เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 395 ต้นยี่หร่าเก้าเซียน
ตอนที่ 395 ต้นยี่หร่าเก้าเซียน
…………….
อันที่จริงคนคนนี้ซ่งจื่อเซวียนและท่านเป้ยเล่อก็รู้จัก
เขาเป็นสมาชิกคลาสฝึกอบรมอาจารย์ในครั้งนี้เหมือนกัน
แต่เนื่องจากตอนที่อยู่ในห้องบรรยาย อีกฝ่ายดูถ่อมตัวเป็นอย่างมากจึงไม่เป็นที่สะดุดตา
ต่อมาตอนที่หลิวหย่งต่อยคนที่สนามกีฬา คนคนนี้ก็ไม่ได้เข้าไปมุงดูอยู่ในฝูงชน
ซ่งจื่อเซวียนกับท่านเป้ยเล่อกระทั่งไม่รู้ชื่อของเขา แต่รู้ว่าเขาอยู่ในคาบโฮมรูม นั่งอยู่แถวหลังสุดโดยไม่พูดอะไร
“ใครเห็นก่อนเป็นของคนนั้นงั้นเหรอ เหอะๆ กฎนี้…นายเป็นคนตั้งเองใช่ไหม” คนคนนั้นแค่นหัวเราะใส่
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้าทันที “ถูกต้อง ไม่พอใจ…ก็ลองดูได้!”
เทียบกันแล้ว ท่านเป้ยเล่อชอบทำอะไรโอ้อวดมากกว่าซ่งจื่อเซวียน
ในย่านปักกิ่ง เขาเป็นบุคคลที่แม้แต่เจ้าพ่อในวงการใต้ดินก็ไม่กล้าหาเรื่อง แล้วทำไมต้องถ่อมตัวด้วยล่ะ
คนคนนั้นหัวเราะเบาๆ “เอาสิ ดูท่า…ไม่ลงไม้ลงมือคงไม่ได้แล้ว”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องพูดไร้สาระอีก!”
พูดจบ ท่านเป้ยเล่อก็ยื่นมือไปจับต้นยี่หร่าเก้าเซียน วินาทีที่คนคนนั้นขยับ ถึงได้รู้ว่าถูกท่านเป้ยเล่อหลอกเสียแล้ว
ส่วนจุดประสงค์ที่แท้จริงคือเปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นกำหมัดโจมตีไปที่ใบหน้าของเขา
คนคนนั้นตอบสนองได้เร็วเช่นกัน พลันเบี่ยงศีรษะหลบการโจมตีของท่านเป้ยเล่อในทันใด
ต่อจากนั้นท่านเป้ยเล่อก็เข้าประชิดตัวอีกครั้ง และเริ่มสู้กับคนคนนั้นทันที
เห็นดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงพูดขึ้นว่า “รุ่ยจื่อ ช่วยหน่อย!”
“ไม่ต้อง ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง!”
ท่านเป้ยเล่อกลับดื้อรั้น ปฏิเสธน้ำใจของซ่งจื่อเซวียนไป ชั่วขณะนั้น ต้าเหมาก็ไม่ขยับเช่นกัน
เขาอยู่กับท่านเป้ยเล่อมาตลอด นับว่ารู้จักนิสัยของท่านเป้ยเล่อ อีกฝ่ายบอกว่าไม่ต้องช่วย ถ้าเข้าไปช่วย…จะโดนตำหนิเอาแทน
ระหว่างที่ทั้งสองคนประจันหน้ากัน จู่ๆ ท่านเป้ยเล่อก็พบว่าตนประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป
ท่านเป้ยเล่อแทบจะไม่เคยลงไม้ลงมือในปักกิ่งมาก่อน ไม่ว่าตอนไหนก็จะให้ต้าเหมาสู้ตลอด อย่างไรสถานะของตัวเองก็ชัดเจน
แต่ตอนที่ต่อยกับลูกน้องของหลิวหย่งก่อนหน้านี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ได้เห็นความสามารถของท่านเป้ยเล่อแล้ว
เขาสามารถล้มอีกฝ่ายได้สบายๆ ถึงแม้จะไม่ใช่ยอดฝีมืออย่างฟางรุ่ย แต่ก็มีศักยภาพแบบคนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างแน่นอน
แต่ในวินาทีนี้ ท่านเป้ยเล่อกลับยากที่จะจัดการได้อย่างราบรื่นเหมือนครั้งที่แล้ว
อีกฝ่ายสามารถหลบหลีกการโจมตีของท่านเป้ยเล่อได้ทุกครั้ง ถึงแม้จะไม่เสียเปรียบ แต่ก็ไม่ได้เปรียบมากนัก
