เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 392 แอบเข้าไป
ตอนที่ 392 แอบเข้าไป
…………….
ท่านเป้ยเล่อพูดเช่นนี้ คนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ก็อึ้งกันไป
คนที่มาสมัครเป็นอาจารย์เหล่านี้ไม่ใช่คนปักกิ่งทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่เคยได้ยินชื่อของท่านเป้ยเล่อมาก่อนและยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเคยเจอตัวจริงมาก่อน
แต่ถึงแม้หลิวหย่งจะเป็นคนปักกิ่ง ก็ไม่รู้จักคนที่อยู่ตรงหน้าเหมือนกัน
เพราะระดับสูงไม่ถึง ไม่รู้จักคนระดับนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก
ทว่าเวลานี้หากมีคนเอ่ยชื่อของท่านเป้ยเล่อ เกรงว่าคงไม่วางตัวโอหังอีกเด็ดขาด
“รับไม่ไหวงั้นเหรอ ฮ่าๆๆๆ ไอ้หนุ่ม สงสัยนายจะเป็นคนปักกิ่งเหมือนกัน แต่ว่าอาจจะไม่รู้จักฉันมั้ง”
ท่านเป้ยเล่อพลันยิ้ม “ไม่รู้จักแน่นอน แต่ฉันไม่อยากมีเรื่อง นายอย่าเหยียบย่ำเขาอีกก็พอแล้ว”
“ให้ตาย นายอยากยุ่งเรื่องของคนอื่นงั้นเหรอ”
“อืม…อยากยุ่งนิดหน่อย”
หลิวหย่งฟังแล้วก็พยักหน้าเบาๆ “ได้เลย คิดไม่ถึงว่าจะเจอคนปักกิ่งที่อยากมีเรื่องกับฉัน”
“ฮ่าๆๆ ทั่วทั้งปักกิ่งไม่มีใครกล้าสู้กับนายงั้นเหรอ พี่ชาย นายพูดโม้เกินไปหรือเปล่า” ท่านเป้ยเล่อเอ่ยยิ้มๆ
หลิวหย่งพิจารณามองท่านเป้ยเล่อหนึ่งครั้ง ท่าทางและการพูดจาไม่ธรรมดาจริงๆ แต่เขาทำตัวหยิ่งยโสจนชินแล้ว
ในย่านของพวกเขา ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับเขาจริงๆ ถึงแม้จะมีนักเลงเด็กๆ หน้าประตู แต่พอเจอเขาก็ยังต้องก้มหัวเรียกว่าพี่หย่ง
“ฉันดูแล้วนายคงไม่ค่อยมีความรู้อะไร เหอะๆ เขาอนุญาตให้พาผู้ติดตามมาที่วิทยาลัยได้นายไม่รู้เหรอ ผู้ติดตามของนายล่ะ”
หลิวหย่งแสร้งทำเป็นมองไปรอบๆ “ไม่ใช่หรอกมั้ง แต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีลูกน้อง แกจะมาทำตัวโอ้อวดกับข้าทำไม”
ท่านเป้ยเล่อพูดพลางยิ้มเล็กน้อย “เอาลูกน้องมาด้วยทำไมล่ะ”
“ทำไมน่ะเหรอ ถือกระเป๋า ถือน้ำ ถือเสื้อผ้า และยังต่อยคนได้เวลาสำคัญๆ ไง!”
“ต่อยคนเหรอ” ท่านเป้ยเล่อมองผู้ช่วยของหลิวหย่ง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เขาคนเดียวเนี่ยนะ เงินเดือนคงจะหมื่นสองหมื่นเท่านั้นใช่ไหม”
หลิวหย่งชะงักไปเพราะประโยคนี้ เขาจ้างบอดี้การ์ดคนนี้ในราคาไม่แพงก็จริง แปดพันหยวนต่อเดือน ไม่ถึงหนึ่งหมื่นหยวน…
“แม่ง พูดจาไม่กลัวลิ้นขาด เงินเท่าไรก็ต่อยได้โว้ย โก่วจื่อ จัดการ!”
สิ้นเสียงของหลิวหย่ง โก่วจื่อก็ยกเท้าพุ่งเข้าหาท่านเป้ยเล่อ
ซ่งจื่อเซวียนตกใจ คิดในใจว่าแย่แล้ว ตอนนี้ฟางรุ่ยกับต้าเหมายังอยู่ในหอพัก เกรงว่าท่านเป้ยเล่อจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
หากพูดถึงเรื่องเตะต่อย ซ่งจื่อเซวียนพอไหว แต่เห็นน้องชายชอบรังแกคนนี้จะไม่ยุ่งก็ไม่ได้
แต่เขายังไม่ทันลงมือ ก็เห็นหวังเหลียงจงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “โหวเลี่ยง จัดการ!”
