เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 379 หนูทำได้
ตอนที่ 379 หนูทำได้
…………….
นี่มันเหนือความคาดหมายของถังจวิ้นไปไกล
เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าลูกสาวของตนสามารถเปิดสโมสรอาหารเลิศรสไปพร้อมๆ กับเรียนหนังสือไปด้วย
“หย่าฉี ลูก…”
ถังจวิ้นไม่อยากเชื่อ ในสายตาของเขาถังหย่าฉียังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ อยู่เลย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับงานจนละเลยลูกสาวคนนี้ด้วยซ้ำ
นี่เป็นโอกาสดีที่สองพ่อลูกได้เจอกันในรอบหลายเดือน แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าการเจอกันในครั้งนี้ เด็กสาวคนนี้จะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“ใช่ค่ะพ่อ หนูเปิดคลับเฮาส์นี้เอง หนูคิดว่า…คงไม่ทำให้พ่อขายหน้าใช่ไหมคะ”
ถังจวิ้นมองไปรอบๆ ห้องส่วนตัวอีกครั้ง และถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
อันที่จริงเขามีความสุขมาก ในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ย่อมหวังว่าลูกสาวของตนจะประสบความสำเร็จในธุรกิจด้วย
ทว่าเมื่อถังหย่าฉีเปิดไพ่ของเธอออกมา ถังจวิ้นก็เกิดความสงสัยเกี่ยวกับร้านนีั้
ร้านนี้ทำรายได้ต่อปีได้เกินห้าล้านจริงหรือ
ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่าลูกสาวของเขาจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานเช่นนี้ได้
เพราะหากไม่เปรียบเทียบกับนักธุรกิจรายใหญ่เหล่านั้น ความสำเร็จระดับนี้ก็ถือว่าหายากในหมู่นักธุรกิจรุ่นใหม่แล้ว
“หย่าฉี ลูกบอกว่าลูกเป็นคนเปิดร้านนี้เองเหรอ”
“ทำกับเพื่อนน่ะค่ะ” ถังหย่าฉีกล่าว
ถังจวิ้นขมวดคิ้วพลางไตร่ตรอง “ฮ่าๆ ลูกจะให้พ่อเชื่อได้ยังไง”
“เชื่ออะไร ผลประกอบการของร้านเหรอคะ”
ถังจวิ้นพยักหน้า “พ่อไม่จำเป็นต้องดูสมุดบัญชี เพราะความถูกต้องไม่น่าเชื่อถือ จำนวนลูกค้าก็เหมือนกัน พ่อไม่มีทางมั่นใจว่าคนพวกนั้นไม่ใช่คนที่ลูกจ้างมา”
“พ่อคะ…”
ดวงตาของถังหย่าฉีเบิกกว้าง เทียบกับการโต้เถียงกันก่อนหน้านี้ ความไม่เชื่อใจของพ่อในตอนนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ถังหย่าฉีเจ็บปวดเสียยิ่งกว่า
“หึๆ แต่ละเดือนลูกสาวของพ่อใช้เงินเป็นหมื่นๆ แสนๆ หยวน แค่จ้างคนมาสักสองสามคนไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก”
ถังจวิ้นพูดด้วยรอยยิ้ม
ในเวลานี้ ถังจวิ้นไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าความไม่เชื่อใจของตนทำร้ายถังหย่าฉีมากแค่ไหน
ในสายตาของเขา นี่เป็นเพียงการจับไต๋ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของลูกสาวเท่านั้น
ถังหย่าฉีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “แล้วพ่อคิดว่าต้องทำยังไงพ่อถึงจะเชื่อเหรอคะ”
“เชื่อแล้วยังไงล่ะหย่าฉี เรื่องที่พ่อวางแผนไว้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ ตารางกำหนดการอะไรก็เตรียมไว้หมดแล้ว”
ถังหย่าฉีกำหมัดเล็กๆ ไว้แน่น
เธอคิดมานานแล้วว่าคงจะเปลี่ยนใจพ่อไม่ได้ง่ายๆ แต่ไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้
ตอนนี้สวนสวินเฟิงประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้ พูดได้เต็มปากเลยว่าเธอได้มอบคำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้กับพ่อแล้ว
แต่ปัญหาใหม่คือ…พ่อไม่เชื่อซะงั้น!
