เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 390 คาบเรียนแรก
ตอนที่ 390 คาบเรียนแรก
…………….
หวังเหลียงจงโกรธ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะคราวนี้คนที่พูดเป็นคนจากสถาบัน
หากอยู่ที่อวิ๋นอัน เกรงว่าเขาอาจจะโทรศัพท์เพียงสายเดียวก็ไล่คนคนนี้ออกไปแล้ว แต่…ที่นี่คือปักกิ่ง
เมื่อบุคลากรของสถาบันตะโกนเช่นนี้ สองคนที่อยู่ด้านหลังก็หยุด หวังเหลียงจงจึงต้องไปยืนอยู่ท้ายแถวพร้อมกับผู้ช่วยของเขา
ไม่นานแถวก็เริ่มขยับ และเริ่มลงทะเบียนทีละคน
เนื่องจากการตรวจสอบที่เข้มงวด ต้องกรอกแบบฟอร์มบนเว็บไซต์และยืนยันตัวตนก่อนจึงจะเข้าไปได้
ดังนั้นจึงเหมือนกับที่ท่านเป้ยเล่อบอกไว้ว่าไม่มีทางเสร็จเรื่องในช่วงเช้า
เห็นความเร็วเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ดีใจที่ท่านเป้ยเล่อพาเขามาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาก็ถึงตาของท่านเป้ยเล่อ เจ้าหน้าที่จึงพูดว่า “ชื่อแซ่ เลขบัตรประจำตัวประชาชน”
ท่านเป้ยเล่อคลี่ยิ้ม “เรียกข้อมูลดูได้เลย ข้อมูลของฉันใส่ไว้ล่วงหน้าแล้ว”
คนคนนั้นได้ยินก็อึ้งไปและเงยหน้ามอง “ท่านเป้ยเล่อ?”
ท่านเป้ยเล่อยิ้มและพยักหน้า
“อ๋อๆ คุณเข้าไปได้เลย ผอ.วังกำชับไว้แล้วครับ”
“เหอะๆ ขอบใจ นี่เพื่อนของฉัน ฉันจะรอไปพร้อมเขา”
“อ๋อ ได้ครับ ผมจะพยายามทำให้เร็วที่สุด คุณนั่งรอสักครู่ก่อน เสี่ยวหลี่ เอาเครื่องดื่มเย็นๆ มาสองขวด”
แตกต่างกันอย่างที่คิดไว้จริงๆ ในปักกิ่งตัวของท่านเป้ยเล่อได้รับการต้อนรับที่ดีมากอยู่แล้ว ซึ่งรวมถึงวิทยาลัยอาหารเช่นกัน
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหน้าที่จะรู้จักเขา บวกกับการกำชับจากวังเหว่ย เขาจึงได้รับการดูแลเหมือนเป็นแขกคนสำคัญ
นึกถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็อดยิ้มไม่ได้
เพราะสาเหตุนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงถือโอกาสหยิบเครื่องดื่มเย็นมาหนึ่งขวด
ต้องรู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อน อุณหภูมิข้างนอกเกือบสี่สิบองศา คนเหล่านั้นซึ่งกำลังเข้าคิวกันอยู่กับพวกเขาที่กำลังดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ นี่คือความแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ชื่อแซ่”
“ซ่งจื่อเซวียน”
หลังจากป้อนตัวอักษรสามคำว่าซ่งจื่อเซวียน เจ้าหน้าที่ก็อึ้งไปอีกครั้ง
เขาเงยหน้ามองซ่งจื่อเซวียน “คุณเป็นเชฟข้าวผัดจักรพรรดิที่ตู้เหมินเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนก็อึ้งไปเช่นกัน จากนั้นจึงมองไปที่ท่านเป้ยเล่อ
ท่านเป้ยเล่อแบมืออย่างจนใจ “วังเหว่ยเป็นคนทำแน่ๆ เหอะๆ แต่ชื่อเสียงของนายไม่เกี่ยวอะไรกับเขาหรอกนะ”
เจ้าหน้าที่คนนั้นแสดงรอยยิ้ม “ฮ่าๆ ใช่แล้ว ข้าวผัดจักรพรรดิดังมากครับ ผมกับครอบครัวก็ยังอยากไปลองชิมที่ตู้เหมินเลย”