หวังเหลียงจงพูดจบ ผู้ช่วยของเขาก็พุ่งเข้าไปอยู่ระหว่างท่านเป้ยเล่อกับโก่วจื่อคนนั้นทันที
“คุณชาย จัดการใคร!”
ท่านเป้ยเล่อมองหวังเหลียงจง ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ใช้ได้ นายมีคุณธรรมมากพอ แต่…ฉันไม่ชอบให้คนอื่นช่วยเหลือ!”
พูดจบ ท่านเป้ยเล่อก็ใช้มือหนึ่งผลักโหวเลี่ยงออกไปก่อน จากนั้นง้างมือฟาดไปที่โก่วจื่อทันที
การเคลื่อนไหวของท่านเป้ยเล่อเร็วและเบามาก ไม่มีการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นแต่อย่างใด ฝ่ามือตบลงบนใบหน้าของโก่วจื่อทันที
และสิ่งที่ชวนให้ตกใจคือ ดูเป็นการตบหน้ามั่วๆ เท่านั้น แต่กลับตบจนโก่วจื่อลอยขึ้นไปกลางอากาศ
หลังจากตกลงบนพื้นอย่างแรง โก่วจื่อก็มีสีหน้าเจ็บปวดทรมาน ดูเหมือนไม่มีแรงที่จะยันตัวขึ้นมา
ทุกคนล้วนตกใจ ซ่งจื่อเซวียนก็ตกตะลึงเช่นกัน ที่แท้ท่านเป้ยเล่อ…ก็มีฝีมือที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้
ดูคล้ายกับฟางรุ่ย…
หลิวหย่งคนนั้นยิ่งงงเข้าไปอีก
“แก…”
ท่านเป้ยเล่อเข้าไปใกล้ก่อนจะหัวเราะใส่ “เหอะๆ นายคิดว่าฉันจำเป็นต้องพาลูกน้องมาด้วยไหม”
หลิวหย่งกลืนน้ำลายแห้ง ความหวาดกลัวและความลนลานอยู่เต็มดวงตาคู่นั้น เขาค่อยๆ ก้าวถอยหลัง “นาย…นายอย่าเข้ามานะ”
“เหอะๆ ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันจะไม่ต่อยนาย ฉันแค่อยากบอกนายว่า อย่าใช้คำว่าคนปักกิ่ง มารังแกคนต่างถิ่นอีก”
ขณะพูด ท่านเป้ยเล่อยืนนิ่งแล้วมองไปรอบๆ “คนปักกิ่งไม่ทำเรื่องที่ขายหน้าแบบนี้!”
ชั่วขณะนั้น ความเงียบปกคลุมไปทั่วพื้นที่
ไม่มีใครกล้าพูด ไม่ใช่เพราะทักษะของท่านเป้ยเล่อที่เป็นที่ประจักษ์เมื่อครู่ แต่เป็นเพราะรัศมีอันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาขณะที่เขาพูด
แต่ความคิดของคนพวกนั้นอาจจะไม่เหมือนกัน
มีบางคนแอบชูนิ้วโป้ง ประโยคนี้ของท่านเป้ยเล่ออย่างน้อยที่สุดก็ได้พูดถึงความเที่ยงตรงของคนปักกิ่งแล้ว
แต่ก็มีบางคนพูดพึมพำ รู้สึกว่าท่านเป้ยเล่อเสแสร้งอวดดีอยู่บ้างเช่นกัน
หลิวหย่งมองซ้ายแลขวา ครั้งนี้ถือว่าเสียหน้าจริงๆ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเชิดหน้า
“นายคิดจะเอายังไง ถ้างั้นฉันชดใช้เงินได้ไหม”
“เหอะๆ เงิน…คนที่มาที่นี่คงไม่ขาดแคลนเงินกันหรอก แต่เรื่องนี้…”
ขณะพูด ท่านเป้ยเล่อเดินไปข้างหน้าแล้วประคองคนที่โดนต่อยขึ้นมา เอ่ยว่า “พี่ชาย นายชื่ออะไร”
“ผมชื่อลู่ปิน”
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้า “โอเค ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น เมื่อกี้เขาต่อยนายยังไง ตอนนี้ก็ต่อยกลับไปอย่างนั้นเลย!”