“พ่อคะ หนูไปไม่ได้ นี่เป็นร้านของหนู ตอนนี้หนูต้องเรียน ต้องทำงาน แถมช่วงนี้ยังเป็นช่วงสร้างธุรกิจ พ่อจะให้หนูไปอเมริกาเหรองั้นเหรอ ไม่มีทาง!”
“วันหนึ่งพอลูกมองย้อนกลับมา ลูกจะพบว่าธุรกิจที่ลูกสร้างขึ้นมาตอนนี้ เป็นแค่การเตรียมตัวไปสู่อนาคต!”
ถังจวิ้นขึ้นเสียงอีกครั้ง
“พ่อจะบอกว่า…ให้หนูทิ้งร้านของตัวเองไปเหรอคะ”
ถังจวิ้นเว้นวรรคไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้า “หย่าฉี เทียบกับอนาคตของลูกแล้ว ร้านนี้ไม่มีค่าพอให้อาลัยอาวรณ์เลยนะ”
“ฮ่าๆ แล้วอนาคตของหนูคืออะไรละคะ” ดวงตาของถังหย่าฉีรื้นด้วยน้ำตาอีกครั้ง
“แน่นอนว่าต้องเป็นการศึกษาที่ดีที่สุด และเข้าไปทำงานในบริษัทยังไงล่ะ”
ถังหย่าฉียิ้มทั้งน้ำตา “พ่อคะ ถ้าหนูเข้าไปทำงานในบริษัท จะให้หนูอยู่ในตำแหน่งอะไร หนูต้องพยายามมากแค่ไหน และหนูจะได้ผลตอบแทนสักเท่าไรคะ”
ได้ยินดังนั้น ถังจวิ้นก็ผงะไป
เขาเข้าใจดีว่าถังหย่าฉีหมายถึงอะไร อันที่จริงแม้ว่าเธอจะเข้าไปทำงานในบริษัท กลายเป็นผู้บริหารระดับสูงหรือผู้จัดการ รายได้ต่อปีของเธอก็อยู่ที่หลักล้านเท่านั้น
“หึๆ หย่าฉี ลูกเหมือนกับคนอื่นๆ ซะที่ไหน ลูกต้องรู้สิว่าบริษัทถังกรุ๊ปเป็นของครอบครัวเรา”
ถังหย่าฉีส่ายหน้าและกล่าวว่า “หนูไม่คิดอย่างนั้นค่ะพ่อ มันเป็นของพ่อต่างหาก”
“ต่อไปในอนาคตมันก็จะตกเป็นของลูกอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”
“ฮ่าๆ น่าขำซะไม่มี พ่อคะ พ่อยอมยกถังกรุ๊ปให้หนูตอนนี้หรือเปล่าล่ะ”
ถังจวิ้นตอบ “ยอมสิ ลูกเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อ มีเหรอพ่อจะไม่ยอม แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา!”
