เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 381 เผยเทียนหู่
ตอนที่ 381 เผยเทียนหู่
…………….
เห็นถังจวิ้นลังเล ซ่งจื่อเซวียนก็แอบรู้สึกโล่งใจ
ถึงท่าทางถังจวิ้นจะค่อนข้างมีทิฐิ และค่อนข้างเอาแต่ใจ แต่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล
อย่างน้อยที่สุดตอนนี้เขาเหมือนจะฟังคำพูดของซ่งจื่อเซวียนแล้ว
“คุณอาถังครับ ตอนนี้จีนแผ่นดินใหญ่พัฒนาอย่างรวดเร็ว พวกยุโรปและอเมริกาสนใจตลาดบ้านเรากันทั้งนั้น
เป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่แท้ๆ คุณอากลับคิดจะให้หย่าฉีไปบากบั่นที่ตลาดด้านนอก คุณคิดจะฝึกเธอจริงๆ เหรอครับ
หรือว่าอยากให้เธอไปที่ที่แย่กว่าหน่อยเพื่อจะได้ลองชิมลางเหรอครับ ที่จริงเสียเวลาทั้งนั้นเลย”
ถังจวิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “เอาล่ะ นายไม่ต้องพูดแล้ว ทำไมถึงยังไม่จบอีก ฉันเห็นด้วย พวกนายพูดมาเถอะ ว่าจะเอายังไง”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนกับถังหย่าฉีก็ยิ้มมองตากัน โดยเฉพาะถังหย่าฉี มีสีหน้าดีใจขึ้นมา
“คุณอาถังเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เราก็จะพิสูจน์ด้วยธุรกิจ ว่ายังไงครับ”
“พิสูจน์ด้วยธุรกิจ? ก็คืออาศัยร้านของพวกนายน่ะเหรอ” ถังจวิ้นถาม
ซ่งจื่อเซวียนพูด “คุณอาถัง ในสายตาของคุณร้านนี้อาจจะไม่มีอะไร แต่สามารถบริหารร้านอาหารร้านหนึ่งจนได้กำไรเท่าเราตอนนี้ ที่จริงก็ทำให้คุณแปลกใจแล้ว จุดนี้คุณจะไม่ยอมรับไม่ได้มั้งครับ”
ถังจวิ้นชะงักไป
แน่นอนว่าเขาจำต้องยอมรับ กำไรของร้านนี้แทบจะเกินกว่าวงการอาหารที่เขาเข้าใจแล้ว…
แต่เขาไม่คิดจะยอมรับ นี่อาจจะมาจากความดื้อรั้นของนักธุรกิจคนหนึ่งก็ได้
“พวกนายเปิดร้านได้ไม่เลว แต่ฉันคิดว่าหย่าฉีมีระดับการบริหารที่ดีกว่านี้ ถ้ายอมรับข้อตกลง พวกนายก็สร้างบริษัทสักที่หนึ่งให้ดูสิ”
“เหอะๆ ไม่มีปัญหาครับ คุณอาถัง เวลาที่กำหนดล่ะครับ”
“ครึ่งปี ผลกำไรเกินห้าล้าน” ถังจวิ้นพูดโพล่งออกไป
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเราทำได้แล้วครับ กิจการสวนสวินเฟิงที่อยู่ใต้บริษัท กำไรครึ่งปีเกินห้าล้านหยวนไปตั้งนานแล้วครับ”
“นาย…”
ถังจวิ้นโมโห “พวกนายมีรายงานจริงๆ ไหมล่ะ”
“แน่นอนครับ ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานควบคุมตลาดแล้ว”
ถังจวิ้นสูดลมหายใจลึก “โอเค งั้นก็สิบล้านภายในครึ่งปี จำไว้ ห้ามนับกำไรของสวนสวินเฟิงนี่”
ถังจวิ้นอาศัยแค่คำพูดของซ่งจื่อเซวียนสองสามประโยคก็มองออกว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีชั้นเชิง