“หา?” ลู่ปินมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เห็นได้ชัดว่าไม่กล้าลงมือ
หลิวหย่งเห็นดังนั้นก็ฮึกเหิมขึ้นมา เอ่ยว่า “นายกล้าต่อยฉันก็ลองดู!”
ท่านเป้ยเล่อส่ายหน้าและหัวเราะ “เหอะๆ ไม่มีใครกล้าทำอะไรนายใช่ไหม”
“ถูกต้อง นายมันเก่งมาก ฉันสู้นายไม่ได้ แต่ฉันขอพูดไว้ก่อน วันนี้ใครกล้าแตะต้องฉัน ฉันกล้าเรียกคนมาปิดวิทยาลัยได้ นายอย่าคิดว่าจะไปไหนรอด!”
เพียะ!
หลิวหย่งเพิ่งจะพูดจบ ท่านเป้ยเล่อก็ตบเขาหนึ่งฉาด
เห็นได้ชัดว่าเขายั้งมือ หลิวหย่งไม่ได้ล้มกลิ้งไปเหมือนโก่วจื่อ
แต่กลับมีเลือดไหลที่มุมปาก
“ไอ้หนุ่ม แกแน่จริงใชไหม คอยดูเถอะ!”
หลิวหย่งพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ขณะเดียวกันก็เหมือนน้ำตาจะไหลแล้ว เพราะเขาก็เป็นทายาทเศรษฐี จะทนรับความน้อยเนื้อต่ำใจแบบนี้ได้อย่างไร
ท่านเป้ยเล่อก็ไม่รีบร้อนอะไร เงยหน้ารอเขาโทรศัพท์
แต่ในตอนนี้เอง สวี่ผิงก็เดินเข้ามา
เขามองผู้คนที่อยู่โดยรอบ แล้วจึงมองโก่วจื่อที่ล้มอยู่บนพื้นกับลู่ปินที่ตัวเปื้อนดิน ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พวกนายทำอะไรน่ะ”
หวังเหลียงจงเห็นดังนั้นเหมือนยกภูเขาออกจากอก โชคดีที่ท่านเป้ยเล่อเตะต่อยเก่ง ไม่อย่างนั้นหากเมื่อครู่โหวเลี่ยงลงมือด้วย ตนคงจะซวยอีกแน่
ท่านเป้ยเล่อยิ้มบางๆ “ผู้อำนวยการสวี่ ไม่มีอะไรครับ พวกเราทุกคนกำลังพูดถึงทักษะการทำอาหารอยู่ครับ!”
“ใช่ครับผู้อำนวยการสวี่ เมื่อกี้พวกเราเรียนจบแล้วแต่ยังติดใจในเนื้อหา ทุกคนเลยมาพูดคุยกันครับ!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดประสมโรงเช่นกัน
“พูดถึงทักษะการทำอาหาร มาคุยกันในสถานที่แบบนี้เหรอ คนมุงล้อมเหมือนกับอะไร แยกย้ายๆ อยากคุยก็กลับไปคุยกันที่หอพัก!”
สวี่ผิงพูดด้วยความเคร่งขรึม
“ได้เลยครับ ผู้อำนวยการ พวกเราจะแยกย้ายกันเดี๋ยวนี้”
พูดจบ ท่านเป้ยเล่อก็หันตัวเดินออกไป ส่วนซ่งจื่อเซวียนและหวังเหลียงจงก็ทยอยเดินตามหลังไป
สวี่ผิงรู้อยู่แล้วว่ามีเรื่องกันอยู่ตรงนี้ เพราะนักเรียนและอาจารย์ที่มาอยู่วิทยาลัยแห่งนี้ได้ล้วนมีฐานะทางครอบครัวที่ไม่เลว คนหนุ่มพวกนี้เป็นคนเลือดร้อน การมีเรื่องต่อยตีกันจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ทางวิทยาลัยไม่สามารถจัดการได้หมด เพราะไม่สามารถเข้าไปยุ่งเรื่องระดับชนชั้นได้ ทางวิทยาลัยสามารถแสร้งทำเป็นไม่เห็นถ้าแอบมีเรื่องกัน แต่คนมารวมตัวกันในสนามกีฬาเช่นนี้ สวี่ผิงไม่อนุญาตเด็ดขาด
ท่านเป้ยเล่อเดินไปพร้อมกับโทรหาต้าเหมา สั่งให้เขากับฟางรุ่ยออกมาด้วยกัน
ซ่งจื่อเซวียนหันไปมองแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเป้ยเล่อ คงไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ หลิวหย่งคนนั้นเหมือนจะเรียกคนมาจริงๆ เลยนะ”
ท่านเป้ยเล่อยิ้มให้ “แล้วแต่เขา เราไปกินหมูตุ๋นพะโล้กันเถอะ!”
