เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 38 ผมต้องการเจอเชฟของพวกคุณ
ตอนที่ 38 ผมต้องการเจอเชฟของพวกคุณ
ซ่งจื่อเซวียนผงะ แต่ไม่นานนักเขาก็เข้าใจ ในเมื่อหลินเทียนหนานไม่ยอมออกหน้า ก็ต้องมีเถ้าแก่ในนามอยู่แล้ว คิดดูแล้วต้องเป็นลูกน้องของเขาคนนี้แน่นอน
“ไม่เป็นไรครับ คุณมาได้ก็พอแล้ว ผมหวังว่าจะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้ชัดเจนน่ะครับ จะได้ไม่ลำบากผมตอนที่ทำงานที่นี่” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“แน่นอนครับ” คุณซุนพยักหน้า หันไปมองโจวเผิงทันที “ผู้จัดการโจว นายกับหัวหน้าเชฟมานี่ พวกเรามาประชุมกันสักหน่อย!”
“อ้อ ครับ” โจวเผิงส่งสายตาให้เจิ้งฮุย ปฏิกิริยาของคนหลังเหมือนกับเขา ยังตกอยู่ในความงงงวย
เห็นทั้งสามคนจากไป ซางเทียนซั่วพูดว่า “อาจารย์ ผู้ชายคนนั้นเป็นใครเหรอ”
“เถ้าแก่แหละ”
“เถ้าแก่? อ้อ…ที่แท้ต้าสือไต้ก็เป็นของเขา คงค่อนข้างมีเงินน่าดู”
ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน หลัวลี่ลี่วิ่งเหยาะๆ มา “นี่ เชฟซ่ง นั่นคือเถ้าแก่เหรอ”
“ฮะ คงใช่แหละมั้ง” ซ่งจื่อเซวียนพูดยิ้มๆ
“พูดอย่างนี้…นายรู้จักเถ้าแก่สินะ ฮ่าๆๆ น่าสนใจจริงๆ” หลัวลี่ลี่ป้องปากหัวเราะ “สองคนนั้นจิกกัดนายอยู่ทั้งวัน กลับไม่รู้ว่าเถ้าแก่เกรงอกเกรงใจนายขนาดนี้ เหมือนกับหนังจริงๆ เลยเนาะ”
“หนัง? ขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ…”
ซางเทียนซั่วยิ้ม “เหอะๆ คนสวย รู้แล้วใช่ไหมว่าอาจารย์ฉันสุดยอดแค่ไหน จากนี้พวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้ว ฉันจะคุ้มครองเธอเอง อยู่ที่นี่ใครกล้ารังแกเธอให้มาบอกฉันได้!”
“นายเนี่ยนะ ฉันใช้ให้นายคุ้มครองฉันเหรอ ถ้าฉันจะใช้จริง ตรงไปหาเชฟซ่งไม่ดีกว่าหรือไง” หลัวลี่ลี่หลอกตาใส่เขาพลางพูด
“นั่นไม่เหมือนกัน จะฆ่าไก่ทำไมต้องใช้มีดฆ่าวัวเล่า[1] เรื่องของเธอไม่ต้องถึงมืออาจารย์หรอก แค่ฉันก็พอแล้ว!”
“ฆ่าไก่…มีดฆ่าวัว…สำนวนนี้ไม่คุ้นเลยแฮะ” หลัวลี่ลี่ใคร่ครวญ เลิกคิ้วงามขึ้นทันที มุ่ยปากพูด “นายว่าใครเป็นไก่นะ!”