และถึงแม้การโจมตีของคนคนนั้นจะคล่องแคล่วเป็นอย่างยิ่ง แต่ท่านเป้ยเล่อก็หลบได้ทุกครั้ง
ชั่วขณะนั้น ทั้งสองคนก็ยืนประจันหน้าอยู่อย่างนั้น
และยังต่อยกันเป็นพัลวันอยู่แบบนั้นประมาณสิบนาทีเต็ม ถึงแม้จะไม่รู้ว่าใครแพ้ชนะ แต่ทั้งสองคนสูญเสียพลังไปเยอะแล้ว
เห็นดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงเอ่ยว่า “ไม่ได้การ จะปล่อยเอาไว้ไม่ได้แล้ว ไม่งั้นต้นยี่หร่าเก้าเซียนอาจจะเสียหาย”
“นายท่านรอง ผมเข้าไปเอง!”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ระวังอย่าทำดอกไม้เละล่ะ”
พอสิ้นเสียง ฟางรุ่ยก็พุ่งออกไปประหนึ่งลูกศรอันแหลมคม
ความเร็วนั่น…อยู่เหนือระดับความเร็วของท่านเป้ยเล่อกับคู่ต่อสู้ขึ้นไปอีกหนึ่งขึ้น
ฟึบ!
ความเร็วเหมือนดั่งลมพัดผ่าน และเห็นเพียงคู่ต่อสู้เดินโซซัดโซเซ ล้มหงายไปข้างหลังทันที
และในเวลาเดียวกัน ฟางรุ่ยได้บีบข้อมือของเขา เพราะความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้เขาต้องปล่อยมือ
ต้นยี่หร่าเก้าเซียนร่วงลงมาเช่นกัน วินาทีที่ร่วงลงพื้น ฟางรุ่ยจับกิ่งดอกไม้ที่มีหนามด้วยมือข้างหนึ่งไว้
ท่านเป้ยเล่อตกตะลึง เขารู้ว่าบอดี้การ์ดของซ่งจื่อเซวียนคนนี้ฝีมือไม่ธรรมดา แต่ไม่รู้ว่า…จะต่างกันมากขนาดนี้
แม้แต่ต้าเหมาก็ยังไม่มีทักษะขนาดนี้
ส่วนต้าเหมาที่พอมีทักษะเหมือนกันได้เห็นฉากนี้แล้ว เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน
เขาเบิกตาโตทั้งสองข้าง ตะโกนขึ้นว่า “เก่งมากรุ่ยจื่อ!”
ท่านเป้ยเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพราะการต่อสู้อันดุเดือดที่กินเวลาติดต่อกันกว่าสิบนาทีทำให้เขาหมดแรงทันที
และในขณะเดียวกัน คู่ต่อสู้ที่ล้มหงายอยู่บนพื้นดูเหมือนจะโล่งใจในท้ายที่สุด
ถึงแม้ต้นยี่หร่าเก้าเซียนจะถูกแย่งไป แต่อย่างน้อยก็ไม่กังวลเท่าเดิมแล้ว
เขามองไปยังฟางรุ่ยทันที “ยอดฝีมือ ไม่เห็นนายตอนโฮมรูมเลยนี่”
ฟางรุ่ยเหลือบตามองเขาหนึ่งที ไม่สนใจ ทำเพียงเดินไปหาซ่งจื่อเซวียนอย่างเดียว
ตอนที่เห็นเขาวางต้นยี่หร่าเก้าเซียนบนมือของซ่งจื่อเซวียน คนคนนั้นจึงพยักหน้า “เหอะๆ มีผู้ช่วยแบบนี้ นายโชคดีจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนมองเขาอย่างเรียบเฉย “ไม่ใช่ผู้ช่วยสักหน่อย เพื่อนต่างหาก เขามาช่วยฉัน”
“เป็นอะไรไม่สำคัญ แต่ว่า…ต้นยี่หร่าเก้าเซียนนี้นายเอากลับไปได้ใช้ประโยชน์แน่นอน”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “แค่ชอบของดีเท่านั้น ไม่ได้ใช้อะไรหรอก”
ได้ยินดังนั้น คนคนนั้นก็อึ้งไป เผยสีหน้าไม่พอใจออกมา
จากนั้น เขาก็ลุกขึ้นปัดดินบนร่างกายของตน “ถ้านายไม่ใช้มัน ระวังฉันจะไปทวงคืนจากนายแล้วกัน”
“เหอะๆ อย่างนายเนี่ยนะ”
คนคนนั้นยักไหล่ “อืม ฉันเนี่ยแหละ ฉันหยางจวิ้นเย่มีนิสัยเวลาทำอะไรบางอย่าง พูดแล้วก็ต้องทำจริง!”