ต้าเหมากับฟางรุ่ยไวมาก ไม่ถึงสามนาทีก็วิ่งจากหอพักมาที่หน้าประตูวิทยาลัย แทบจะมาถึงพร้อมกับพวกซ่งจื่อเซวียน
พวกเขาเดินข้ามถนนตามท่านเป้ยเล่อ เข้าไปในซอยเล็กๆ สุดซอยนี้มีร้านหมูพะโล้แห่งหนึ่งอยู่
“ร้านนี้เปิดมาสี่สิบกว่าปีแล้ว เถ้าแก่สองรุ่น รสชาติดั้งเดิม ต้องต่อแถวทุกวัน”
“เหอะๆ พวกเราไปแล้วจะมีที่นั่งไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“วางใจได้ เถ้าแก่สนิทกับฉัน มีแน่นอน!”
พูดจบ ท่านเป้ยเล่อก็รีบเดิน ราวกับอดทนรอที่จะได้กินหมูตุ๋นพะโล้ร้อนๆ สักชามไม่ไหวแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนกลับยิ้มออกมา ไอ้หมอนี่…อาหารชั้นเลิศหายากอะไรก็เคยกินมาหมดแล้ว ทำไมถึงดูไม่ได้เรื่องขนาดนี้
ในไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงร้าน
ร้านแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก มีพื้นที่ห้าสิบหกสิบตารางเมตรเท่านั้น
โต๊ะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้านั่งได้สี่คนวางอยู่เจ็ดแปดตัว ดูแน่นขนัดอย่างเห็นได้ชัด
เห็นคนนับสิบคนถือบัตรคิวต่อแถวอยู่หน้าประตูร้าน ซ่งจื่อเซวียนก็รู้ว่าร้านแห่งนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ท่านเป้ยเล่อเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ทันที เคาะพื้นกระจกพร้อมกับยิ้ม “ผมขอสักหน่อยสิ”
เถ้าแก่เป็นชายชราอายุหกสิบกว่าปีแล้ว เงยหน้ามองด้วยใบหน้ารำคาญใจ
เพราะอาหารขายดีมาก และกำลังคิดบัญชีอยู่ พอมีคนเข้ามาพูด จึงรำคาญอยู่ไม่มากก็น้อย
แต่พอเห็นว่าเป็นท่านเป้ยเล่อ รอยยิ้มกลับล้นออกมาจากใบหน้าของชายชราทันที
“เอ้า คุณมาหรอกเรอะ ฮ่าๆๆ ลูกค้านานๆ มาที จะรับกี่ชามล่ะ”
ท่านเป้ยเล่อหันไปนับจำนวนคน แล้วเอ่ยว่า “หกชามครับ ขอแบบพิเศษ”
“ฮ่าๆๆ ได้เลย เดี๋ยวจัดให้!”
“แหะๆ ไม่มีที่นั่งแล้วเหรอครับ”
“มีๆ เพิ่มโต๊ะ เดี๋ยวไปตั้งให้คุณข้างนอก ข้างนอกเย็นสบาย เอาเหล้าแบบเดิม เอ้อร์กัวโถวใช่ไหม”
ชายชราพยักหน้าทันที “ได้เลย รอสักครู่นะ”
เห็นชายชราเกรงใจท่านเป้ยเล่อขนาดนี้ ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “ท่านเป้ยเล่อ ทำไมชายชราคนนี้ถึงเกรงใจคุณขนาดนี้ล่ะ”
“เหอะๆ ตอนเรียนหนังสือฉันมากินที่นี่บ่อย หลังเรียนจบก็งานยุ่งมากเลยไม่ค่อยได้มาที่นี่แล้ว
มีครั้งหนึ่งผ่านมาทางนี้ ฉันเลยเข้ามากินหนึ่งชาม แล้วเจอนักเลงมาเก็บค่าคุ้มครองพอดี แถมยังต่อยตีคนอีก
ฉันเลยจัดการคนพวกนั้น และตั้งกฎให้พวกเขา ให้ดูแลความปลอดภัยของร้านนี้โดยไม่มีเงื่อนไขน่ะ
ต่อมาคนพวกนั้นก็กลายเป็นลูกน้องของเถ้าแก่ เถ้าแก่เป็นคนดี ให้งานพวกเขาทำ ตอนนี้มีสองสามคนกำลังนั่งทำงานเบ็ดเตล็ดอยู่ตรงนั้น”