“หา? ฉัน…ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นสักหน่อย นี่มันเป็นการเปรียบเปรยต่างหาก…” ซางเทียนซั่วพูดอย่างกังวล
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพลางส่ายหน้า “เอาล่ะ ทำงานกันเถอะ”
หลัวลี่ลี่เกือบอาเจียนออกมา ทำท่าทางจะอ้วก เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ทันที
ในห้องส่วนตัวของภัตตาคาร คุณซุนนั่งอยู่ตรงข้ามประตู และโจวเผิงกับเจิ้งฮุยนั่งถัดไปซ้ายขวา
“วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น” คุณซุนถาม
“คุณซุน คืออย่างนี้ครับ พวกเราไม่ได้รับการติดต่อจากคุณ แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับพาคนคนนึงมาทำงาน แน่นอนว่าพวกเราไม่ยอมอยู่แล้วครับ” โจวเผิงพูด
เจิ้งฮุยรีบพยักหน้า “ใช่ ใช่ครับ เถ้าแก่ พวกเราก็ไม่รู้เรื่องนะ”
คุณซุนชำเลืองมองเขา “ไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้ฉันก็ต้องแจ้งพวกนายอย่างเป็นทางการว่าซ่งจื่อเซวียนคือเชฟที่เราเชิญมาโดยเฉพาะ ต้องปฏิบัติกับเขาเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะด้วยระบบของภัตตาคารหรือความเคยชินของพวกนายก็ไปจำกัดเขาไม่ได้ เข้าใจไหม”
“เอ่อ…” ต้องพูดเลยว่า โจวเผิงแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมา หลายวันมานี้เขาแทบจะทนซ่งจื่อเซวียนไม่ไหวแล้ว เช้าวันนี้คนที่ซ่งจื่อเซวียนพามาด่าเขาไปรอบหนึ่ง ตอนนี้เถ้าแก่ก็ปกป้องอีก ย่อมทำให้เขาโมโหในใจ
“เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมกับกฎเท่าไรมั้งครับ” เจิ้งฮุยพูดพลางยิ้มกระอักกระอ่วนไปด้วย เห็นได้ชัดว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าเถ้าแก่ ความยโสโอหังของเขาหายไปหมดแล้ว
“ไม่เหมาะสมเหรอ ฉันคิดว่าแค่นายทำตามที่ฉันบอกก็พอแล้วนี่ ไม่มีอะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเลย” คุณซุนพูดจบก็หรี่ตาเล็กน้อย เหมือนไม่คิดจะอธิบายอะไรแล้ว
โจวเผิงกับเจิ้งฮุยสบตากัน ทั้งสองคนรู้ว่าอะไรควรไม่ควรจึงไม่สู้รบตบตีต่ออีก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเถ้าแก่ ต่อให้ร้านอาหารนี้เป็นยังไงก็ต้องฟังเขา
“ครับ คุณซุน”
“เอาล่ะ ฉันพูดจบแล้ว ผู้จัดการโจว นายไปทำงานก่อนเถอะ อืม…หัวหน้าเชฟอยู่ก่อนนะ”
คุณซุนพูดจบ เจิ้งฮุยก็ชะงักไป กังวลขึ้นมาในใจทันที อย่างไรโจวเผิงยังรู้จักกับคุณซุนมาก่อน แต่เขากลับเป็นครั้งแรกที่เจอหน้าเถ้าแก่ ยิ่งทำให้คิดโยงไปเองได้ง่ายมากว่าเถ้าแก่จะลงดาบเขาแล้ว…
โจวเผิงสีหน้าประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไร เพียงแค่ส่งสายตาเห็นอกเห็นใจมองไปที่เจิ้งฮุย เหมือนกำลังพูดว่า ‘ขอให้นายโชคดีนะ’ แล้วก็จากไป
