เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 391 ปืนยิงนกที่ยื่นหัวออกมา
ตอนที่ 391 ปืนยิงนกที่ยื่นหัวออกมา
…………….
เพลิดเพลินไปกับอาหารระดับสูงสุดที่รสชาติเรียบง่ายหนึ่งมื้อแล้ว ซ่งจื่อเซวียนกับท่านเป้ยเล่อก็ได้ทำความเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาลัยไปบ้างแล้ว
จากนั้น ทั้งสองคนจึงกลับไปพักผ่อนที่หอพักสักครู่หนึ่ง แล้วจึงไปเรียนด้วยกัน
ณ ห้องบรรยาย อาคารอำนวยการวิทยาลัยอาหารปักกิ่ง
เวลานี้ ผู้ที่รายงานตัวเรียบร้อยทุกคนได้มาถึงห้องบรรยาย
ห้องบรรยายสามารถบรรจุคนได้มากสุดสองร้อยคน ดังนั้นทุกคนจึงไม่ต้องนั่งตามที่ที่กำหนด
แต่ตามกฎแล้ว เหล่าผู้ช่วยที่ติดตามเจ้านายมาในครั้งนี้ไม่สามารถเข้ามาได้
คนพวกนี้ต้องไปรอที่สนามกีฬาทั้งหมด
อย่างไรผู้ที่มาอบรมเป็นอาจารย์ล้วนเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในสังคม ลูกน้องรออยู่ข้างนอกจึงเหมาะสมกับฐานะของพวกเขา
แต่ซ่งจื่อเซวียนกับท่านเป้ยเล่อไม่ใช่แบบนั้น
อุณหภูมิข้างนอกเกือบสี่สิบองศาเซลเซียส และที่สนามกีฬาแทบจะไม่มีที่บังแดดเลยด้วยซ้ำ พวกเขาไม่อยากให้คนของตัวเองตากแดดอยู่ข้างนอก
พวกเขาจึงสั่งฟางรุ่ยกับต้าเหมากลับไปพักผ่อนที่หอพัก
ในตอนแรกฟางรุ่ยรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่ซ่งจื่อเซวียนบอกเขาแล้ว มีท่านเป้ยเล่ออยู่ด้วยปลอดภัยทุกอย่าง เขาจึงกลับไปที่หอพักพร้อมกับต้าเหมา
…
เนื่องจากคนที่เข้าร่วมอบรมเป็นคนที่ไม่ได้ทำงาน และไม่ใช่นักศึกษาหรือข้าราชการ ดังนั้นเรื่องระเบียบวินัยจึงหมดหวังแน่นอน
เกิดความวุ่นวายภายในห้องเรียน
เสียงโทรศัพท์ เสียงภาพยนตร์ เสียงเพลงและเสียงคนพูดโม้ดังออกมาจากทั่วทิศ
แต่ที่นั่งของซ่งจื่อเซวียนกับท่านเป้ยเล่อค่อนข้างติดมุม ทั้งสองคนไม่ค่อยพูดอะไร อย่างไรก็เพิ่งตื่น ตอนนี้จึงนอนหลับต่อ
เวลาห้าโมงเย็น ผู้ชายใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีดำคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องเรียน
ผู้ชายคนนี้รูปร่างปานกลาง ใบหน้าดำคล้ำ อ้วนเล็กน้อย หัวล้านอยู่บ้าง ดูแล้วน่าจะอายุห้าสิบกว่าปี
เมื่อเห็นคนคนนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที หันไปมองหวังเหลียงจงที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง
ผู้ชายคนนี้ก็คือผู้ชายที่ขอเงินค่าจอดรถสิบเจ็ดล้านกับอีกฝ่ายตอนที่อยู่หน้าประตูวิทยาลัย
เห็นสีหน้าค่อนข้างแข็งทื่ออย่างชัดเจนของหวังเหลียงจงอีกครั้ง ตอนนี้แม้แต่คนโง่ก็มองออก ผู้ชายคนนี้เกี่ยวข้องกับคลาสอบรมในครั้งนี้อย่างมาก
“แม่งเอ๊ย คงไม่อาจารย์ใช่ไหม วันนี้ดวงซวยจริงๆ!”