ซ่งจื่อเซวียนฟังแล้วจึงพยักหน้าช้าๆ “อย่างนี้นี่เอง ดูท่าจะซาบซึ้งในบุญคุณของคุณนั่นเอง”
“อย่าไปนับเลย เรื่องเล็กน้อย พวกนายไปนั่งตรงหน้าประตูก่อน ฉันจะไปจ่ายเงิน”
พูดจบ ท่านเป้ยเล่อก็สแกนคิวอาร์โค้ด ซ่งจื่อเซวียนเห็นเขาจ่ายเงินหนึ่งพันหยวน ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
อาหารมื้อนี้เป็นอาหารข้างทาง ต่อให้รสชาติอร่อยแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีราคาหนึ่งพันหยวน เห็นได้ชัดว่าท่านเป้ยเล่อกำลังดูแลกิจการนี้อยู่
ในไม่ช้า พนักงานบริการก็ยกหมูตุ๋นพะโล้ที่กำลังร้อนปุดๆ เดินเข้ามา
คนข้างนอกจำนวนไม่น้อยมองด้วยความไม่พอใจ เพราะพวกเขาถือบัตรคิวรอ แต่พวกท่านเป้ยเล่อกลับได้เพิ่มโต๊ะในทันที
มีคนตะโกนขึ้นมาว่า “เฮ้ พวกเรารอตั้งนานแล้วนะ ทำไมไม่เพิ่มโต๊ะให้พวกเราล่ะ”
พนักงานบริการกลอกตาใส่ “เทียบกันได้ไหมล่ะ นี่เถ้าแก่ของพวกเรา จะเพิ่มโต๊ะให้คนกันเองไม่ได้เลยเรอะ”
พอพูดเช่นนี้ คนคนนั้นจึงไม่เอ่ยอะไรอีก
ท่านเป้ยเล่อกลับหัวเราะ บิดฝาขวดเหล้าไปพลาง ยิ้มไปพลาง “ฉันกลายเป็นเถ้าแก่ตั้งแต่เมื่อไรน่ะ”
เห็นดังนั้น หวังเหลียงจงจึงเอ่ยว่า “เฮ้ พี่ชาย ดูเหมือนกฎของวิทยาลัย…จะห้ามไม่ให้ดื่มเหล้านะ”
“ใช่แล้วท่านเป้ยเล่อ เหมือนผมจะจดบันทึกไว้เหมือนกัน พวกเราอย่าทำผิดกฎเลยครับ”
“เหอะๆ คิดถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้ายังไม่ต้องนึกถึงอนาคต ดื่มก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ” ท่านเป้ยเล่อพูด พลางเงยหน้าดื่ม “พวกนายอยากดื่มไหมล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มตอบ “โอเค ถ้างั้นก็ยอมพลีชีพอยู่เป็นเพื่อนท่านเป้ยเล่อ ผมขอหนึ่งอึก!”
หวังเหลียงจงทำสีหน้าลำบากใจ แต่เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น จะยอมขายหน้าไม่ได้ จึงพยักหน้าตาม
“ผม ผมก็ดื่มด้วย”
รินเหล้าเรียบร้อย ท่านเป้ยเล่อก็พูดว่า “ฉันจะบอกพวกนายนะ หมูตุ๋นพะโล้กินคู่กับเอ้อร์กัวโถว เข้ากันสุดๆ พอพวกนายกินแล้วก็จะไม่อยากกลับบ้านเลย!”
ท่านเป้ยเล่อพูดพลางคีบใส่ปากหนึ่งชิ้นแล้วเริ่มเคี้ยว
“ท่านเป้ยเล่อ หอมมากเลย ปอดหมูไส้หมูนี่กับเต้าหู้ทอด อร่อยเข้ากันมากจริงๆ”
“ฮ่าๆๆ แค่เดาก็รู้ว่าพวกเรากินรสเดียวกัน พวกเรากินดื่มจนอิ่มแล้วค่อยไปดูเขตป่าด้วยกันนะ ไปเปิดหูเปิดตา”
“เขตป่าเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนสนใจขึ้นมาทันที “ไหนบอกว่ามีคนเฝ้าอยู่หน้าประตูนี่ คุณจะแอบเข้าไปงั้นเหรอ”
ท่านเป้ยเล่อยิ้มพลางยักไหล่ รอยยิ้มดูลึกลับอยู่บ้าง
…………………………………
…………….