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้ม พยักหน้าเบาๆ “หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”
จากนั้น หยางจวิ้นเย่ก็มองท่านเป้ยเล่ออีกครั้ง “นายก็ฝีมือไม่เลว แต่…ถ้าไม่มีเขามาช่วย นายก็เอาชนะฉันไม่ได้หรอก”
“เหอะๆ ฉันแค่อยากช่วยเขาเอาต้นยี่หร่าเก้าเซียนกลับมาเท่านั้น ใครเขาจะสนใจขั้นตอนล่ะ”
หยางจวิ้นเย่ฟังแล้วหน้าบึ้งทันที แต่สุดท้ายก็พยักหน้า “โอเค ทางใครทางมัน หวังว่าจะไม่เจอกันอีก!”
พอพูดจบ เขาก็หันตัววิ่งออกไปจากป่า
มองตามทิศทางที่เขาหายตัวไป ท่านเป้ยเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย “จื่อเซวียน สงสัย…ครั้งนี้พวกเราจะมีศัตรูแล้ว”
“อืม ดูมีศักยภาพมากจริงๆ ไม่เพียงแต่มีทักษะฝีมือดีเท่านั้น แต่คนที่รู้จักต้นยี่หร่าเก้าเซียน นับว่าไม่ธรรมดาในวงการอาหารแน่นอน” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ท่านเป้ยเล่อพ่นลมหายใจออกมา “จื่อเซวียน นายบอกหน่อยว่าต้นยี่หร่าเก้าเซียนเป็นอะไรกันแน่ ฉันแค่เคยได้ยินมาบ้างเท่านั้น”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ ยกต้นยี่หร่าเก้าเซียนที่อยู่ในมือขึ้นมามอง
“อันที่จริงก็แค่ดอกไม้ธรรมดาดอกหนึ่ง ทำเป็นยาได้ แต่ใช้ในปริมาณที่น้อยแบบมากๆ
ส่วนสรรพคุณของมัน…ถ้าใช้ต้นของมันชงน้ำดื่ม สามารถช่วยระงับจิตใจ ช่วยให้นอนหลับ ปรับระบบการเผาผลาญ
ดอกของมันใช้ทำยาช่วยขับความหนาวเย็นออกจากร่างกาย ช่วยขับความชื้น และยังขับของเสียได้อีกด้วย”
ท่านเป้ยเล่อฟังแล้วก็พยักหน้าช้าๆ “นับว่าไม่เลว แต่สรรพคุณพวกนี้ก็มียาตัวอื่นที่ทดแทนได้ไม่ใช่เหรอ”
“ถูกต้องครับ พวกโสมไซบีเรียหรือลูกเดือยใช้แทนกันได้ แต่…มันก็มีความยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งอยู่”
“หืม”
“เหอะๆ ต้นยี่หร่าเก้าเซียนช่วยเร่งการเติบโตของถั่วปากอ้าภูเขา เพราะงั้นที่พวกเราเห็นมันในจุดที่มีถั่วปากอ้าภูเขาก็สามารถอธิบายได้แล้ว”
“อะไรนะ หลักการอะไรเนี่ย”
“ดูเหมือนจะไม่มีการอธิบายที่เหมาะสม แต่จุดที่มีต้นยี่หร่าเก้าเซียนจะทำให้ถั่วปากอ้าภูเขาเติบโตจริงๆ
และถั่วปากอ้าภูเขาก็เป็นเครื่องปรุงรสที่เยี่ยมยอด ถ้ามีต้นยี่หร่าเก้าเซียน ก็ลองปลูกด้วยตัวเองได้!”