“ยังไม่ถึงเวลา แล้วเมื่อไรพ่อจะยกให้หนูละคะ จนกว่าพ่อจะประคับประคองมันต่อไปไม่ไหวงั้นเหรอคะ”
ถังหย่าฉีสูดหายใจเข้าลึก “พ่อคะ บริษัทเป็นสิ่งที่พ่อสร้างมา ไม่ใช่หนู สวนสวินเฟิงเป็นสิ่งที่หนูสร้างมา หนูต้องปกป้องมันเอาไว้”
ถังจวิ้นเงียบไป
“พ่อคะ รายได้ของสวนสวินเฟิงในตอนนี้เป็นแค่ก้าวแรก ต่อไปหนูจะสร้างโอกาสที่ดียิ่งกว่านี้ให้กับมัน พ่ออยากจะให้หนูทำลายมันไปตอนนี้เลยเหรอคะ
ถ้ามีคนขอให้พ่อทิ้งบริษัทไปตอนที่พ่อกำลังสร้างมันขึ้นมา พ่อจะทำยังไงคะ”
ถังจวิ้นมองลูกสาวของตนและกล่าวว่า “ถ้ามีคนปูทางให้พ่อ พ่อก็ไม่ลังเลที่จะเดินไปบนทางสายหลัก นี่แหละที่จะช่วยรักษาช่วงเวลาวัยเยาว์ของพ่อไว้ได้!”
“ไม่ค่ะพ่อ ถ้าเป็นอย่างนั้นพ่อก็จะไม่มีอำนาจอย่างทุกวันนี้ เพราะพ่อต้องพึ่งพาความช่วยเหลือของคนอื่นอยู่เสมอ ต้องคิดถึงความคิดของคนอื่น ไม่มีทางเป็นถังกรุ๊ปได้เหมือนทุกวันนี้หรอก”
ถังจวิ้นตกตะลึงกับประโยคนี้
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของถังหย่าฉีนั้นไม่ผิดเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาค่อยๆ ก้าวขึ้นมาทีละขั้นๆ เขาคงไม่มีทางได้เป็นถังจวิ้นในทุกวันนี้
แต่ถังจวิ้นไม่อาจยอมรับได้
เขาไม่อาจปล่อยให้ถังหย่าฉีเติบโตด้วยตนเอง เขารู้ว่าโลกนี้น่ากลัวแค่ไหน เขาไม่อยากให้ถังหย่าฉีต้องเสี่ยงในฐานะผู้หญิงตัวคนเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้อ้อมแขนของเขายังทรงพลังมากอีกด้วย
เขาทำงานหนักมาหลายปี ไม่ใช่เพื่อปกป้องลูกสาวของเขาหรอกหรือ จะปล่อยให้เธอโบยบินด้วยตัวเอง ถังจวิ้นทำไม่ได้
“ไม่ หย่าฉี ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว พ่อไม่เห็นด้วย”
“ทำไมละคะ”
ถังหย่าฉียืนขึ้น
“ทำไมพ่อถึงสร้างธุรกิจได้ แต่หนูทำไม่ได้คะ ทั้งที่ตอนนี้หนูก็ทำได้ดี!”
“ก็เพราะว่าพ่อเป็นพ่อของลูกไง!”
ถังจวิ้นตบโต๊ะ พร้อมกับตวาดลั่น
เขาลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้ตะโกนเสียงดังแบบนี้มานานแค่ไหน
แม้แต่ตอนอยู่ที่บริษัท ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องอะไร ถังจวิ้นก็ยังคงมีเหตุผลอยู่เสมอ
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับลูกสาวในตอนนี้ เขากลับโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
ถังหย่าฉีมองพ่อบังเกิดเกล้าของตน น้ำตาสองสายไหลออกมา
“ถ้าเป็นแบบนั้น หนูก็ไม่อยากมีพ่อแบบคุณแล้วล่ะค่ะ”
เมื่อฟังน้ำเสียงอันราบเรียบของลูกสาว หัวใจของถังจวิ้นแทบจะระเบิดเป็นผุยผง