“เหอะๆ ยินดีครับ บางทีถ้ามีโอกาส ผมจะให้คุณลองชิมในปักกิ่งสักครั้ง”
ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยความสุภาพ
“ดีจังเลย คุณซ่ง คุณก็เข้าไปได้เลยเหมือนกัน ผอ.วังจัดการข้อมูลของคุณไว้ให้แล้ว”
“ขอบคุณ”
ผู้สมัครที่อยู่ด้านหลังก็สงสัยว่าทำไมคนแรกๆ ถึงช้ามาก แต่เมื่อถึงคิวของสองคนนี้จู่ๆ ก็เร็วขึ้น
เดิมทีคิดว่าวิทยาลัยได้เร่งดำเนินการแล้ว แต่เมื่อถึงคิวพวกเขาก็เริ่มช้าลงอีก…
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนและท่านเป้ยเล่อก็ถูกนำทางไปที่หอพักเพื่อเก็บข้าวของก่อน
นี่คือห้องพักคู่แบบมาตรฐาน ในวิทยาลัยอาหารไม่ว่าคุณจะมีสถานะสูงส่งแค่ไหน ตราบใดที่มารับการประเมินหรือเป็นนักเรียนของที่นี่จะต้องอาศัยอยู่ในห้องพักคู่เสมอ
แน่นอนว่าหลังจากกลายเป็นครูแล้ว ทุกคนก็จะมีห้องเดี่ยวเป็นของตัวเอง นอกจากนี้ยังหรูหราเป็นอย่างมาก
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ห้องพักคู่นี้ก็ยังมีระดับสูงกว่าโรงแรมรายวันไม่น้อย
มีห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องน้ำครบทั้งหมด
หลังจากวางของและจัดเก็บเล็กน้อย ซ่งจื่อเซวียนก็กล่าว “วันนี้เริ่มเข้าเรียนเลยไหม”
“วังเหว่ยบอกว่าหลังจากทุกคนลงทะเบียนเสร็จแล้วจะมีการโฮมรูมเพื่อฝึกอบรม ก่อนอื่น…เราจะไปโรงอาหารกัน”
“โรงอาหารเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ใช่ เขาว่ากันว่าโรงอาหารของวิทยาลัยอาหารมีมาตรฐานกว่าโรงแรมห้าดาวเสียอีก เราไปลองดูกัน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า อย่างไรที่นี่คือวิทยาลัยอาหารปักกิ่ง เป็นห้องโถงแห่งอาหารเลิศรสที่ดีที่สุดในประเทศ
โรงอาหารที่นี่จะต้องมีอาหารที่รสชาติดีเยี่ยมที่สุดอย่างแน่นอน
จากนั้นทั้งสองคนก็ออกจากหอพักไปพร้อมกับผู้ช่วย
ระหว่างที่เดินบนทางเดินในวิทยาลัย ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนกับลานในสมัยโบราณ
และยังเป็นประเภทตระกูลร่ำรวย ดูยิ่งใหญ่ถึง…ระดับเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง
เพียงแต่ในวิทยาลัยยังนำเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่มารวมไว้ด้วย แม้จะดูไม่ค่อยเข้ากัน แต่โดยรวมแล้วยังให้ความรู้สึกหรูหราอยู่
เดินผ่านทางเดินเล็กๆ ผ่านโถงทางเดินและข้ามทะเลสาบเทียม พวกเขาก็มาถึงโรงอาหารของวิทยาลัย
เมื่อมองจากภายนอก โรงอาหารดูเหมือนร้านอาหารขนาดใหญ่
หน้าประตูมีหญิงสาวและพนักงานเปิดประตูคอยต้อนรับอยู่ แม้ว่าจัตุรัสหน้าวิทยาลัยจะไม่อนุญาตให้รถยนต์เข้ามา แต่รถบางคันก็สามารถสัญจรบริเวณสถานศึกษาได้
ซ่งจื่อเซวียนสันนิษฐานว่า บางทีนี่อาจเป็นรถส่วนกลางที่เข้ามาจากประตูอื่นของวิทยาลัย
พวกเขามาถึงประตูโรงอาหารและยังไม่ได้เข้าไป พนักงานต้อนรับก็ยิ้มและโค้งคำนับให้