ถ้าทำกำไรของสวนสวินเฟิงเพิ่มถึงสิบล้านหยวนได้ภายในครึ่งปี บางทีเด็กคนนี้อาจจะมีความสามารถจริงๆ เขาจึงเสนอให้ไม่นับกำไรของสวนสวินเฟิงเสียเลย
ถังหย่าฉีมองซ่งจื่อเซวียนด้วยสีหน้าลำบากใจ ส่วนฝ่ายถูกมองกลับมีสีหน้ามั่นใจ
“ไม่มีปัญหาครับ ครึ่งปีเราจะส่งผลลัพธ์ให้ดู”
ถังจวิ้นกลอกตาใส่ซ่งจื่อเซวียน “ไอ้หนู บางทีความมั่นใจ…จะทำให้เสียหน้าเอาง่ายๆ นะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มน้อยๆ “ถ้าเสียหน้าจริงๆ ผมก็จะพยายามต่อไปอีกครับ”
ถังจวิ้นมองอาหารบนโต๊ะแวบหนึ่ง “อาหารธรรมดามาก ห่ออาหารนั่นกลับให้หน่อยแล้วกัน”
พูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องส่วนตัวไป
ในห้องส่วนตัว ซ่งจื่อเซวียนกับถังหย่าฉีมองตากัน เผยรอยยิ้มออกมา หลังจากยกแปะมือกัน ถังหย่าฉีก็โถมเข้าไปในอ้อมอกของซ่งจื่อเซวียน
“จื่อเซวียน ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณอะไรเล่า เราเป็นหนึ่งเดียวกันนะ!” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างนุ่มนวล
“แต่ว่า…พวกไต้ทงเขา…”
ซ่งจื่อเซวียนอดแสดงท่าทีอึกอักไม่ได้ ตอนนี้เอง ถังจวิ้นก็เปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง
ถังจวิ้นอึ้ง คิดไม่ถึงว่าจะเห็นลูกสาวของตนกอดอยู่กับไอ้เด็กคนนั้น
“ปล่อยเลยไอ้หนู ฉันจะเตือนนายนะว่าถ้ากล้าเอาเปรียบลูกสาวฉันก่อนหน้าที่ฉันจะได้ดูผลลัพธ์ของพวกนาย รับรองได้เลยว่าฉันไม่ปล่อยนายไปแน่!”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ดันถังหย่าฉีออกทันที ถังหย่าฉีอึ้งไป ไม่คิดว่าจะดันตนออก นี่…กลับลำแล้วเหรอ
บทสนทนาเมื่อครู่ ซ่งจื่อเซวียนสามารถปั้นน้ำเป็นตัวได้ แต่อยู่ต่อหน้าพ่อเขา กอดลูกสาวเขา…ก็พูดออกไปไม่ค่อยได้
“เอาล่ะๆ รีบห่ออาหารให้ฉันได้แล้ว!”
ถังหย่าฉีรีบวิ่งออกไป นำกล่องจากชั้นสองมาใส่น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายให้ถังจวิ้น
ถังจวิ้นก็รู้สึกว่าผิดปกติ หลายปีมานี้ตนมีอาหารอร่อยอะไรที่ไม่เคยกินมาก่อนบ้าง เมื่อครู่ตอนกินน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย คิดไม่ถึงว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองใหญ่ขนาดนี้
อีกทั้ง…จะไม่ห่อกลับก็ค่อนข้างตัดใจไม่ลงด้วย แน่นอนว่าการตัดใจไม่ลงนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน
จากนั้น ตอนที่ถังจวิ้นเดินลงมา ก็ตกใจอยู่บ้างจริงๆ
ตอนนี้ชั้นหนึ่งมีลูกค้าที่กำลังกินข้าวอยู่ไม่น้อย ส่วนใหญ่จะสั่งอาหารรัสเซียกัน