โจวเผิงเดินออกไปแล้วปิดประตู ได้ยินเสียงปิดประตู เจิ้งฮุยก็ใจสั่นครู่หนึ่ง “เถ้า เถ้าแก่ ความจริงแล้วผม…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ คุณซุนยกมือขึ้นห้ามเขา พูดว่า “เจิ้งฮุย ก่อนหน้านี้เป็นเชฟหลักอยู่ที่จินไท่หยาง ปีก่อนเป็นหัวหน้าเชฟที่ชวนเซียงฝู่ เชี่ยวชาญอาหารเสฉวน[2]และอาหารซานตง[3]”
“เถ้าแก่ เรื่องนี้คุณ…” เจิ้งฮุยพูดด้วยสีหน้างุนงง
คุณซุนพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้พูดผิดใช่ไหม”
“ครับ เป็นร้านอาหารร้านเดิมที่ผมทำ”
“หัวหน้าเชฟเจิ้งก็นับว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์แน่น ความจริงแล้วนายเป็นรุ่นพี่ในวงการอาหาร เพียงแต่ฉันเพิ่งจะมาเข้าวงการนี้”
ได้ยินคำพูดนี้ ในใจเจิ้งฮุยก็ยิ่งลนลาน เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “เถ้าแก่ คุณอย่าหยอกผมเล่นสิครับ ตรงไหนที่ผมทำผิดไปผมแก้ไขได้นะครับ”
“ฮ่าๆๆ นายกังวลอะไรเนี่ย ฉันรู้อยู่แล้วว่าจุดสำคัญในการทำภัตตาคารให้ดีก็ขึ้นอยู่กับครัวด้านหลัง เพียงแต่ฉันคิดว่าพวกเราควรจะสนิทสนมและติดต่อกันมากกว่านี้ แบบนี้งานถึงจะดีขึ้นยิ่งกว่าเดิม”
คุณซุนพูดพลางยกแขนขึ้นมองนาฬิกาข้อมือ เห็นได้ชัดว่าเขามีแนวคิดเรื่องเวลาเป็นสิ่งสำคัญมาก
“ที่เถ้าแก่พูดก็ถูกครับ วันหลังผมมีปัญหาอะไรจะต้องรายงานขึ้นไปแน่นอน” ถึงแม้เจิ้งฮุยจะนับว่าอยู่ในวงการมาหลายสิบปี แต่เทียบกับคุณซุนแล้วยังอ่อนด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเวลาพูดจาจึงระมัดระวังมาก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายเลย
“ฉันว่าจะติดต่อกับนายโดยตรง มีปัญหาอะไรนายก็มาบอกฉันได้เลย นายเข้าใจที่ฉันจะสื่อหรือยัง”
“อะไรนะครับ คุณหมายความว่า…จะให้ผมอยู่ใต้คุณโดยตรงเหรอครับ”
แม้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เจิ้งฮุยเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องที่ดี เขาควรจะอยู่ใต้อาณัติของโจวเผิงตอนที่อยู่ในภัตตาคาร แต่หากเป็นเช่นนี้ก็ชัดเจนว่าไม่เหมือนเดิมแล้ว เท่ากับว่าเขากับผู้จัดการภัตตาคารระดับพอๆ กัน
“ถูกต้อง หมายถึงอย่างนั้นแหละ แต่…ฉันมีหน้าที่พิเศษอย่างหนึ่งให้นายโดยเฉพาะ หวังว่านายจะช่วยฉันได้” คุณซุนพูด
“คุณวางใจเถอะครับ อย่าพูดมากเลย จะเป็นสิบหน้าที่ก็ไม่มีปัญหา!” เจิ้งฮุยพูดอย่างจงรักภักดีทันที
คุณซุนได้ยินก็ยิ้ม พยักหน้าน้อยๆ
……
ใกล้เที่ยงก็เริ่มมีลูกค้าเข้ามาในภัตตาคารบ้างประปรายแล้ว เสียงทำอาหารของครัวด้านหลังก็ดังตามมา
เพียงแต่บรรยากาศของครัวด้านหลังตอนนี้กดดันมาก ทั้งการเปิดตัวของเถ้าแก่ ทั้งหัวหน้าเชฟถูกเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัว ทำให้คนที่ทำงานในครัวด้านหลังเริ่มคาดเดาถึงผลลัพธ์หลายอย่าง
ซ่งจื่อเซวียนมีออร์เดอร์ข้าวผัดจักรพรรดิมาหนึ่งที่ หลังจากเสิร์ฟก็กลับมานั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง
