เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 397 ถึงขั้นเป็นอาจารย์ได้
ตอนที่ 397 ถึงขั้นเป็นอาจารย์ได้
…………….
เมื่อเห็นสถานการณ์ ซ่งจื่อเซวียนก็รีบสั่งให้ฟางรุ่ยหยุดทันที
ในขณะเดียวกัน เขาก็ยืนข้างๆ ฟางรุ่ย คล้ายกับจะบอกว่า ‘ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันจะจัดการเอง’
หนึ่งในสามคนที่สวมชุดสูท ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นสวี่ผิงผอ.สำนักบริหารนั่นเอง
เพียงแต่เขาเดินรั้งท้ายอยู่เล็กน้อย ทำให้เห็นว่าตำแหน่งของเขาไม่ได้สูงนัก
ชายที่เดินตรงกลาง อายุไม่น่าเกินสี่สิบปี เขาตัดผมสั้น เรียบร้อย สวมชุดสูทสีดำถ่าน สายตาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ
“พวกคุณกำลังทำอะไร กำลังต่อยกันงั้นเหรอ” ชายคนนั้นกล่าวพลางมองไปที่โหยวไท่ “โหยวไท่ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
โหยวไท่ลุกขึ้นช้าๆ แม้ตัวจะยังบอบช้ำ แต่ใบหน้าของเขากลับนิ่งสงบ
“ผอ.หลิน สองคนนี้เข้าอบรมสาย ไม่ทำตามกฎวินัย และยังท้าทายผมอีกด้วยครับ”
ผอ.หลินขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณเป็นถึงอาจารย์อาวุโสเชียวนะ เหอะ ทำตัวไร้มารยาทสิ้นดี!”
พูดจบ เขาก็หันมาทางผู้เข้าอบรมที่ยืนใกล้ๆ “ใครเป็นคนมาสาย แล้วมีเรื่องต่อยตีกับอาจารย์”
ซ่งจื่อเซวียนก้าวขึ้นมาข้างหน้า “ผมเอง ผมรู้สึกว่าอาจารย์ใช้คำพูดดูถูกเหยียดหยามพวกผม ผมเลยรับไม่ได้ครับ”
“รับไม่ได้เหรอ เหอะ คุณมาที่นี่เพื่อมาหาความเคารพเหรอ ผมจะบอกให้นะ คุณจะได้รับการเคารพก็ต่อเมื่อได้เป็นอาจารย์แล้ว แต่ตอนนี้คุณไม่มีคุณสมบัตินั้น!”
ผอ.หลินถลึงตาพร้อมกับตวาดลั่น
ภายใต้ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาหารปักกิ่งนั้น มีรองผู้อำนวยการสองคน คนหนึ่งคือวังเหว่ย ส่วนอีกคนหนึ่งคือหลินอู๋ซิ่ว
วังเหว่ยรับผิดชอบดูแลงานบริหารวิทยาลัย รวมถึงงานก่อสร้าง การเงิน และนโยบายพัฒนาต่างๆ
ส่วนหลินอู๋ซิ่วดูแลด้านบุคลากร ซึ่งเกี่ยวกับด้านการบริหารจัดการอาจารย์โดยเฉพาะ
จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นหัวหน้าของสวี่ผิงโดยตรง
หลินอู๋ซิ่วเป็นคนที่อายุน้อย ไม่ว่าจะในหมู่รองผู้อำนวยการ หรืออาจารย์อาวุโสก็ตาม
แถมเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นรองผู้อำนวยการในปีนี้เอง กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของวัยหนุ่ม
ดังนั้นเมื่อเห็นผู้เข้าอบรมสองคนกล้ามีเรื่องต่อยตีกับอาจารย์อาวุโส เขาย่อมทนไม่ได้
“คุณพูดแบบนี้…แสดงว่าก่อนที่ผมจะได้เป็นอาจารย์ ผมไม่มีสิทธิ์ได้รับความเคารพเลยงั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ นอกเสียจากว่าคุณจะไม่อยากเป็นอาจารย์แล้ว!” หลินอู๋ซิ่วกล่าวอย่างเฉยเมย
“กลับกัน…ถ้าผมไม่อยากเป็นอาจารย์แล้ว ผมก็จะได้รับความเคารพใช่ไหม”
หลินอู๋ซิ่วขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้ “คุณหมายความว่าไง”
“ในเมื่อการเข้าร่วมฝึกอบรมนี้ต้องใช้ศักดิ์ศรี ฉันก็ไม่อยากเป็นอาจารย์อีกต่อไปแล้ว แต่เรื่องวันนี้ยังไงฉันก็ต้องกู้หน้ากลับมาให้ได้!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น
หลินอู๋ซิ่วผงะ เขาทำงานที่วิทยาลัยอาหารมาหลายปี ไต่เต้าจากอาจารย์มาเป็นรองผู้อำนวยการ เขายังไม่เคยเจอคนที่หัวแข็งขนาดนี้มาก่อน
“คุณต้องการอะไร”
“การต่อสู้เมื่อกี้มันยังไม่จบ รุ่ยจื่อ!”
