เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 378 เลื่อยขาเก้าอี้
ตอนที่ 378 เลื่อยขาเก้าอี้
…………….
ถังหย่าฉีดีใจทันทีที่ถังจวิ้นพูดเช่นนั้น ถ้าพ่อเธอยอมเดิมพัน เขาต้องแพ้อย่างแน่นอน
“โอเคค่ะพ่อ หนูพนันว่ากำไรต่อเดือนของร้านนี้ ไม่ต่ำกว่าห้าแสนหยวน!”
ถังจวิ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆ สาวน้อย ที่ลูกพูดมาน่าจะเป็นกำไรต่อปีมากกว่า”
“ก็ได้ค่ะ หนูไม่เถียงกับพ่อเรื่องนี้หรอก พวกเรามาพนันกันสักตาดีกว่า ถ้าหนูชนะ ห้ามให้หนูลาออกนะคะ”
ถังจวิ้นได้ยินดังนั้นก็โบกมือ “แบบนั้นไม่ได้หรอก หย่าฉี เรื่องนี้พ่อคิดไว้หมดแล้ว จะเอามาล้อเล่นได้ยังไง”
“พ่อคิดไว้แล้วงั้นเหรอคะ หมายความว่าตราบใดที่พ่อวางแผนมาแล้ว หนูต้องเชื่อฟังพ่อทุกอย่างใช่ไหมคะ” ถังหย่าฉีถาม
ถังจวิ้นมองลูกสาวของตน แล้วพยักหน้า “พ่อคิดว่าต้องเป็นแบบนั้น”
ถังหย่าฉีแค่นหัวเราะอย่างเอือมระอา “เยี่ยม เยี่ยมไปเลยค่ะ แล้วเหมือนไรจะถึงตาหนูคิดบ้างล่ะคะ”
ถังจวิ้นได้ยินดังนั้นก็เงียบไป
“พ่อคะ พ่อกลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร พ่อพูดมาคำเดียวว่าคิดมาแล้ว หนูก็ต้องลาออกจากมหา’ลัย ต้องไปต่างประเทศ เรียนจบแล้วก็ต้องเข้าไปทำงานในธุรกิจของพ่อ เดินตามแผนที่พ่อวางไว้เหรอคะ”
ถังจวิ้นตกตะลึงกับคำถาม
เขาต้องยอมรับว่าเขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน
ในมุมมองของเขา ปกติงานของเขาก็ยุ่งมากอยู่แล้ว เขามีบริษัททั้งในและต่างประเทศที่ต้องดูแล
นอกจากนี้ในฐานะผู้นำ เขาต้องไม่ประมาทในการบริหารงาน หากเกิดความผิดพลาดขึ้นเพียงเล็กน้อย นั่นหมายถึงความสูญเสียครั้งใหญ่
ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องดูแลลูกสาวของเขา ด้วยการมอบการศึกษาที่ดีที่สุด และอนาคตที่ดีที่สุดกับเธอ
ให้เธอได้ยืนในจุดที่สูงขึ้น ได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น
เขาถึงขั้นสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้เรียนรู้มากับลูกสาว…
เมื่อเห็นว่าถังจวิ้นไม่ตอบ ถังหย่าฉีจึงพูดต่อ “พ่อคะ หนูเป็นใครคะ หนูเป็นลูกจ้างของพ่องั้นเหรอ แค่พ่อสั่งมาคำเดียว หนูต้องหอบกระเป๋าเอกสารวิ่งแจ้นไปหาพ่อเลยเหรอ”
เห็นพ่อโมโหขึ้นมาแบบนี้ ถังหย่าฉีกลับยิ้ม
เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“พ่อคะ เวลาพ่อคุยกับพวกหัวหน้าแผนก พ่อก็พูดแบบนี้เหรอคะ”
“พอได้แล้วหย่าฉี ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว มาเปลี่ยนแปลงเอาตอนนี้ มันจะเป็นปัญหาหนักกว่าเดิม” ถังจวิ้นกล่าว
“ปัญหาเหรอคะ พ่อคะ ตอนหนูเด็กๆ พ่อเลี้ยงหนูด้วยตัวเอง หนูไม่เคยเห็นพ่อกลัวปัญหาเลยนี่คะ…”
ขณะที่ถังหย่าฉีพูด ดวงตาก็รื้นไปด้วยน้ำตา “ตอนนี้พ่อกลัวปัญหาเหรอคะ หรือว่า…พ่อคิดว่าหนูเป็นตัวปัญหา”
ได้ยินดังนั้น ถังจวิ้นถึงกับเงียบไป
ดูเหมือนว่าเขากำลังทบทวนคำพูดของถังหย่าฉี
ตอนที่ถูกภรรยานอกใจ ถังจวิ้นต้องเลี้ยงดูลูกสาวตามลำพัง ในเวลานั้น…เขาต้องทำงานไปด้วย ดูแลลูกสาวไปด้วย
เขาพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อสิ่งที่ลูกสาวต้องการ ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยเลยสักครั้ง…