ซางเทียนซั่วกลายเป็นคนว่างงานคนที่สองในครัว งานที่เขารับผิดชอบก็คือยืนอยู่ข้างๆ ซ่งจื่อเซวียน ยืนจนเหนื่อยแล้วถึงได้เดินออกไปหยิบเก้าอี้ในโถงด้านหน้ามานั่งตัวหนึ่ง แน่นอนว่าโจวเผิงที่เห็นเขาหยิบเก้าอี้ก็ไม่กล้าพูดอะไร โดนด่าตอนอยู่ต่อหน้าคนเยอะแยะขนาดนั้นก็ต้องอับอายอยู่แล้ว
เพิ่งจะถึงช่วงพีคของมื้อเที่ยง โจวเผิงก็เห็นชายวัยกลางคนที่สั่งอาหารไว้เมื่อวานเดินเข้ามา เขากวักมือเรียกหลัวลี่ลี่ พูดว่า “ลี่ลี่ เธอไปรับชายวัยกลางคนคนนั้นหน่อยสิ เขาเป็นคนที่สั่งข้าวผัดจักรพรรดิน่ะ”
“ทำไมคุณถึงไม่ไปล่ะคะ” หลัวลี่ลี่กลอกตาถาม
“ไม่มีประโยชน์น่ะสิ นึกว่าจะเป็นคนยิ่งใหญ่อะไร หงหยวนเซิน…ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ชื่อบริษัทก็ไม่เคยได้ยินเลย”
หลัวลี่ลี่ยักไหล่แค่นเสียง เดินออกไปนอกเคาน์เตอร์ทันที
เธอนำหงหยวนเซินไปที่โต๊ะ พูดว่า “คุณหง คุณมาสั่งข้าวผัดจักรพรรดิใช่ไหมคะ”
หงหยวนเซินยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า “ถูกต้อง ขอข้าวผัดจักรพรรดิหนึ่งที่ จริงสิ สาวน้อย คุณรู้ได้ยังว่าผมแซ่หง”
“แหะๆ ฉันเคยเห็นนามบัตรคุณน่ะค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง” หงหยวนเซินมองลูกค้ารอบๆ ทันที พูดด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าวันนี้คนที่สั่งข้าวผัดจักรพรรดิจะไม่ได้เยอะขนาดนั้นแล้วนะ”
“ใช่ค่ะ แต่มื้อเที่ยงเพิ่งจะเริ่ม พวกเราก็เพิ่งรับลูกค้าเหมือนกัน คุณรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวก็มาเสิร์ฟ”
หงหยวนเซินส่ายหน้ายิ้มๆ คิดในใจว่า ‘ดูท่าเมื่อวานจะมีโอกาสเป็นไปตามที่ฉันคิด ทั้งหมดเป็นคนของตัวเองมาให้การสนับสนุนจริงๆ ข้าวผัดจักรพรรดิ…เป็นอาหารรสเลิศที่สูญหายไปร้อยปีแล้ว จะเป็นไปได้ยังไง…ฉันคิดมากไปเองสินะ’
“เหอะๆ แก่แล้วยังจะทำตัวปัญญาอ่อนแบบนี้อีก เชื่อมุกตลกพวกนี้ไปได้ยังไง”
ในครัวด้านหลัง ซ่งจื่อเซวียนกำลังทำข้าวผัดอยู่ เจิ้งฮุยเดินเข้ามา ทุกคนไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เถ้าแก่คุยอะไรกับเจิ้งฮุย
เจิ้งฮุยเดินตรงมาที่ซ่งจื่อเซวียน พูดว่า “ซ่งจื่อเซวียน มีออร์เดอร์ข้าวผัดอีกแล้วเหรอ”
“เหอะๆ ดูท่าข้าวผัดนี่จะมีจุดที่โดดเด่นจริงๆ นายทำงานไปก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวเราสองคนพี่น้องมาคุยกัน!”
เจิ้งฮุยพูดประโยคนี้ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดก็ชะงักไป นี่มัน…หัวหน้าเชฟเจิ้งฮุยเหรอ ฟังจากที่ไหนก็ไม่เหมือนเขาเลย พูดแบบนี้หมายความว่าก้มหัวให้ซ่งจื่อเซวียนแล้วเหรอ เหลือจะเชื่อจริงๆ!
ซ่งจื่อเซวียนก็ประหลาดใจฉับพลัน เจิ้งฮุยไม่สาดน้ำเย็นใส่ ไม่พูดจาประชดประชันก็ช่างเถอะ นึกไม่ถึงว่าจะพูดแบบนี้ด้วย ทั้งยัง…เราสองคนพี่น้อง?