“ครับนายท่านรอง!”
“จัดการไอ้หมอนี่ซะ!”
“ครับผม!”
พูดจบ ฟางรุ่ยก็ตรงเข้าไปหาโหยวไท่
แม้ว่าโหยวไท่จะรู้สึกกลัว แต่เขาก็ไม่แสดงออกมา เพราะอย่างไรเขาก็เป็นถึงอาจารย์อาวุโส และจำเป็นต้องรักษาศักดิ์ศรี
“เหอะ ทำตัวนอกรีตซะไม่มี สวี่ผิง!”
“ครับ ผอ.หลิน!”
“ไล่นักเรียนคนนี้ออกไปซะ ยกเลิกการประเมินผู้สอนของมันด้วย!”
สวี่ผิงชะงักไป เนื่องจากเขาเข้าใจหลักการหนึ่งอยู่ นั่นคือตอนนี้วิทยาลัยอาหารกำลังเติบโต และกำลังขาดแคลนบุคลากร
หลายปีมานี้ วิทยาลัยอาหารพัฒนาจนแทบจะแซงหน้ามหาวิทยาลัยและวิทยาลัยระดับเดียวกัน และกำลังไล่ตามมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศขึ้นไปเรื่อยๆ
ในตอนนี้ยิ่งจำเป็นต้องใช้บุคลากรมากขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ทีมอาจารย์ผู้สอน
การไล่ออกในตอนนี้…จึงไม่เหมาะสมนัก
“เอ่ออ่าอะไรอีก ไล่มันออกไป วิทยาลัยของเราไม่ต้องการคนแบบนี้!”
พูดจบหลินอู๋ซิ่วก็หันไปทางซ่งจื่อเซวียน “เป็นไงล่ะ ตอนนี้ฉันจะสอนให้นายรู้ไว้ ว่าทำไมนายต้องทิ้งศักดิ์ศรีของนายในช่วงการฝึกที่นี่!
เพราะยังมีคนที่คอยควบคุมนายได้เสมอ การทำตัวขวางโลกขวางกฎระเบียบใช้ไม่ได้กับที่วิทยาลัยอาหาร!”