แต่สิ่งที่ทำให้ถังจวิ้นตกใจก็คือลูกน้องที่ตนพามากำลังนั่งล้อมกันเล่นไพ่อยู่ที่โต๊ะโต๊ะหนึ่ง
อีกทั้งคนที่เล่นก็คึกมาก ข้างๆ ยังมีหลายคนล้อมดูความคึกคักด้วย
ซ่งจื่อเซวียนบอกว่าพวกเขาโดนคุมตัวอยู่ไม่ใช่เหรอ
คิดถึงตรงนี้ ถังจวิ้นก็รีบก้าวเข้าไป “ไต้ทง พวกนายทำอะไรน่ะ”
ไต้ทงหน้าแดง “อ้อๆ ท่านประธานถัง เมื่อกี้เห็นพวกคุณกินข้าวกันอยู่ พวกพี่ๆ ก็เลยเล่นกันสองตาครับ”
“เล่นไพ่เรอะ งานที่พวกนายทำที่บริษัทถังกรุ๊ปคือการเล่นไพ่เรอะ”
พอถังจวิ้นพูดแบบนี้ ทุกคนก็วางไพ่โป๊กเกอร์ในมือทันที ลุกขึ้นยืน
แน่นอนว่า ไม่รวมฟางรุ่ยและเหลียงฮั่น
อีกทั้งถังจวิ้นยังสังเกตเห็นว่าข้างๆ มือของเหลียงฮั่นมีโทรศัพท์อยู่เจ็ดแปดเครื่องด้วย…
มิน่าเมื่อครู่ตนถึงโทรหาใครไม่รับสักคน
“โทรศัพท์พวกนายเป็นอะไร”
“เอ่อ…เขาบอกว่านี่เป็นกฎการเล่นไพ่ของตู้เหมินครับ เล่นไพ่จะเสียจังหวะไม่ได้ ต้องเก็บโทรศัพท์”
“ฝากไว้หาแม่…” เกือบสบถคำหยาบออกไป ถังจวิ้นยังกลั้นเอาไว้ได้ “เอาล่ะ รีบเอาโทรศัพท์กลับมา ไปได้แล้ว!”
“หา? ไปแล้วเหรอครับ” ไต้ทงชะงัก พูดว่า “ท่านประธานถัง แล้วหย่าฉี…”
ถังจวิ้นหันหลังกลับมา “นายอยู่ที่ตู้เหมินดูแลเธอดีๆ เกิดอะไรขึ้นฉันจะให้นายเอาอีกครึ่งชีวิตมาคืน!”
“ครับ ท่านประธานถัง!”
พูดจบ ไต้ทงก็มองถังหย่าฉีที่อยู่ด้านหลังถังจวิ้นแวบหนึ่ง คนที่อยู่ด้านหลังก็ทำหน้าทะเล้นใส่เขา เห็นได้ชัดว่าดีใจมาก
ไต้ทงไม่ได้สนใจมากขนาดนั้น ขอแค่สงบสุขไม่มีเรื่องอะไร เขาก็วางใจ
เดินไปถึงหน้าประตู ถังจวิ้นก็เหมือนจะกลืนก้อนความโมโหนี้ไม่ลง หันหลังไปมองซ่งจื่อเซวียน
“ไอ้หนู นี่คือสิ่งที่นายบอกว่าควบคุมไว้อยู่เหรอ”
“ใช่ครับคุณอาถัง คุณคิดว่าเป็นยังไงครับ” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มใสซื่อ
ถังจวิ้นพยักหน้า กัดฟัน “ก็ดีไอ้หนู นายนี่มันแน่จริงๆ”
พูดจบ เขาก็หันหลังขึ้นรถไป
“พ่อคะ อาหารที่ห่อ…”
ถังจวิ้นไม่พูดไม่จา ลดกระจกรถลงสิบกว่าเซนติเมตร ยื่นมือออกมารับกล่องอาหารไปแล้วปิดกระจก
เห็นรถสองสามคันขับออกไป ถังหย่าฉีหัวเราะจนตัวงอ
“จื่อเซวียน นายนี่นิสัยไม่ดีจริงๆ ฉันยังนึกว่านายจะเก็บพวกไต้ทงไปแล้วเสียอีก!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ทำจริงๆ ไม่ได้หรอก เหอะๆ ฉันแค่ให้รุ่ยจื่อกับเหลียงฮั่นเล่นกับพวกเขาสองสามตา ไต้ทงก็ผสมโรงด้วยแค่นั้นเอง”
“เหอะๆ จื่อเซวียน ความสามารถนี้ของนายหลอกท่านประธานถังได้ คราวหลังฉันต้องคอยระวังนายสักหน่อยแล้วล่ะ นายต้องทำตัวดีๆ กับหย่าฉีหน่อยนะ!”