“สวัสดีค่ะ โปรดแสดงบัตรทานอาหารด้วยค่ะ”
ท่านเป้ยเล่อและซ่งจื่อเซวียนต่างก็ชะงักไปทั้งคู่
“บัตร…ทานอาหาร?” ท่านเป้ยเล่ออดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน “เราเพิ่งมารายงานตัวที่นี่ ยังไม่มีเลย”
“ขออภัยค่ะ ถ้าไม่มีบัตรทานอาหารก็ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ค่ะ”
ฟางรุ่ยขมวดคิ้ว “มั่วแล้ว ถ้ากินไม่ได้แล้วเราไม่อดตายเหรอ”
พนักงานต้อนรับสุภาพมากจึงโค้งคำนับอีกครั้ง “ขออภัยด้วยค่ะ ถ้าคุณยังไม่ได้รับบัตรทานอาหารก็สามารถไปทานอาหารนอกวิทยาลัยก่อนได้ค่ะ รอให้ได้บัตรทานอาหารมาแล้วค่อยมาทานที่โรงอาหารนะคะ”
แม้จะไม่พอใจเล็กน้อย แต่พนักงานมีท่าทีที่ดี และสิ่งที่เธอพูดก็สมเหตุสมผลจริงๆ ดังนั้นซ่งจื่อเซวียนจึงไม่ให้ฟางรุ่ยเถียงต่อ
“ท่านเป้ยเล่อ งั้นเรา…ไปกินข้าวข้างนอกไหม”
ท่านเป้ยเล่อคลี่ยิ้ม “อาหารข้างนอกไม่น่าสนใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ไปกันเถอะ”
ขณะที่เขากำลังจะจากไปก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ท่านเป้ยเล่อ จื่อเซวียน?”
ทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน คนที่มาคือวังเหว่ย
เมื่อเห็นทั้งสองคน วังเหว่ยก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “มีอะไรเหรอ ทำไมพวกคุณไม่เข้าไปล่ะ”
“ฮ่าๆ ผอ.วัง เราเพิ่งมาครั้งแรก ไม่รู้ว่าถ้าไม่มีบัตรก็เข้าไปไม่ได้ เพราะงั้นเราก็เลยจะไปกินแป้งทอดริมทางกัน!”
สีหน้าของวังเหว่ยเคร่งขรึมทันที “นี่คุณทำให้ผมดูเสียมารยาทใช่ไหม รีบตามผมเข้าไปเร็ว จะกินริมทางอะไร จงใจพูดให้ผมฟังสินะ”
ท่านเป้ยเล่อและซ่งจื่อเซวียนต่างก็ยิ้มและไม่พูดอะไร
ต่อมาวังเหว่ยได้เจรจากับพนักงานต้อนรับสองสามคำแล้วพาพวกเขาเข้าไปในโรงอาหาร
เป็นโรงอาหารในสถาบันศึกษาเหมือนกัน แต่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ
โรงอาหารของวิทยาลัยอาหารเป็นระดับห้องโถงในวัง เมื่อเข้ามาแล้วจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศงานเลี้ยงที่คึกคัก
ห้องโถงขนาดใหญ่นี้มีพื้นที่กว่าสองพันตารางเมตร จากพื้นถึงเพดานสูงประมาณตึกห้าชั้น
เป็นสถาปัตยกรรมรูปแบบตะวันตก แต่ใช้การตกแต่งรูปแบบจีนร่วมสมัย
โครงสร้างของบันไดวนโดยรอบทำจากไม้พะยูงทั้งหมด และพื้นผิวก็ได้รับการขัดเงาแวววับราวกับกระจก
โต๊ะอาหารในห้องโถงเป็นโต๊ะและเก้าอี้มีพนักพิงสำหรับแปดคน แม้ว่าทั้งหมดจะไม่ได้มีราคาแพง และทำจากไม้ธรรมดา แต่โต๊ะและเก้าอี้จำนวนมากขนาดนี้ก็มีคุณค่าไม่น้อย
ขณะนี้มีนักเรียนบางคนกำลังทานอาหารอยู่ แต่บรรยากาศเงียบสงบมาก เห็นได้ชัดว่าวิทยาลัยอาหารมีระเบียบที่เข้มงวดในด้านนี้
“นี่คือบริเวณทานข้าวของนักเรียน พวกคุณตามผมขึ้นไปที่ห้องอาหารครูชั้นบนเถอะ”
เมื่อวังเหว่ยพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ถอนหายใจ นี่ยังมีห้องอาหารสำหรับครูอีกเหรอ