คำพูดของซ่งจื่อเซวียนแฝงความตื่นเต้นไว้อย่างเห็นได้ชัด
“กลับถึงหอพัก พวกเราก็หาวิธีเอาต้นยี่หร่าเก้าเซียนฝังลงดินก่อน พอมีโอกาสค่อยเอากลับไปอีก ผมจะหาวิธีปลูกถั่วปากอ้าภูเขาให้ได้”
ท่านเป้ยเล่อทำสีหน้าตกใจ “ไอ้ตัวดี ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ครั้งนี้พวกเรารวยแล้ว แต่พวกเราตกลงกันก่อน ใครเห็นคนนั้นก็มีส่วนแบ่ง ไม่ฮุบไว้คนเดียวนะ”
“เหอะๆ คิดอะไรกัน ขอแค่มีเงื่อนไขการปลูกที่ดี ผมก็บดถั่วปากอ้าภูเขาเป็นผงแล้วเอามาให้คุณได้ครับ”
“เยี่ยมมาก มีคุณธรรม ฮ่าๆๆ”
จากนั้น พวกเขาก็เดินวนอยู่ในป่าอีกครั้ง แต่ไม่เจออะไรแปลกใหม่ไปมากกว่านี้
ซ่งจื่อเซวียนได้เก็บสมุนไพรที่พบเห็นเป็นประจำมาจำนวนหนึ่ง และยังเป็นประเภทที่ใช้ตอนทำอาหารได้
ออกมาจากป่าผืนเล็ก เดินลึกเข้าไปอีกก็พบกับสัตว์ป่าที่ออกมาหากินตอนกลางคืน
ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ป่าที่ไม่ได้ใช้เป็นวัตถุดิบอาหาร ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่สนใจ
จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าตาข่ายไฟฟ้า ซ่งจื่อเซวียนมองเข้าไปข้างใน “ตาข่ายไฟฟ้านี้…น่าจะเป็นเขตสัตว์ป่าที่อยู่ลึกสุดใช่ไหม”
“อืม ถ้าไม่ผิดจากที่คาดไว้ อาจจะมีสัตว์ป่าที่ดุร้ายบางส่วน ทางวิทยาลัยถึงได้สร้างตาข่ายไฟฟ้าขึ้นมา”
ต้าเหมาที่อยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “ท่านเป้ยเล่อ ตรงนี้น่าจะเป็นสุดเขตแดนของวิทยาลัยแล้วนะครับ ตาข่ายไฟฟ้าอันนี้พูดง่ายๆ ก็คือกำแพงชั้นสุดท้าย”
คำพูดของต้าเหมาทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีเหตุผล แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับส่ายหน้ายิ้ม
“ไม่ใช่หรอก ดูตรงนั้นสิ มีแสงไฟ แสดงว่ามีป้อมยามรักษาการณ์ ถ้าไม่มีอะไรผิดคาด เขตแดนของวิทยาลัยน่าจะอยู่ไกลกว่านี้ หรือไม่ก็…ด้านที่หันหน้าเข้าภูเขาก็ไม่มีเขตแดนเลย”
ท่านเป้ยเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่ายังไง”
“ถ้าเป็นพื้นที่สัตว์ป่าอย่างเดียว สัตว์เลี้ยงตรงนั้นก็ต้องเผชิญกับอันตรายยิ่งขึ้น โดยปกติพวกมันจะต้องระวังตัวมากขึ้นและวิ่งไปมาเพื่อรับประกันความอยู่รอด”
“เหอะๆ ความหมายของนายคือ คุณภาพของเนื้อสามารถบรรลุถึงขั้นคุณภาพที่ยอดเยี่ยมได้งั้นเหรอ” ท่านเป้ยเล่อยิ้ม
“ถูกต้อง หลักการนี้แหละ หลักการปล่อยหนึ่งพันเพื่อหนึ่งร้อยคุณน่าจะเข้าใจ”