หวังเหลียงจงบ่นออกมาหนึ่งประโยค ซ่งจื่อเซวียนกับท่านเป้ยเล่อหัวเราะออกมาไม่หยุด
ผู้ชายถือแฟ้มพลาสติกอยู่ในมือ เขาค่อยๆ เดินไปด้านหลังแท่นบรรยาย แล้วเปิดไมค์ทันที
เวลานี้ ทุกคนจึงเงียบลง
“สวัสดีทุกคน ขอต้อนรับทุกคนเข้าร่วมคลาสอบรมอาจารย์ของวิทยาลัยอาหารปักกิ่งในครั้งนี้ ผมชื่อสวี่ผิงเป็นผู้อำนวยการของสำนักบริหารวิทยาลัยครับ
ในคลาสอบรมครั้งนี้ผมจะปรากฏตัวสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่ประชุมกับทุกคนอยู่ตอนนี้ ครั้งที่สองคือรับหน้าที่ประเมินตอนที่พวกคุณสำเร็จการอบรมครับ”
พรืด…
หวังเหลียงจงกำลังจิบกาแฟ จึงพ่นออกมาในรวดเดียว
“ซวยแล้ว อะไรนะ ประเมินงั้นเหรอ”
ท่านเป้ยเล่อพูดเสียงต่ำ “เพื่อน ดูเหมือนนายจะโชคไม่ดีเอาเสียเลย!”
“ละ ละ แล้วมัน…เกี่ยวอะไรกับนาย เรื่องจิ๊บๆ แค่นี้เดี๋ยวฉันจะให้พ่อของฉันไปหาผู้อำนวยการของวิทยาลัย หึ ดูสิว่าต้องเชื่อคำพูดของใคร!”
ท่านเป้ยเล่อพลันยิ้มแล้วพยักหน้า “สุดยอดๆ นับถือ!”
หวังเหลียงจงเผยสีหน้ามั่นใจออกมา แต่ในไม่ช้า เขาก็ไม่สามารถปกปิดความไม่สบายใจได้ ใบหน้ามีแต่ความเศร้าและหดหู่ใจ
“ทุกท่าน พวกคุณไม่ใช่นักศึกษา ดังนั้นเรื่องระเบียบวินัยจึงไม่น่าเป็นปัญหากับพวกคุณ ถ้าพวกคุณมองข้ามเรื่องระเบียบวินัย แล้วจะดูแลนักศึกษาได้ยังไงครับ
ต่อไปนี้ผมขอประกาศกฎและระเบียบวินัยของอาจารย์ก่อน!”
จากนั้น สวี่ผิงก็อธิบายกฎและระเบียบวินัยของอาจารย์ยาวเป็นพรวน
ปฏิกิริยาของทุกคนแค่คิดก็รู้แล้ว พวกเขาต้องต่อแถวมาทั้งวัน ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง ตอนนี้ต้องมาฟังเนื้อหาน่าเบื่ออีก…
เสียงหาวดังขึ้นไปทั่ว กระทั่งมีเสียงกรน
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับหยิบสมุดมาจดบันทึกอย่างจริงจัง เขาเป็นแบบนี้มาตลอด ทำอะไรต้องทำอย่างจริงจังเสมอ
เห็นดังนั้น ท่านเป้ยเล่อก็ยิ้มบางๆ ถามเสียงต่ำว่า “เหอะๆ นายจะจดทำไม”
“หา? กฎแม่งเยอะขนาดนี้ จดเอาไว้จะได้ไม่ทำความผิดไง ถ้าไม่ถูกคัดเลือกเพราะเรื่องกฎระเบียบ แบบนั้นจะไม่ยุติธรรมเกินไปเหรอ”
“นายเนี่ยนะ ยังอ่อนหัดเกินไป เอ้า!”