ได้ยินดังนั้น ท่านเป้ยเล่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้น “หึๆ ไล่ออกงั้นเหรอ เอาเหตุผลมาคุยกันสิ เอากฎของวิทยาลัยออกมาดูเลย”
หลินอู๋ซิ่วมองท่านเป้ยเล่อ “เหอะ นายเคยได้ยินคำว่าเชือดไก่ให้ลิงดูไหม อยากโดนเชือดมากหรือไง”
“ฮ่าๆๆ น่าขำนี่ ถ้าฉันอยากโดนเชือด…นายจะทำไมล่ะ”
อันที่จริงพอได้ยินท่านเป้ยเล่อพูดแบบนี้ หลินอู๋ซิ่วก็รู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย
เหตุผลนั้นง่ายนิดเดียว เพราะท่านเป้ยเล่อพูดสำเนียงปักกิ่ง
ไม่ใช่ว่าสำเนียงปักกิ่งนั้นยอดเยี่ยม หรือหลินอู๋ซิ่วกลัวคนปักกิ่ง แต่สาเหตุหลักเป็นเพราะวิทยาลัยอาหารตั้งอยู่ในปักกิ่ง
นอกจากนี้คนปักกิ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นคนมีเส้นสาย จุดนี้ต่างหากที่ทำให้หลินอู๋ซิ่วกังวล
เขากวาดตามองท่านเป้ยเล่อตั้งแต่หัวจรดเท้า
ดูจากการแต่งตัวแล้ว เขากับซ่งจื่อเซวียนเป็นคนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ซ่งจื่อเซวียนสวมกางเกงยีนส์สกปรกกับเสื้อยืดสีขาว มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นแค่ร้านอาหารแผงลอยจานละสิบหยวนหรือน้อยกว่านั้น
แต่ท่านเป้ยเล่อต่างออกไป เขาสวมเสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อย แม้จะเป็นชุดลำลองแต่ก็มีความสุขุม
“นายจะบอกว่า…นายไม่คิดที่จะเข้าร่วมการอบรมตั้งแต่แรกงั้นเหรอ” หลินอู๋ซิ่วถาม
ท่านเป้ยเล่อที่ได้ยินน้ำเสียงคุกคามนั้น ระบายยิ้มบางๆ “เข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมก็ไม่เห็นจะต่างกัน ฉันแค่อยากมาดูว่าที่วิทยาลัยอาหารปักกิ่งมีระบบระเบียบหรือเปล่า เหมือนคนอย่างพวกนายหรือเปล่าที่คิดจะไล่ใครก็ไล่ออกได้!”
หลินอู๋ซิ่วมองท่านเป้ยเล่อและซ่งจื่อเซวียน รู้สึกหวั่นๆ ในใจ
แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่า คนที่เข้ามาอบรมที่นี่ไม่ได้มีแค่ลูกหลานเศรษฐี แต่ยังมีเชฟร้านอาหารดังหรือเจ้าของร้านด้วย
จะเจอคนที่น่าเกรงขามย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็แค่นหัวเราะออกมา “งั้นก็ออกไปทั้งคู่เลย ไล่พวกมันสองคนออกไปจากวิทยาลัยซะ!”
พูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป
ขณะมองแผ่นหลังของหลินอู๋ซิ่ว โหยวไท่ก็ยักไหล่และหัวเราะเบาๆ “ผอ.หลินโหดจริงๆ”
“เอาล่ะทุกคน กลับไปเข้าเรียนกันได้แล้ว!”
โหยวไท่เดินไปที่ห้องบรรยายทันที นักเรียนคนอื่นๆ ทยอยเดินตามไปทีละคน
เหลือเพียงซ่งจื่อเซวียน ท่านเป้ยเล่อ กับฟางรุ่ยและต้าเหมาที่ยังยืนอยู่ในสนามกีฬา
“นี่มัน…จบแล้วเหรอ รุ่ยจื่อ พวกเราไปเก็บของ กลับตู้เหมินกัน!”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้สนใจ เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็แค่อยากศึกษา ‘บันทึกหย่งซั่น’ เท่านั้น แต่ในเมื่อหมดโอกาส เขาก็ไม่ได้เสียใจ
เพราะแค่ ‘ตำราอาหารราชวงศ์ชิง’ ของท่านผู้เฒ่าก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสวนสวินเฟิงทั้งร้านอาหารร่ำรวยต่างรอให้เขากลับไป
ขณะที่กำลังจะกลับไป ท่านเป้ยเล่อก็ยิ้มออกมา “รอฉันด้วย พวกเรากลับไปสูบบุหรี่กันสักมวนนะ”
“สูบบุหรี่อะไรล่ะครับ ไปเก็บของก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยออกไปสูบข้างนอกก็ได้ ผมรู้สึกว่าอยู่ในวิทยาลัยนี่แล้วกดดันเป็นบ้าเลย!”