ต่อมา แม่ของถังหย่าฉีกลับมาอีกครั้ง ถังจวิ้นก็ยินดีปล่อยวางความแค้นในอดีต
ไม่ใช่เพราะความต่ำต้อย แต่เป็นเพราะการทำงานและเลี้ยงดูลูกไปด้วยนั้น มันเหนื่อยเกินไปสำหรับผู้ชายคนหนึ่ง
หลายครั้งเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะแตกสลาย
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ลูกสาวก็ไม่ยอมรับแม่ของเธอเลย ทำให้ถังจวิ้นต้องเผชิญกับชีวิตที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างการดูแลลูกกับหน้าที่การงานอีกครั้ง
วันนี้ลูกสาวของเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และเขาก็แก่ตัวลงแล้ว
“หย่าฉี พ่อไม่ได้เร่งเร้าลูกนะ พวกเราค่อยๆ คุยกันดีกว่า ลูกลองทำตามสิ่งที่พ่อคิดก่อนดีไหม”
“แล้วถ้ามันไม่สำเร็จละคะ” ถังหย่าฉีถาม
“ไม่สำเร็จ? ไม่มีทาง พ่อปูทางไว้ให้ลูกดีแล้ว” ถังจวิ้นตอบ
ถังหย่าฉีพยักหน้า “อ๋อ งั้นเหรอคะ พ่อคะ พ่อปูทางไว้ให้หนูงั้นเหรอ แล้วใครเป็นคนปูทางไว้ให้พ่อละคะ”
“เอ่อ…”
“พ่อคะ หนูโตแล้วนะ หนูไม่ต้องการให้พ่อปูทางให้ หนูมีความคิดเป็นของตัวเอง มีชีวิตที่หนูต้องการนะคะ”
ถังจวิ้นได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้า ในสายตาของเขา ลูกสาวช่างไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย
“หย่าฉี สิ่งที่ลูกคิดคือสิ่งที่ลูกมองเห็นเท่านั้น เมื่อใดที่ลูกได้มองจากมุมที่สูงขึ้น เห็นอะไรที่ดีขึ้นลูกจะเข้าใจ ว่าทั้งหมดนี่อาจจะไม่เหมือนกับสิ่งที่ลูกคิดจริงๆ” ถังจวิ้นกล่าว
“หึๆ ถึงอย่างนั้นหนูก็พร้อมจะเสี่ยง นี่มันคือชีวิตของหนู
พ่อคะ หนูไม่ใช่ลูกจ้างของพ่อ พวกเขายื่นเรซูเม่เข้ามาทำงานในบริษัท กินเงินเดือน เวลาจะทำอะไรก็ต้องฟังคำสั่งจากพ่อ
แต่หนูไม่ใช่ หนูอยากทำในสิ่งที่อยากทำ หนูอยากเรียนที่มหา’ลัยหนานกวน แล้วเริ่มต้นธุรกิจด้วย” ถังหย่าฉีกล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ถังจวิ้นก็ยิ้มบางๆ แล้วลูบศีรษะของลูกสาว
“ยัยเด็กโง่ ลูกพูดแบบนี้พ่อก็ดีใจนะ แต่…ลูกคิดว่าการสร้างธุรกิจเป็นเรื่องง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
ถังหย่าฉีส่ายหน้า “ไม่ใช่นะคะ แต่หนูจำเป็นต้องเรียนรู้ พ่อคะ พ่อคิดว่าหนูต้องทำแค่ไหนถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จคะ”
ถังจวิ้นฟังแล้วก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
“ความสำเร็จ…พ่อเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน ถ้างั้นหย่าฉี ลูกคิดว่าลูกอยากเป็นคนแบบไหนล่ะ” ถังจวิ้นถาม
ถังหย่าฉีครุ่นคิดครู่หนึ่ง “มีอิสระ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และใช้มันหาเลี้ยงตัวเองได้ค่ะ”
“แล้วลูกคิดว่าอะไรที่หาเลี้ยงตัวเองได้ล่ะ ตอนนี้ลูกมีกินมีใช้สุขสบาย คงไม่คิดว่าเงินเดือนเดือนละหนึ่งหมื่นแปดพันหยวนจะพอกินใช่ไหม”
ถังหย่าฉีส่ายหน้า “ไม่มีทางอยู่แล้วค่ะ หนูคิดว่า…หนูทำให้พ่อเห็นได้”
ขณะที่พ่อลูกกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง บานประตูห้องส่วนตัวก็ถูกเปิดออก อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ
ถังจวิ้นมองอาหารเหล่านี้ แล้วหัวเราะออกมา “ดูสิ แม้แต่อาหารยังหน้าตาธรรมดาเลย”
“ลองชิมดูสิคะ”
ถังจวิ้นคีบตะเกียบ “อืม รสชาติไม่เลว รสชาติอาหารของตู้เหมินดีกว่าของปักกิ่งจริงๆ
แต่ราคาน่าจะถูกกว่านิดหน่อย เพราะด้วยกำลังการซื้อ ตู้เหมินยังถือว่าค่อนข้างต่ำ”
ถังหย่าฉียิ้มแล้วกล่าวว่า “จานนี้เจ็ดสิบแปดหยวน จานนี้เก้าสิบแปด จานนี้สี่สิบห้า จานนี้หนึ่งร้อยยี่สิบแปดค่ะ”
ได้ยินราคาแล้วถังจวิ้นถึงกับตะลึง สำหรับประธานบริษัทอย่างเขา เงินหนึ่งร้อยแปดสิบหยวนนี้ไม่ได้มีค่าอะไรเลย แต่เขารู้ดีว่าในอุตสาหกรรมอาหาร อาหารธรรมดาๆ แต่ขายในราคานี้ถือว่าไม่ใช่ถูกๆ เลย
“ออเดิร์ฟเย็นนี่สี่สิบห้าหยวนเลยเหรอ”
“ใช่ค่ะ ส่วนห้องส่วนตัวนี่ราคาขั้นต่ำอยู่ที่หนึ่งพันห้าร้อยหยวน พ่อคะ กำไรคงจะเยอะกว่าที่พ่อคิดไว้มากเลยใช่ไหม” ถังหย่าฉีพูด
ถังจวิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “กำไรเยอะทีเดียว แต่จำนวนลูกค้าคงจะน้อย ที่ตู้เหมินคงไม่มีใครกินข้าวมื้อละพันทุกวันหรอกมั้ง”
“แต่ตราบใดที่ร้านยังรักษาฐานลูกค้าประจำไว้ได้ และขยายเครือข่ายออกไป ก็รับประกันได้ว่าที่นั่งจะเต็มทุกวันนะคะ”
“ลูกจะบอกว่า..ร้านนี้คนเต็มทุกวันงั้นเหรอ”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ ความถี่ในการใช้ห้องส่วนตัวบางทีก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เฉพาะช่วงอาหารค่ำ ห้องส่วนตัวทุกห้องจะมีคนใช้ถึงสองกลุ่มติดต่อกัน
ถังจวิ้นขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ “นี่มัน…วันหนึ่งมีรายได้สามถึงสี่หมื่นหยวนเชียวเหรอ”
ถังหย่าฉีหัวเราะ สามถึงสี่หมื่น? นี่เป็นแค่เงินจากน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายเท่านั้นเอง
อันที่จริงยอดขายอาหารรัสเซียและอาหารจีนของสวนสวินเฟิงในตอนนี้ถือว่าไม่เลว แถมยังไม่รวมค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีก
ทุกคนในอุตสาหกรรมอาหารรู้ดีว่าโดยทั่วไปแล้วกำไรของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้
อาหารโต๊ะหนึ่งอยู่ที่ประมาณสามถึงสี่ร้อยหยวน มีความเป็นไปได้ว่าค่าเครื่องดื่มอาจจะแพงกว่าค่าอาหารเสียอีก นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก
ถังจวิ้นครุ่นคิด “ถ้าเป็นแบบนี้ กําไรขั้นต้นจากยอดขายต่อเดือนน่าจะเกินหนึ่งล้านหยวน หักค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าเช่า…”
“ก็จะเหลือสี่ถึงห้าแสนหยวนจริงๆ”
ถังหย่าฉีพูดแกมหัวเราะ “พ่อคะ ถ้าพ่อพนันกับหนู พ่อแพ้ไปแล้วนะ”
“ดูเหมือนจะจริง แต่…หย่าฉี ร้านแบบนี้ไม่ว่าจะไปที่เมืองไหนก็มีอยู่ไม่มาก ลูกจะเอาร้านนี้ร้านเดียวมาตัดสินว่าประเทศพัฒนาไปไกลกว่าต่างประเทศจริงๆ เหรอ
และถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่รายได้ต่อปีของเถ้าแก่ก็ไม่เกินห้าถึงหกล้านหยวน สายตาของลูกคับแคบเกินไป” ถังจวิ้นกล่าว
“ประเด็นสำคัญคือหนูไม่ได้อยากตั้งเป้าหมายไว้สูงขนาดนั้นนี่คะ” ถังหย่าฉีพูด