ท่านเป้ยเล่อหยิบสมุดสีแดงเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋า ยื่นให้ซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนเปิดดูไปเรื่อยๆ อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เนื้อหาเหล่านี้มีพิมพ์อยู่ในสมุดเล่มเล็กแล้ว
“ฮ่าๆๆ คุณเอามาจากไหนเนี่ย”
“วังเหว่ยให้มา”
“คุณไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ…”
“ก็นายไม่ถามให้เร็วกว่านี้นี่…”
เมื่อแนะนำกฎระเบียบเรียบร้อยแล้ว สวี่ผิงจึงเริ่มแนะนำเนื้อหาที่ต้องเรียนในช่วงอบรมนี้
การฝึกอบรมมีเนื้อหาหลักสามอย่างด้วยกัน อย่างที่หนึ่งคือการหาวัตถุดิบ อย่างที่สองคือการหาส่วนผสม อย่างที่สามคือการเลือกอุปกรณ์ทำครัว
โดยทางวิทยาลัยจะเป็นฝ่ายจัดหาวัตถุดิบ ส่วนผสมและอุปกรณ์ทำครัวให้ เพื่อทดสอบระดับความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารของทุกคน
วิชาทฤษฎีจะสอนเกี่ยวกับหลักการและเทคนิคในการปรุงอาหาร แต่การสอบประเมินครั้งสุดท้ายไม่ได้จำกัดอยู่แค่เนื้อหาของวิชาเรียน
คะแนนสุดท้ายจะถูกตัดสินจากทางวิทยาลัย โดยพิจารณาจากอาหารที่ทำออกมา
ฟังเนื้อหาเหล่านี้จบแล้ว ซ่งจื่อเซวียนเหมือนจะสนใจขึ้นมา ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่าการปรุงอาหารสามารถสนุกได้ขนาดนี้
เมื่อก่อนเขาถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์ของการทำอาหาร
คิดว่าการทำอาหารดีๆ หนึ่งเมนู ได้อุปกรณ์ทำครัวที่ดีหนึ่งชุด เป็นเสน่ห์ดึงดูดที่ยากจะต้านทาน
แต่ตอนนี้เขาพบว่า วิทยาลัยอาหารปักกิ่งใส่ใจมากจริงๆ เพื่อยกระดับของนักเรียน พวกเขาทำให้ขั้นตอนการทำอาหารน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
“เป็นยังไง สนุกใช่ไหมล่ะ ฮ่าๆๆ เป็นการเรียนที่คุ้มค่าแน่นอน” ท่านเป้ยเล่อกล่าว
“ก็จริงครับ การหาวัตถุดิบและการหาส่วนผสมน่าสนุกจริงๆ เป็นวิธีแบบไหนล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ท่านเป้ยเล่อยิ้มให้ “นายถามถูกคนแล้ว ฉันเคยได้ยินวังเหว่ยพูดว่า วิทยาลัยอยากกระตุ้นความกระตือรือร้นของนักเรียน เลยสร้างพื้นที่ธรรมชาติไว้สองสามแห่ง”
“พื้นที่ธรรมชาติเหรอ”
“ใช่ ก็คือว่าถึงแม้จะอยู่ในวิทยาลัย แต่ก็เหมือนอยู่พื้นที่ข้างนอก ปกติพื้นที่เหล่านี้จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยเฝ้าอยู่หน้าประตู และมีเพียงอาจารย์เท่านั้นถึงจะพานักเรียนเข้าไปได้
และพื้นที่ด้านนอก ทางวิทยาลัยก็เลี้ยงสัตว์ที่ปล่อยอย่างอิสระไว้หลายตัว เหมือนอยู่ในป่าของจริง เพราะงั้นเลยมีความอันตรายอยู่ด้วย
พวกนักเรียนหาจะวัตถุดิบ และส่วนผสมจากในนี้ นำมาเตรียมทำอาหารของตัวเอง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “สุดยอดจริงๆ วิทยาลัยแห่งนี้ใหญ่ขนาดไหนน่ะ”
“ฮ่าๆๆ ใหญ่มากเลย ด้านหนึ่งติดกับภูเขา บนภูเขาไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ของหน่วยงานภาครัฐ ทางวิทยาลัยเลยสร้างเป็นพื้นที่ธรรมชาติ ได้ยินว่าลงทุนไปไม่น้อย” ท่านเป้ยเล่อกล่าว
“แน่นอนอยู่แล้ว สิ่งของฟุ่มเฟือยมากมายยังสู้การสร้างสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติไม่ได้เลย”
ซ่งจื่อเซวียนอดทอดถอนใจไม่ได้