คราวนี้ได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ดูเหมือนว่าในตู้เหมินจะไม่ได้เห็นฉากแบบนี้แน่นอน
พวกเขาไม่ได้เดินขึ้นบันได แต่ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนแทน
ซ่งจื่อเซวียนสังเกตเห็นว่าเมื่อวังเหว่ยเข้าไปในลิฟต์ก็แตะบัตรแล้วกดเลขชั้น ดูเหมือนว่าคนธรรมดาจะใช้ลิฟต์นี้ไม่ได้
“ลิฟต์ใช้ได้เฉพาะครูเท่านั้น แต่มีการจำกัดการเข้าถึง ไม่สามารถขึ้นไปได้ทุกชั้น” วังเหว่ยเอ่ย
“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าเราจะไปได้แค่ชั้นระดับต้นใช่ไหม”
ท่านเป้ยเล่อเอ่ยยิ้มๆ
“โห อย่าทำแบบนี้กับผมสิ ผมจะให้บัตรลิฟต์ของอาจารย์อาวุโสสองใบกับพวกคุณ สามารถไปได้ทุกชั้นยกเว้นชั้นบนสุด” วังเหว่ยกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ต้องขอบคุณผอ.วังจริงๆ ระดับของแต่ละชั้นยังต่างกันอีกเหรอครับ”
“ใช่แล้ว ตั้งแต่ชั้นสองเป็นต้นไปแบ่งออกเป็นโซนอาจารย์ โซนอาจารย์อาวุโส และโซนอาจารย์ที่ประเมินอาหาร”
ท่านเป้ยเล่อชะงักไป “ยังแค่สี่ชั้นนี่ แล้วชั้นห้าล่ะ”
“ชั้นห้าเป็นชั้นบนสุด สำหรับระดับผู้อำนวยการ บัตรใบนี้…ผมหาให้พวกคุณไม่ได้ แต่ถ้าไปกับผมย่อมได้แน่นอน” วังเหว่ยกล่าว
“ฮ่าๆ ดีจังเลย ดูเหมือนว่ายิ่งขึ้นไปอาหารก็ยิ่งดูน่าอร่อย เราไปลองชิมที่ชั้นผู้อำนวยการกัน”
วังเหว่ยคลี่ยิ้ม “ไปชั้นอาจารย์อาวุโสดีกว่าครับ ผมแนะนำมาก!”
“ไม่ได้หรอก ต่อไปถ้าเราได้เป็นอาจารย์อาวุโสก็สามารถขึ้นมาชั้นพวกนี้ได้เอง แต่ชั้นผู้อำนวยการ…เกรงว่าจะลองขึ้นไปได้ยาก”
วังเหว่ยส่ายหน้าอย่างจนใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร ในที่สุดก็พาพวกเขาไปที่ชั้นรับประทานอาหารระดับผู้อำนวยการ
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะมีท่านเป้ยเล่ออยู่ด้วย
อันที่จริงในโซนรับประทานอาหารระดับผู้อำนวยการจะมีบุคคลอื่นนอกจากผู้อำนวยการปรากฏตัวบ้างเป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่เป็นคนระดับผู้นำ
แต่ถึงแม้จะมีคนเห็นก็ไม่สำคัญ อย่างไรวังเหว่ยก็รู้ดีว่าชื่อของท่านเป้ยเล่อมีประโยชน์แค่ไหนในปักกิ่ง
โซนรับประทานอาหารของผู้อำนวยการแตกต่างจากที่ซ่งจื่อเซวียนคิดไว้มาก
เนื่องจากโครงสร้างอาคารเป็นแบบเพดานสูง จึงไม่มีโถงอื่นนอกจากตรงชั้นหนึ่ง
ทั้งหมดเป็นห้องส่วนตัวขนาดเล็ก แต่ไม่ว่าจะมองจากภายในหรือภายนอกก็ดูธรรมดามาก
ไม่มีการตกแต่งอย่างประณีตเหมือนที่คิดไว้
วังเหว่ยสั่งอาหารให้กับทุกคน เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ดวงตาของท่านเป้ยเล่อก็แทบจะถลนออกมา
ผัดผักบุ้ง ยำแตงกวา เนื้อตุ๋นหนึ่งชาม โจ๊กข้าวฟ่างหนึ่งชาม และหมั่นโถวม้วนอีกสองสามลูก
“นายท่านรอง นี่คือ…อาหารที่ผู้อำนวยการกินกันเหรอ พวกเขามีงบไม่พอหรือเปล่า”