ซ่งจื่อเซวียนเดินต่อไปข้างหน้า
รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านเป้ยเล่อยังคงอยู่ เขาเดินไปข้างหน้า และวางแขนบนบ่าของซ่งจื่อเซวียน
“ฉันว่านะสหาย บางทีไม่ต้องใจร้อนไปซะทุกเรื่องหรอก กลับไปสูบบุหรี่คุยกับสักพักหนึ่ง บางที…อาจจะต้องกลับไปเรียนอีกก็ได้”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นถึงกับผงะ “หา? หมายความว่าไงครับ”
“ฮ่าๆๆ ลองคิดดูสิ เขาบอกว่าไล่ออกก็ออกได้จริงๆ เหรอ ตอนนี้วิทยาลัยอาหารกำลังไปได้สวย ยังขาดคนสอนอยู่เลย”
“เขาไล่พวกเราออกแล้ว จะอยู่เงียบๆ ไม่คุยกับหัวหน้าเขาได้เหรอครับ ตลกแล้ว!”
“ไปเถอะๆ กลับไปสูบบุหรี่สิบหยวนของนายดีกว่า!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เขามักจะซื้อบุหรี่ซองละสิบหยวนตลอด ส่วนท่านเป้ยเล่อปกติสูบบุหรี่ซองละร้อยหยวน
แต่หลังจากเข้ามาที่วิทยาลัยแล้ว ท่านเป้ยเล่อก็เอาแต่สูบบุหรี่ของซ่งจื่อเซวียน บอกว่าราคาถูกดี
ในห้องบรรยาย
โหยวไท่เริ่มการสอน คาบนี้เป็นวิชาทฤษฎีการทำอาหาร
แม้ว่าโหยวไท่จะดูหยาบกระด้าง เหมือนพวกผู้มีอิทธิพล แต่ทฤษฎีแน่นปึ้ก เวลาสอนปฏิบัติก็เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นอาจารย์อาวุโสของวิทยาลัย
เหล่านักเรียนต่างจดบันทึกอย่างตั้งใจ
อย่างที่โหยวไท่บอก การประเมินผู้สอนครั้งสุดท้ายแบ่งออกเป็นสามส่วน
ส่วนที่หนึ่งคือการสอบข้อเขียนความรู้ในเชิงทฤษฎี
ส่วนที่สองคือการปรุงอาหาร ซึ่งจะให้คะแนนโดยอาจารย์ผู้ฝึกอบรม ใช้เกณฑ์ของวิทยาลัยเป็นตัวตัดสิน
ส่วนสุดท้ายคือคะแนนความประพฤติระหว่างฝึกอบรม รวมไปถึงทัศนคติในการเรียนรู้ การเข้าอบรม เป็นต้น
เมื่อรู้อย่างนี้ เหล่าเด็กบ้านรวยทั้งหลายต่างสำรวมอาการขึ้นมาก ตอนนี้พวกเขาต่างตั้งใจจด ตั้งใจฟังเต็มที่
มีเพียงหวังเหลียงจงที่แทบจะฟังไม่เข้าหัว สมองของเขาคิดแต่เรื่องของท่านเป้ยเล่อและซ่งจื่อเซวียน
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาที่เมื่อครู่ไม่ได้ช่วยพวกเขาไว้
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะควบคุมได้ เพราะทั้งสองคนก็ถูกไล่ออกไปแล้ว ถ้าเขาเสนอหน้า เกรงว่าเขาจะโดนถีบหัวส่งไปอีกคน
คิดๆ แล้ว…ตอนนี้พวกเขาน่าจะกำลังเก็บข้าวของกลับไปแล้วล่ะมั้ง
คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ตัดสินใจว่าหลังเลิกเรียนแล้วจะแวะไปดูสักหน่อย หากไปทันจะได้ร่ำลากัน
ถ้าไปไม่ทัน…ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาแล้ว ว่าต่อไปจะได้เจอกันอีกหรือไม่
แม้ว่าหวังเหลียงจงจะเป็นคนมีฐานะ แต่ที่จริงแล้วไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไร คนที่ประจบสอพลอเขาทุกวัน เขาก็ไม่ได้สนใจนัก
ดังนั้นเขาจึงถือว่าท่านเป้ยเล่อและซ่งจื่อเซวียนเป็นเพื่อนของเขา
อาคารหลัก สำนักบริหาร
ในห้องทำงานของผู้อำนวยการวิทยาลัย เฉิงหวาลี่หยิบเอกสารตรงหน้าขึ้นมาดู และส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้
เป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยมาหลายปี เขายังไม่เคยเห็นผู้เข้าร่วมอบรมอาจารย์ต่อยตีกับอาจารย์อาวุโสเลย
ยิ่งไปกว่านั้น…อาจารย์อาวุโสที่ว่ายังเป็นโหยวไท่อีกต่างหาก
นี่เป็นบุคคลที่แม้แต่รองผู้อำนวยการยังให้ความเคารพ
เพราะความเป็นมืออาชีพและภูมิหลังของโหยวไท่ เขาเคยเป็นถึงตัวแทนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอาหารจีน-ตะวันตกทีเดียว
“ซ่งจื่อเซวียน ซูหมิง…”
เฉิงหวาลี่พึมพำกับตัวเอง แล้วลงชื่อในเอกสารคำร้อง
ทว่าในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังถี่ๆ
“เข้ามา!”