หลังจากจบคาบ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็เดินเข้ามา เริ่มแจกบัตรทานอาหารให้ทุกคน
พอแจกบัตรเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่จึงพูดขึ้นว่า “นี่คือบัตรทานอาหารที่ทุกคนใช้ได้ในวิทยาลัย แต่ใช้ทานอาหารที่โรงอาหารชั้นหนึ่งได้เท่านั้น
บัตรใบนี้ใช้ได้แค่เจ็ดวันเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า หลังจากสิ้นสุดการฝึกอบรมเจ็ดวันแล้ว ทุกคนจะไม่สามารถใช้ทานอาหารได้อีก”
ทุกคนพยักหน้า
“แน่นอนว่า หากมีคนในนี้สมัครเป็นอาจารย์ พวกเราจะมอบบัตรทานอาหารใบใหม่ให้ในภายหลัง เช่นนั้นก็ขออวยพรให้ทุกคนมีความสุขที่ได้อยู่ในวิทยาลัยตลอดเจ็ดวันนี้นะคะ”
พูดจบ เจ้าหน้าที่ก็เดินออกไป จากนั้นทุกคนจึงเริ่มกิจกรรมพักผ่อนตามอัธยาศัย
วันรุ่งขึ้นถึงจะเริ่มต้นวิชาเรียนอย่างเป็นทางการ
ซ่งจื่อเซวียนกับท่านเป้ยเล่อกำลังจะเดินออกไป หวังเหลียงจงที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็เดินเข้ามา
“เหอะๆ พี่ใหญ่ทั้งสอง ผมอยาก…ถามพวกคุณหน่อย”
“หืม”
ซ่งจื่อเซวียนกับท่านเป้ยเล่อชะงักไป คิดในใจว่าแปลกมาก ทำไมไอ้หมอนี่ดูเกรงใจขนาดนี้
“เหอะๆ พี่ใหญ่ เมื่อกี้ผมเห็นคุณถือสมุดสีแดงเล่มเล็ก ใช่กฎระเบียบข้อกำหนดของวิทยาลัยหรือเปล่าครับ”
ท่านเป้ยเล่อพลันยิ้ม ไอ้หมอนี่สายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก เขาพยักหน้าเบาๆ “ใช่”
“ถ้างั้น…พี่ใหญ่ คุณมีความสัมพันธ์กับวิทยาลัยอยู่นิดหน่อยใช่ไหมครับ”
ท่านเป้ยเล่อกับซ่งจื่อเซวียนสบตากันหนึ่งที ต่างหัวเราะออกมา ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้เหรอ
“เหอะๆ ถือว่ามีอยู่เล็กน้อย”
“ถ้างั้นก็ดีเลย พี่ใหญ่ คุณช่วยพูดให้ผมหน่อยได้ไหมครับ!”
“หืม พูดอะไร” ท่านเป้ยเล่อถาม
“เอ่อ…พวกคุณเห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ผมทำให้คนคนหนึ่งข้องใจ…ที่หน้าประตูวิทยาลัยไงครับ”
“เหอะๆ ฉันช่วยพูดอะไรให้นายได้เหรอ”
หวังเหลียงจงทำสีหน้ากระอักกระอ่วน “เอ่อ..แหะๆ พี่ใหญ่ต้องมีคนของคุณอยู่แล้ว ก็ไปบอกไม่ให้หัวหน้าคนนั้นอย่าหาเรื่องผมหน่อยสิครับ ถ้าสอบไม่ติด ก็เท่ากับผมมาเสียเที่ยวสิ…”
พรืด…
ท่านเป้ยเล่อหัวเราะออกมาทันที ไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนเลวอะไร เป็นแค่ลูกเศรษฐีที่นิสัยเสียนิดหน่อย
“ได้เลย แล้วนายจะตอบแทนฉันยังไง” ท่านเป้ยเล่อถามยิ้มๆ
ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หากไม่มีผลประโยชน์ท่านเป้ยเล่อจะไม่สนใจจริงๆ
“เอ่อ…”
อย่างไรก็เป็นลูกเศรษฐี หวังเหลียงจงแค่มองเสื้อผ้าและกระเป๋าในมือของท่านเป้ยเล่อก็รู้ว่าเป็นของแบรนด์เนม
อีกฝ่ายจึงไม่ขาดแคลนเงินทองแน่นอน ถ้าจะตอบแทน…ก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนด้วยอะไรจริงๆ
“ฮ่าๆๆ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน มีซอยเล็กๆ อยู่ที่หน้าประตู มีร้านหมูตุ๋นพะโล้ร้านหนึ่งรสชาติดีอยู่ นายเลี้ยงข้าวฉัน โอเคไหม”
“หมูตุ๋นพะโล้เหรอ อะไรน่ะ” หวังเหลียงจงพูด
ไม่ใช่แค่หวังเหลียงจงเท่านั้น ซ่งจื่อเซวียนก็มองท่านเป้ยเล่อเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่ายังไม่เคยชิมของอร่อยแบบนี้มาก่อน
ท่านชายพลันยิ้ม “ไม่ต้องถาม เดินไปก็พอ!”