ซ่งจื่อเซวียนดึงถังหย่าฉีเข้ามาในอ้อมอก “เรื่องนั้นยังต้องพูดอีกเหรอ”
“คิกๆ ระวังพ่อฉันยังไปไม่ไกลนะ!” ถังหย่าฉีพูด
ซ่งจื่อเซวียนรีบหดมือกลับ ทุกคนก็หัวเราะออกมา
กลับถึงห้องทำงาน ซ่งจื่อเซวียนก็จิบชา พูดว่า “ในที่สุดก็เคลียร์จบแล้ว ดีใจกับเธอด้วยนะหย่าฉี ที่ตอนนี้ยังไม่ต้องจากตู้เหมินไป”
ถังหย่าฉีกลับมุ่ยปาก “ยังจะพูดอีก สิ่งที่นายกับพ่อตกลงกันคืออะไร สิบล้านภายในครึ่งปี แถมยังเกี่ยวข้องกับสวนสวินเฟิงไม่ได้อีก พวกนายจะทำอะไรกันน่ะ”
“ก็อย่างที่พ่อเธอพูดนั่นแหละ จดทะเบียนบริษัท”
“หลังจากนั้นล่ะ บริหารบริษัทอะไร ตอนนี้พวกเราเป็นศูนย์หมดเลยนะ ครึ่งปี…ทันที่ไหนล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่ต้องรีบ เราค่อยๆ คิดได้ บริษัทกับร้านอาหารไม่เหมือนกัน ร้านอาหารเป็นรายได้ที่ยั่งยืน แต่บริษัททำให้พุ่งทะยานในรวดเดียวได้”
“หืม นายหมายความว่ายังไง” ถังหย่าฉีถาม
“อย่างสวนสวินเฟิง ได้เงินมาเท่าไรก็ต้องก้าวไปทีละก้าว กิจการทุกเดือนสะสมเป็นกำไรต่อปี ถูกไหม”
ถังหย่าฉีพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู
“แต่บริษัทไม่ใช่ ขอแค่เราคิดโครงการดีๆ สักโครงการได้ เซ็นสัญญา ลงทุน อย่างนั้นสิบล้านก็เข้าบัญชีแล้ว”
ถังหย่าฉีคิด “ที่พูดมาก็ไม่เลว แต่จะไปหาโครงการแบบนี้ได้ที่ไหนล่ะ สิบล้านนะคะพี่ชาย ต่อให้หลอกลวงก็ยากนะ”
“เหอะๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่คิดออกภายในสองสามวันอยู่แล้ว ไม่ต้องรีบหรอก มีฉันอยู่ทั้งคน!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางตบไหล่ถังหย่าฉี
ได้ยินประโยคนี้ ถังหย่าฉีก็รู้สึกโล่งใจมากเป็นพิเศษ
ที่จริงตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ก็เป็นแบบนี้ ตั้งแต่รู้จักซ่งจื่อเซวียน ขอแค่ประโยคเดียวของเขา ถังหย่าฉีก็รู้สึกสบายใจได้แล้ว
ขอแค่ซ่งจื่อเซวียนปรากฏตัว ถังหย่าฉีก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
…
เมืองสือโจว มณฑลอวิ๋นอัน
มณฑลอวิ๋นอันติดกับตู้เหมิน ปักกิ่ง ขณะเดียวกันก็ติดกับมณฑลฉินซีด้วย
พูดง่ายๆ ก็นับว่าเป็นพื้นที่ศูนย์กลางแห่งหนึ่งของเศรษฐกิจภาคเหนือ
แต่เนื่องจากไม่ได้พัฒนารวดเร็วมากนัก เศรษฐกิจของเมืองมากมายในมณฑลยังค่อนข้างล้าหลัง
หรือก็คือหลายปีมานี้เป็นเมืองที่พัฒนาเร็วเมืองหนึ่ง
ตึกระฟ้าสี่สิบชั้นใจกลางเมือง ชั้นที่ยี่สิบสาม