เฉิงหวาลี่พูด ประตูถูกผลักเข้ามา คนที่เดินเข้ามาคือวังเหว่ย
“ผอ.ครับ…”
“หืม? วังเหว่ย คุณเองเหรอ มีเรื่องอะไร”
วังเหว่ยพยักหน้าอย่างแรง “ผอ.ครับ ผอ.หลิน…มาขอให้ไล่สองคนนั้นออกใช่ไหมครับ”
“หึๆ ใช่ ทำไมล่ะ”
“คุณอย่าพวกเขาไล่ออกเลย…ได้ไหมครับ” วังเหว่ยพูดตรงเข้าประเด็น
“หืม? ก็แค่นักเรียนฝึกอบรมเท่านั้นเองนี่ ไม่ใช่อาจารย์ของเรา ทำไมคุณต้องเดือดร้อนด้วย”
เฉิงหวาลี่กล่าว
“คือว่า…”
วังเหว่ยก้าวเข้าไปใกล้ขึ้น สายตามองไปยังเอกสารคำร้องที่มีเนื้อหาขอให้ไล่ซ่งจื่อเซวียนและท่านเป้ยเล่อออก
เขาชี้ไปที่ชื่อของซูหมิงบนแผ่นกระดาษ “ผอ.รู้ไหมครับ…ว่าซูหมิงคนนี้เป็นใคร”
“คุณรู้จักเขาเหรอ” เฉิงหวาลี่ถาม
“แน่นอนครับ ผอ.เองก็รู้จักเขาเหมือนกัน”
“อะไรนะ”
วังเหว่ยกล่าวยิ้มๆ “คุณน่าจะรู้จักท่านเป้ยเล่อแห่งปักกิ่งใช่ไหมครับ”
“ท่านเป้ยเล่อ?” เฉิงหวาลี่ครุ่นคิดแล้วพยักหน้าทันที “เขาเป็นคนหนุ่มที่มีศักยภาพสูงทีเดียว ทำไมล่ะ…เขามาสมัครสอบเหรอ”
เฉิงหวาลี่ปีนี้อายุเจ็ดสิบปีแล้ว ในสายตาของเขา ถือเป็นคนไม่กี่คนที่มีความสามารถเทียบเท่าท่านเป้ยเล่อ
“เพราะงานวิจัย ‘บันทึกหย่งซั่น’ ครั้งนี้ เขาเป็นคนที่ผมเชิญมาเป็นพิเศษครับ”
เฉิงหวาลี่อ้าปากค้าง ก่อนจะมองเอกสารคำร้องอีกครั้ง “แล้วซ่งจื่อเซวียนล่ะ”
“หึๆ ผอ.ครับ ผมรับประกันได้เลยว่าคนคนนี้มีความสามารถมากแน่นอน!”
“มากขนาดไหน” เฉิงหวาลี่ถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“แน่นอนว่ามากถึงขั้นที่เป็นอาจารย์ได้ครับ!”
…………………………………………………
…………….