“ได้ ไม่มีปัญหา ผมจัดการเอง!”
หลังจากนัดกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็เดินออกจากห้องบรรยาย
แต่เพิ่งจะเดินออกไป ก็เห็นคนทะเลาะกันบนสนามกีฬาพอดี
ทุกคนเข้าไปมุงล้อม ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น ต่อยกันเหรอ”
พวกเขาสามคนเดินเข้าไป ก็เห็นคนคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้นท่ามกลางกลุ่มคน กำลังโดนอีกคนหนึ่งเหยียบใบหน้าอยู่
และถัดไปก็มีคนหนึ่งเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไอ้เชี่ย กล้าหาเรื่องใครก็ได้ใช่ไหม เหอะๆ แกเก่งไม่พอหรอก!”
ซ่งจื่อเซวียนกับท่านเป้ยเล่อต่างรู้จักคนที่พูดอยู่ เป็นคนในชั้นเรียนเหมือนกัน ชื่อหลิวหย่ง
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเขามีภูมิหลังเช่นไร แต่ดูจากความหนุ่มพุงโตเช่นนี้ ก็รู้ว่าเป็นคนมีเงิน
และคนที่โดนเหยียบหน้าก็เป็นคนในชั้นเรียนเหมือนกัน ใส่เสื้อผ้าธรรมดามาก และไม่มีผู้ช่วยมาด้วย
“ฉันไม่ได้หาเรื่องนายเลยด้วยซ้ำ นายมันชอบรังแกคน!”
เพียะ!
หลิวหย่งนั่งลงยองแล้วตบหน้าเขาหนึ่งที “ฉันชอบรังแกคน แล้วยังไงล่ะ!”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วยักไหล่ “ไอ้หนุ่ม จำไว้ ที่นี่คือปักกิ่ง อย่าโอหัง ไม่งั้นฉันจะจัดการนายแน่!”
ได้ยินดังนั้น ท่านเป้ยเล่อจึงหัวเราะเบาๆ หนึ่งที “เหอะๆ เข้าใจแล้ว นี่คือคนท้องถิ่นกำลังอวดเบ่ง!”
“แม่งเอ๊ย ถ้าฉันไม่ได้ทำผิด ฉันเข้าไปจัดการแล้ว!” หวังเหลียงจงกล่าว
ท่านเป้ยเล่อเหลือบตามองเขาหนึ่งที “นายจะเข้าไปจัดการงั้นเหรอ เหอะๆ ดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ”
พูดจบ ท่านเป้ยเล่อก็เดินก้าวเข้าไปในฝูงชน
ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึง แต่ก็เดินตามเข้าไป จากนั้น หวังเหลียงจงก็เดินตามเข้าไปเหมือนกัน
เมื่อเดินเข้าไปท่ามกลางฝูงชนแล้ว ท่านเป้ยเล่อมองหลิวหย่งกับผู้ช่วยของเขา แล้วมองคนที่ถูกเหยียบอยู่บนพื้น
“พี่ชาย พอได้แล้ว ต่อยคนไม่ต่อยหน้า ล้วนเป็นลูกผู้ชายกันทั้งนั้น นายเหยียบหน้าของเขาดูไม่เหมาะสมหรือเปล่า”
หลิวหย่งได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วทันที “เฮ้ย แม่มัน มีคนเข้ามาเสือ* นายรู้จักปืนยิงนกที่ยื่นหัวออกมาก่อนบ้างไหม”
ขณะพูด หลิวหย่งก็เดินเข้าไปง้างมือจะต่อย แต่ท่านเป้ยเล่อหัวเราะพลันยิ้ม ถอยตัวหนึ่งก้าวไปด้านหลัง และยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งอยู่
“พี่ชาย ฉันฟังสำเนียงของนายแล้วเป็นคนปักกิ่งเหมือนกันใช่ไหม ทางที่ดีที่สุดนายอย่าแตะต้องฉันดีกว่า ฉันกลัวว่านายจะรับไม่ไหว”
…………………………………………
…………….