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้าช้าๆ “สัตว์เลี้ยงแบบนี้พวกเราไม่ค่อยได้ใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ดูท่าที่วิทยาลัยแห่งนี้จะมียอดฝีมืออยู่ไม่น้อย ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วัตถุดิบพวกนี้จริง!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางๆ ตบไหล่ของท่านเป้ยเล่อ เอ่ยว่า “สักวันหนึ่ง พวกเราจะได้ใช้แน่นอน”
“ใช่แล้ว แต่ยังต้องเรียนรู้เมนูอาหารอีกเยอะในวิทยาลัยแห่งนี้ถึงจะได้ใช้มัน”
“เหอะๆ สงสัยวิทยาลัยอาหารแห่งนี้สำหรับพวกเราแล้ว…อาจจะไม่ได้มีแค่เรื่อง ‘บันทึกหย่งชั่น’ ก็ได้”
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็แอบรู้สึกว่า ‘ตำราอาหารราชวงศ์ชิง’ ของท่านผู้เฒ่าสุดยอดจริงๆ
ไม่เพียงแต่มีเมนูเหล่านั้นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ยังมีวิธีการปรุงอาหารที่หลากหลายและความรู้รอบตัวอีกมากมาย
จากนั้น พวกเขาจึงเริ่มเดินกลับ
ซ่งจื่อเซวียนวิเคราะห์ว่า รอบนอกของป่าแห่งนี้เป็นสวนพืชสมุนไพรและคอกสัตว์เลี้ยงที่ทางวิทยาลัยสร้างขึ้น
และพื้นที่ตรงกลาง ก็คือพื้นที่ของสัตว์ป่าจำนวนหนึ่ง
ครั้งนี้พวกเขาแค่เดินเข้าไปในพื้นที่ป่าขนาดเล็ก ในภูเขายังมีอีกหลายจุดที่ไม่ได้เข้าไป
แต่ตอนนี้ใกล้เวลาฟ้าสางแล้ว พวกเขาจึงไม่มีทางอื่น เพราะวิชาเรียนของวันถัดไปกำลังจะเริ่มขึ้น
กลับไปกินข้าวเช้าจากนั้นไปเข้าคลาสฝึกอบรมต่อ เวลากำลังเหมาะเจาะพอดี
ส่วนพื้นที่ป่าที่อยู่ส่วนลึกที่สุดนั้น…
ซ่งจื่อเซวียนกลับรู้สึกสนใจอยู่บ้าง อย่างแรกคืออยากจะดูว่าคุณภาพเนื้อของสัตว์ที่เลี้ยงอยู่ในพื้นที่ป่าจะอยู่ในระดับไหน
อย่างที่สอง…เขาอยากรู้ว่าในพื้นที่นี้ จะยังมีสิ่งแปลกใหม่อะไรสามารถนำมาทำอาหารได้บ้าง
เหมือนอย่างต้นยี่หร่าเก้าเซียน เจ้าสิ่งนี้เกรงว่าจะพบเห็นตามท้องตลาดได้ยาก
แต่ทางบนภูเขาก็เป็นแบบนี้ ถึงแม้ระยะทางไปกลับจะเหมือนกัน แต่ความเร็วของการเดินเท้ากลับต่างกัน
บวกกับไม่คุ้นชินเส้นทาง เดินมาหลายทางแยกแล้ว พวกเขาเดินมาสามชั่วโมงก็ยังไม่ถึงจุดเดิมเสียที
ตอนนี้เห็นว่าท้องฟ้าใกล้สว่างแล้ว พวกซ่งจื่อเซวียนเริ่มร้อนใจอยู่บ้าง เพราะหากออกจากพื้นที่ต้องห้ามตอนกลางวัน…
เกรงว่าจะมีคนพบเห็น
เพิ่งเข้าวิทยาลัยยังไม่ทันได้ฝึกอบรมก็ทำผิดกฎเสียแล้ว แบบนั้นคงจบเห่
ซ่งจื่อเซวียนจำได้ว่า มีกฎระเบียบข้อหนึ่งของวิทยาลัย ระบุไว้ว่าหากไม่ได้รับอนุญาตจากระดับผู้อำนวยการ จะไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ป่าโดยพลการได้อย่างเด็ดขาด
………………………………………
…………….