ในห้องทำงาน บนโต๊ะกาแฟที่ยาวเกือบสองเมตรวางชุดชงชาหินคุณภาพสูงเอาไว้
ชายคนหนึ่งอายุประมาณห้าสิบกว่าปีกำลังขยับอุปกรณ์ในชุดชงชาสองสามชิ้นไปมา มองออกว่าเขาเข้าใจศาสตร์การชงชาเป็นอย่างดี
ชายคนนั้นสวมเสื้อคอจีน ทรงผมเป็นทรงสลิคแบคอย่างสุภาพ เหนือริมฝีปากมีหนวดสองแถบ สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือแหวนหยกเม็ดใหญ่บนมือเขา
ส่วนด้านหน้าเขา มีชายอายุประมาณสี่สิบกว่าปีนั่งอยู่ เทียบกันแล้ว รัศมีแย่กว่าไม่น้อย
อีกทั้งสีหน้าเขายังมีความเจ็บปวดเล็กน้อย ดูแล้วค่อนข้างสะบักสะบอม
“เสี่ยหู่ เรื่องเป็นแบบนี้เลยครับ ไอ้เด็กนั่นไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด”
เสี่ยหู่พยักหน้าน้อยๆ “หนวดพญามังกร…ไม่มีโอกาสจะได้มันมาแล้วเหรอ”
“ไม่ครับ เสี่ยหู่ ผมก็กลัวว่าเสี่ยจะยังอยากได้ จึงแอบสืบเรื่องไอ้เด็กนั่นมา ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันอยู่ที่ไหนครับ”
ได้ยินดังนั้น เสี่ยหู่ก็หรี่ตาลง “ตู้เหมิน…ถิ่นของหวงฟา”
“ครับ เสี่ย เป็นถิ่นหวงฟาครับ”
“งั้นก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องขยับตัวมาก ฉันติดต่อกับหวงฟาสักหน่อย ให้เขาช่วย แกค่อยไปตู้เหมิน เอาของกลับมา” เสี่ยหู่พูด
“อย่างนั้นก็เยี่ยมมากเลยครับ แต่ว่า…เสี่ยครับ เรื่องที่ไอ้เด็กคนนั้นกระทืบคนของเรา…”
เห็นได้ชัดว่าตู้อวิ๋นเลี่ยงยังพะว้าพะวังกับเรื่องนั้นอยู่ตลอด ถ้าแค่เอาหนวดพญามังกรกลับมาเฉยๆ ไม่เพียงพอจะขจัดความแค้นในใจเขาไปได้
“หวงฟาจะจัดการให้ ถึงตอนนั้นแกก็พาไอ้เด็กนั่นมาที่สือโจวด้วย!”
“ได้ครับเสี่ย กำลังรอประโยคนี้ของเสี่ยอยู่พอดี พวกเราพี่น้องกำลังอดกลั้นความโกรธกันอยู่เลยครับ”
ได้ยินดังนั้น เสี่ยหู่ก็แค่นหัวเราะ “ไร้สาระ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ เลยพวกแกน่ะ แต่ว่า…ของที่เผยเทียนหู่อย่างฉันอยากได้ยังกล้าแย่ง…ในวงการนี้ยุ่งเหยิงจริงๆ คนรุ่นหลังนี่ไม่มีมารยาทเกินไปแล้ว”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงยิ้ม “เหอะๆ เด็กเวรพวกนั้นไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่ว่า…เสี่ยครับ ทางเสี่ยหวงจะไม่มีปัญหาจริงๆ เหรอครับ”
ได้ยินดังนั้น เผยเทียนหู่ก็แค่นหัวเราะเรียบๆ “ไม่มีอยู่แล้วล่ะ พูดถึงลำดับอาวุโส หวงฟาอย่างเขาก็ยังต้องเรียกฉันว่าอาหู่เลย!”
………………………………………….
…………….