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ แต่ละวันมีคนประจบประแจงเขากี่คน มีกี่คนที่ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อจะได้พบหน้าประธานถัง
บางคนทำเพื่อธุรกิจ บางคนทำเพื่อการเรียนรู้ พูดง่ายๆ คือการติดตามถังจวิ้นคือความฝันของพวกเขา
แต่ตอนนี้คนที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุดกลับพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“หย่าฉี ลูก…”
ถังหย่าฉีส่ายหน้า “พ่อ หนูไปกับพ่อไม่ได้ค่ะ จะปักกิ่งหรืออเมริกาหนูก็ไม่ไปทั้งนั้น
ส่วนเรื่องเรียน หนูอยากเรียนที่หนานกวนให้จบ ถ้าพ่อยังยืนกรานจะให้หนูลาออกให้ได้…
อย่างแย่ที่สุดหนูยอมลาออกก็ได้ หนูคิดว่าสิ่งที่หนูได้รับมาจนถึงตอนนี้ มันมากกว่าสิ่งที่บัณฑิตทั่วไปจะทำได้แล้ว”
หลังจากรับฟังคำพูดของลูกสาว ถังจวิ้นไม่คิดจะตอบกลับอย่างใช้อารมณ์
กลับกันเขาทำใจให้เย็นลง รู้สึกว่าเขาต้องคิดอย่างรอบคอบว่าจะโน้มน้าวลูกสาวของตนอย่างไรแทนที่จะใช้ความรุนแรงกำราบเธอ
เมื่อลูกสาวโตขึ้น วิธีนี้ไร้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด
“หย่าฉี ตอนนี้พวกเราใจเย็นลงก่อนดีไหม
พ่อหมายถึง…ในเมื่อพ่อสร้างธุรกิจขึ้นมาแล้ว ทำไมลูกจะต้องไปลำบากลำบนอีกล่ะ”
ถังหย่าฉีตอบ “หนูอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แทนที่จะรับเอาสิ่งที่พ่อให้มา พ่อเข้าใจบ้างไหม”
“หย่าฉี ลูกเป็นผู้หญิง ความอยากเอาชนะของลูกอาจจะเหนือกว่าพวกผู้ชาย แต่สุดท้ายลูกก็ต้องได้รับการปกป้อง
ถ้าลูกไม่อยู่เคียงข้างพ่อ แล้วใครจะปกป้องลูก”
ถังหย่าฉีถอนหายใจ และเผยรอยยิ้มผ่อนคลาย
“ฮ่าๆ ตลอดหลายปีมานี้ หนูไปโรงเรียนเอง ส่วนใหญ่ก็มีแต่ไต้ทงที่อยู่ข้างๆ พ่อคิดว่าตัวเองปกป้องหนูจริงๆ งั้นเหรอ”
“พ่อ…”
“พ่อคะ ความสำเร็จทำให้พ่อเห็นแก่ตัว พ่อคิดถึงแต่การงานของตัวเอง พ่อเคยคิดถึงหน้าที่การงานของหนูตั้งแต่เมื่อไร
ลองคิดจากอีกมุมหนึ่งสิคะพ่อ ถ้าหนูบอกว่าอนาคตของสวนสวินเฟิงนั้นไร้ขีดจำกัด พ่อจะขายถังกรุ๊ปมาช่วยหนูไหม”
ถังจวิ้นตกตะลึง เขารู้สึกว่าลูกสาวของเขาช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน นี่ไม่ใช่ปัญหาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ
ถังกรุ๊ปเป็นองค์กรขนาดใหญ่ เป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ ส่วนร้านอาหารนี่ถึงจะมีรายได้สูงแค่ไหนก็ยังเป็นแค่ร้านอาหาร
“หย่าฉี อย่าทำตัวเป็นเด็กแบบนี้นะ ก่อนหน้านี้พ่องานยุ่ง พ่อทำหน้าที่ได้ไม่ดี แต่ตอนนี้ขอโอกาสให้พ่อแก้ตัวได้ไหม
ต่อไปพ่อจะใช้เวลากับลูกให้มากขึ้น ลูกต้องอยู่เคียงข้างพ่อนะ