เห็นอาหารหลายอย่างที่มาเสิร์ฟ ฟางรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะถาม
เนื่องจากเขาติดตามซ่งจื่อเซวียนมานาน ฟางรุ่ยก็เคยกินและเคยเห็นมาก่อน เมื่อเขาเห็นอาหารเหล่านี้…จึงทนไม่ไหวจริงๆ
ท่านเป้ยเล่อหยิบตะเกียบแล้วคีบอาหาร “วังเหว่ยล้อฉันเล่นเหรอ เป็นมังสวิรัติเกือบหมดนี่ มีเนื้อตุ๋นแค่หนึ่งที่ แต่ก็ยังตุ๋นแบบง่ายๆ…”
“เหอะๆ ผมบอกแล้วให้ไปโซนอาจารย์อาวุโส คุณไม่เชื่อเอง…”
“ผู้อำนวยการอย่างพวกนายเป็นพวกชอบทรมานตัวเองหรือไง หรือว่าอ้วนเกินไปจนต้องลดน้ำหนัก ไดเอ็ตเหรอ” ท่านเป้ยเล่อถาม
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ระดับผู้อำนวยการวิทยาลัยอาหารปักกิ่ง ทานอาหารเลิศรสมามากมายคงจะเบื่อแล้วล่ะมั้ง ถึงจะเป็นอาหารง่ายๆ พวกนี้ ก็คงมีไว้เพื่อทำให้อิ่มท้องเท่านั้น”
วังเหว่ยยิ้มแล้วกล่าว “จื่อเซวียนทายถูกแล้ว ไม่ว่าอาหารจะอร่อยแค่ไหนก็เป็นแค่การจัดแต่ง อาหารง่ายๆ ถูกปากมากกว่าอีก”
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้าช้าๆ “สมเหตุสมผล ฉันก็ไม่ได้หิวขนาดนั้น งั้นเรากินกันเถอะ”
“ใช่ กินกันก่อนเถอะ วันนี้พวกคุณมีคาบเรียนโฮมรูม นับว่าเป็นคาบเรียนแรกในเจ็ดวัน”
หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มทานอาหาร แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นอาหารมังสวิรัติ แต่มีรสชาติไม่ธรรมดา เชฟธรรมดาไม่สามารถทำรสชาติแบบนี้ได้แน่นอน
ซ่งจื่อเซวียนยังแอบยอมรับศักยภาพของวิทยาลัยอาหารอยู่ในใจ ต่อให้เป็นเจิ้งฮุยและหูเจิ้นก็ไม่สามารถทำให้มีรสชาติแบบนี้ได้
วังเหว่ยเล่าสถานการณ์ในวิทยาลัยให้พวกเขาฟังเล็กน้อย
เนื่องจากมีตระกูลร่ำรวยอยู่ในวิทยาลัยมากมาย ดังนั้นความขัดแย้งและการทะเลาะวิวาทจึงเป็นเรื่องปกติ
ผู้อำนวยการไม่ได้หยุดพฤติกรรมเหล่านี้ ตราบใดที่ไม่มากจนเกินไป เขาจะยอมปิดตาข้างเดียว
อย่างไรก็มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด คนประเภทนี้ถูกกำหนดให้ไม่สามารถอยู่ในสถาบันศึกษาได้ ปล่อยให้พวกเขาสร้างปัญหาไปจนกว่าจะเรียนจบก็พอแล้ว
ดังนั้นวังเหว่ยจึงให้พวกเขาหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับนักเรียนนิสัยไม่ดีเหล่านี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาไม่จำเป็น
เนื่องจากในบรรดาครูเป็นเชฟที่มีความสามารถโดดเด่น จึงมีคนที่อารมณ์ฉุนเฉียวอยู่ไม่น้อย ดังนั้นหากอดทนได้ก็ควรอดทน ขัดแย้งกันให้น้อยที่สุด
กลับมากล่าวถึงโรงอาหารอีกครั้ง
การรับประทานอาหารในโรงอาหารของวิทยาลัย นักเรียนและอาจารย์ผู้สอนทั่วไปรูดบัตรเข้าออกได้เท่านั้น แต่หากจะทานอาหารต้องใช้ค่าอาหารในบัตร
ค่าอาหารนี้ไม่ใช่ว่าเติมเงินได้ จำเป็นต้องได้รับมาเองจากวิทยาลัย
วังเหว่ยไม่ได้พูดถึงวิธีได้รับมา บอกเพียงแค่ว่าเขาจะเข้าใจทั้งหมดหลังจบคาบเรียนแรกเท่านั้น
…………………………………….
…………….