ไม่นานนัก ข้าวผัดก็จัดเสิร์ฟ ซางเทียนซั่วยกไปที่ช่องส่งอาหาร
เจิ้งฮุยส่งน้ำอัดลมให้ซ่งจื่อเซวียน พูดว่า “ครัวด้านหลังมันร้อน นายไปดับร้อนเสียหน่อย ก็ถือว่าเป็นคำขอโทษจากพี่ชายคนนี้แล้วกันนะ แหะๆ”
ซ่งจื่อเซวียนผงะไปสองสามวินาที แต่ก็ยังรับน้ำอัดลมมา “ขอบคุณครับ ผมไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย”
“ฮ่าๆ อย่างนั้นก็ดี ฉันรู้ว่าน้องจื่อเซวียนเป็นผู้ชายแมนๆ อยู่แล้ว คงไม่จริงจังกับฉันขนาดนั้นหรอก” เจิ้งฮุยตบไหล่ของซ่งจื่อเซวียน “เฮ้อ ก็เป็นพี่ชายอย่างฉันคนนี้ที่ทำไม่ถูกต้อง ความจริงแล้วมีเด็กใหม่เข้ามา ฉันก็ควรจะดูแลนายสิถึงจะถูก ผลคือ…ฮ่าๆ โกรธเป็นเด็กๆ ไปได้”
“หัวหน้าเชฟคุณก็พูดเกินไป ทุกคนเพิ่งได้รู้จักกัน กระทบกระทั่งกันบ้างเป็นเรื่องปกติ ผมยังเด็กก็มีสิ่งที่ทำไม่ถูกเหมือนกัน พวกเราหายกันแล้วกันนะครับ”
ได้ยินดังนี้ เจิ้งฮุยก็พยักหน้า ยกกำปั้นขึ้นมาพูดว่า “ได้ ในเมื่อน้องชายพูดแบบนี้ เป็นพี่ชายก็จะไม่พูดมาก หลังจากนี้พวกเรามาทำงานในครัวด้านหลังด้วยกัน ตอนนี้ต้องดึงกระแสข้าวผัดจักรพรรดิในรูปแบบนี้มาให้ได้ มีอะไรที่นายต้องการ ฉันจะช่วยสนับสนุนสุดกำลังเลย”
หลี่เทาเดินเข้ามาใกล้ พูดเสียงเบา “พี่เจิ้ง เกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่ว่าพี่พูดว่า…อาหารซิกเนเชอร์นี่เป็นแค่แจกันดอกไม้เหรอ อาหารอื่นๆ ของพวกเราต่างหากที่เป็นกำลังหลักน่ะ”
“ฮ่าๆๆ นายจะเข้าใจอะไร อาหารซิกเนเชอร์ไม่จำเป็นต้องมียอดขายสูงสุด แต่กลับเป็นจุดที่ดึงดูดคนให้มาที่ภัตตาคาร ไม่มีอาหารซิกเนเชอร์คอยดึงดูด อาหารอย่างอื่นจะมียอดขายได้ยังไง อีกอย่างถ้ายกเรื่องราคามาพูดเพียงอย่างเดียว สองวันมานี้ข้าวผัดจักรพรรดิก็เป็นเมนูเดียวที่ทำกำไรได้สูงที่สุดแน่นอน”
พวกหลี่เทามึนงงไปแล้วจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเจิ้งฮุยจะช่วยซ่งจื่อเซวียนพูด ดูท่าเมื่อครู่เถ้าแก่จะสั่งสอนเขาอย่างดีไปแล้วรอบหนึ่ง…
ในขณะเดียวกันที่โถงด้านหน้า ข้าวผัดก็ถูกยกไปเสิร์ฟให้หงหยวนเซิน สีหน้าของเขาประหลาดใจจนถึงขีดสุด ความจริงแล้วนับตั้งแต่ข้าวผัดส่งกลิ่นมา เขาก็ตะลึงไปแล้ว
เห็นข้าวผัดที่หน้าตาธรรมดาๆ ตรงหน้า เขาก็สูดลมหายใจอย่างอดไม่ได้ หยิบช้อนขึ้นมาชิมคำเล็กๆ แล้วเงยหน้าขึ้นทันที “พนักงาน ผมต้องการพบเชฟของพวกคุณ!”
…………………………………….
[1] จะฆ่าไก่ทำไมต้องใช้มีดฆ่าวัว (杀鸡焉用牛刀) ใช้เปรียบเปรยถึงการทุ่มกำลังอันมากมายเพื่อผลลัพธ์อันน้อยนิด ซึ่งไม่คุ้มค่ากับที่ลงแรงไป
[2] อาหารเสฉวน (川菜) คืออาหารที่มีต้นกำเนิดที่มณฑลเสฉวน โดดเด่นที่รสชาติเผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุน
[3] อาหารซานตง (鲁菜) หรืออาหารหลู่ ที่มีต้นกำเนิดในมณฑลซานตง รสชาติเค็มนำและเน้นความสดของเนื้อ