อยู่ที่ตู้เหมิน ลูกจะรับมือกับปัญหาต่างๆ นานาได้ยังไง ต่อให้เป็นร้านอาหารเล็กๆ นี่ลูกก็คงเจอกับปัญหาไม่น้อยเลยใช่ไหม
การบริหารธุรกิจเอย ภาษีเอย ประกันสังคมเอย ธนาคารเอย หรือกระทั่งลูกค้าที่มากหน้าหลายตา ถ้าไปเจอกับนักเลงเข้าจะทำยังไง”
ถังจวิ้นสูดหายใจลึกๆ “ถ้าพ่อไม่อยู่ก็ไม่มีใครปกป้องลูก”
“อาถัง ผมคิดว่า…ผมปกป้องหย่าฉีได้ครับ”
คนที่เดินเข้ามาคือซ่งจื่อเซวียน
พอเห็นซ่งจื่อเซวียน ถังหย่าฉีก็ไม่อาจจะฝีนทำตัวเข้มแข็งได้อีกต่อไป น้ำตาของเธอไหลออกมาเป็นสาย เธอฟุบหน้าร้องไห้กับโต๊ะ
“นายคือ…”
เห็นชายหนุ่มธรรมดาๆ อยู่ตรงหน้า ถังจวิ้นก็พูดพลางหรี่ตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า
เห็นได้ชัดว่าสายตาของถังจวิ้นแฝงไปด้วยความดูถูก แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้สนใจ
“คุณอา ผมชื่อซ่งจื่อเซวียนครับ ผมก่อตั้งร้านนี้ร่วมกับหย่าฉีเองครับ”
“นายเป็นเชฟที่ทำอาหารจานนี้งั้นเหรอ”
ถังจวิ้นชี้ไปที่น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่ครับ จานนี้ผมเป็นคนทำเอง คุณอา ถ้าคุณจะไป ให้ผมดูแลหย่าฉีนะครับ ผมจะปกป้องเธอเอง”
“ไอ้หนุ่ม อาหารของนายอร่อยดี แต่ฉันไม่คิดว่าเชฟคนหนึ่งจะปกป้องลูกสาวของฉันได้”
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจน้ำเสียงดูแคลน และคำพูดที่ดูหมิ่นเชฟนั้น
“คุณจะคิดแบบนั้นก็ได้ แต่คุณไม่คิดบ้างเหรอครับว่าถ้าหย่าฉีไปแล้วจะเป็นยังไง”
ถังจวิ้นกำลังจะอ้าปาก ซ่งจื่อเซวียนก็พูดต่อ “คุณเอาแต่มองว่าหย่าฉีเป็นแค่เด็ก จะไปรู้สึกรู้สาอะไร
จากไปแล้วคงจะเศร้าแค่ไม่กี่วัน เดี๋ยวก็ดีขึ้น ไว้เธอไปถึงถังกรุ๊ปอันยิ่งใหญ่ของพวกคุณเมื่อไร เธอก็จะตาสว่างและดีใจที่ได้ไปจากตู้เหมินพร้อมกับคุณ
แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกคุณคือ คุณคิดผิดแล้ว
หย่าฉีไม่ใช่เด็ก เธอมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง เธอมีความสามารถที่จะแยกแยะถูกผิด การที่คุณคอยบงการเธอแบบนี้มันคือการกระทำที่ไม่เคารพและไม่ใส่ใจในตัวเธอ”
ถังจวิ้นมองซ่งจื่อเซวียนอีกครั้ง รู้สึกว่าเขาจะดูถูกไอ้เชฟนี่เกินไป
“นายรู้หรือเปล่า…ว่ากำลังพูดกับใครอยู่”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ทราบพื้นเพครอบครัวของหย่าฉี แต่ผมรู้ว่าผมกำลังพูดกับคนที่หย่าฉีรักที่สุดในโลก
ผมเชื่อว่าในโลกนี้คุณเป็นคนที่ห่วงความรู้สึกของหย่าฉีมากที่สุด”
“ไอ้หนุ่ม นายมันปากกล้าดี แต่เพราะแบบนี้แหละ ฉันจะไม่ยอมให้คนอย่างนายมาปกป้องลูกสาวของฉันเด็ดขาด!”
…………………………………………….
…………….