนที่จะมานั่งทานข้าวบนชั้นนี้ได้อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับผอ.แผนกต่างๆ
แต่ถึงกระนั้น ผู้บริหารเหล่านี้ก็มักจะลงไปทานข้าวที่ชั้นสาม ชั้นสี่มากกว่า
เพราะสามารถพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาได้โดยตรง
ในช่วงไม่กี่ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งวิทยาลัย เหล่าผู้บริหารในวิทยาลัยต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจนในระดับหนึ่ง
ยิ่งสร้างความสัมพันธ์กับคนใต้บังคับบัญชาได้มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น โรงอาหารชั้นห้าจึงมีแต่เฉิงหวาลี่ วังเหว่ย และหลินอู๋ซิ่ว
สำหรับพวกเขาแล้ว การสร้างความสัมพันธ์กับคนเบื้องล่างไม่สำคัญเท่าการไปทานอาหารกับผู้อำนวยการบ่อยๆ เพื่อรักษาความสัมพันธ์และติดต่อธุรกิจ
ในตอนนี้เอง วังเหว่ยก็พาท่านเป้ยเล่อและซ่งจื่อเซวียนขึ้นมายังชั้นห้า
เมื่อเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว ก็เห็นหลินอู๋ซิ่วนั่งอยู่ วังเหว่ยถึงกับผงะไปแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา
“หึๆ ผอ.หลินก็มาด้วยเหรอครับ”
หลินอู๋ซิ่วพยักหน้า “วังเหว่ย นี่คุณ…”
อันที่จริงหลินอู๋ซิ่วเองก็มองออกว่าอะไรเป็นอะไร ชัดเจนว่าวังเหว่ยเป็นคนเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น อย่าว่าแต่ไม่มีอำนาจเลย แม้แต่โอกาสจะพุดคุยกับผู้อำนวยการยังไม่มีด้วยซ้ำ
“หึๆ ท่านผอ.ให้ผมพานักเรียนฝึกอบรมสองคนนี้มาหาน่ะครับ”
“อ้อ…อย่างนี้นี่เอง”
ขณะที่หลินอู๋ซิ่วพูด เขาก็เหลือบมองท่านเป้ยเล่อและซ่งจื่อเซวียนแวบหนึ่ง สายตานั้นคุกรุ่นด้วยความโกรธ
“หึๆ ซูหมิง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ถ้าไม่ได้ยินจากผอ.วัง ผมต้องแย่แน่เลย”
ท่านเป้ยเล่อเดินตรงเข้าไปจับมือกับเฉิงหวาลี่ทันที
“ผอ.เฉิง ผมเองก็ต้องขอโทษที่ก่อความวุ่นวายให้กับคุณด้วยเหมือนกันครับ”
“ฮ่าๆๆ วุ่นวายอะไรกันเล่า ก็เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันทั้งนั้น ไว้พวกเราค่อยคุยกันอีกนะ”
“แน่นอนครับ แน่นอน!”
ได้ยินเช่นนี้ หลินอู๋ซิ่วถึงกับผงะ เพื่อนเก่า? ผู้อำนวยการรู้จักเขางั้นเหรอ ไอ้หมอนี่เป็นใครกันแน่…
จากนั้นเฉิงหวาลี่ก็เคลื่อนสายตาไปหาซ่งจื่อเซวียน
เขายิ้มบางๆ และพยักหน้าช้าๆ “ดี ช่างเป็นคนที่ไม่โอ้อวด เป็นคนหนุ่มที่ถ่อมตัวมาก หายากๆ”
ซ่งจื่อเซวียนก้าวขึ้นไปข้างหน้า “ดีใจที่ได้พบท่านผอ. ครับ”
“อืม ฝีมือของคุณคงได้รับการพิสูจน์ในวงการมานานแล้ว ไม่รู้ว่าวันนี้ตาเฒ่าคนนี้จะมีโอกาสได้ชิมสักครั้งหรือเปล่า”
หลินอู๋ซิ่วสับสนยิ่งกว่าเดิม ไอ้เด็กแต่งตัวมอมแมมคนนี้มีภูมิหลังแบบนี้เองเหรอ
ทำไมถึงได้รับการพิสูจน์ในวงการล่ะ
เสี้ยวขณะนั้น เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีเรื่องสนุกๆ ให้ดูแล้ว
…………………………………………..
…………….