“ไร้สาระน่า ลูกเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง หย่าฉี ลูกเป็นลูกสาวของถังจวิ้น ลูกยินดีจะใช้ชีวิตแบบคนธรรมดางั้นเหรอ”
ถังหย่าฉีพูดด้วยความงุนงง “คนธรรมดาแบบไหนคะ พ่อคะ หนูต้องขึ้นไปให้สูงเท่าบริษัทถังกรุ๊ปเท่านั้นเหรอคะ ถึงจะไม่ใช่คนธรรมดา”
“โอเค งั้นเรามาคุยกันเรื่องนี้ รายได้ของผู้บริหารระดับสูงของบริษัทอยู่ที่เท่าไร คงไม่ถึงสิบแปดล้านถูกไหม”
“เท่าที่หนูรู้มา รายได้ต่อปีของรองประธานจางเต๋อคิดรวมๆ แล้วอยู่ที่สองล้านหยวน”
ถังจวิ้นพยักหน้า “ถูกต้อง แต่ลูกคิดว่าถ้าพ่อปล่อยให้ลูกอยู่ในประเทศต่อไป ลูกจะเปิดร้านอาหารแบบนี้ได้เหรอ”
ถังหย่าฉีกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ประตูห้องส่วนตัวก็ถูกเปิดอีกครั้ง คราวนี้คนที่เข้ามาคือซางเทียนซั่ว
อาหารที่อยู่ในมือของเขาคือน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย
เมื่อวานซ่งจื่อเซวียนสอนซางเทียนซั่วทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายฉบับสำเร็จรูป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาลองทำ
รสชาติถือว่าไม่เลว อย่างน้อยตนก็เคยชิมฉบับดั้งเดิมมาก่อน
“พ่อคะ ลองชิมจานนี้ดูสิคะ นี่เป็นเมนูซิกเนเชอร์ของร้านเลยนะคะ”
ได้ยินดังนั้น ซางเทียนซั่วก็ยืนนิ่ง ปิดปากเงียบ
ถังจวิ้นหยิบตะเกียบขึ้นมาทันที เมื่อคีบอาหารเข้าปาก เขาถึงกับตกตะลึง
ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าช็อกไปเลย
“จาน…จานนี้…หย่าฉี เชฟร้านนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ”
ซางเทียนซั่วที่ได้ยินดังนั้น พลันคลี่ยิ้มพึงพอใจออกมา
“พ่อคิดว่าไงคะ”
ถังจวิ้นคีบเข้าปากอีกคำแล้วพูด “ถังจวิ้นคนนี้ทำธุรกิจอาหารมาหลายสิบปี นอกจากอาหารของตัวเอง พ่อเคยชิมสารพัดเมนูตั้งแต่เหนือจรดใต้
แต่…จานนี้ยกให้เป็นที่หนึ่งเลย!”
ได้ยินพ่อเอ่ยปากชมเช่นนั้น ถังหย่าฉีก็ถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่เธอไม่ได้บอกว่าเธอเป็นคนเปิดร้านสวนสวินเฟิงแห่งนี้เอง
มิฉะนั้นด้วยนิสัยอย่างถังจวิ้น เกรงว่าให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับว่าอาหารจานนี้เป็นอาหารเลิศรส แม้แต่ตะเกียบก็คงไม่ยอมหยิบขึ้นมาด้วยซ้ำ
พูดจบ ถังจวิ้นก็ตักน้ำแกงใส่ชามแล้วซดทันที ท่าทางดูเอร็ดอร่อยมาก
ถังหย่าฉีส่งสายตาให้ซางเทียนซั่ว อีกฝ่ายจึงยอมจากไป
“พ่อคะ จานนี้อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”
“รสชาติไม่เลวเลยหย่าฉี ที่จริงพ่อก็คิดอยากเปิดร้านอาหารจีนสาขาใหญ่ที่อเมริกาสักร้าน พ่อว่าน่าจะลองติดต่อเชฟร้านนี้ได้”
ถังหย่าฉีรู้สึกปลื้มปริ่ม คิดในใจว่าพ่อคะ พ่อคิดจะเลื่อยขาเก้าอี้ลูกสาวตัวเองแล้วเหรอ
“หนูเกรงว่าเชฟของที่นี่…พ่อน่าจะดึงตัวไปไม่ได้นะคะ”
“หืม? ทำไมล่ะ ถ้ามีปัญหาเรื่องเงินเดือน พวกเราให้สองเท่าไปเลยก็ได้ บวกกับเงินอุดหนุนต่างๆ สำหรับไปต่างประเทศด้วย” ถังจวิ้นเอ่ย
ถังหย่าฉีส่ายหน้ายิ้มๆ “เชฟคนนี้เป็นหนึ่งในเจ้าของร้านค่ะ เขาก็เหมือนกับหนู ชอบความอิสระ ไม่ชอบทำงานให้กับใคร”
ถังจวิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “งั้นเราก็ขอซื้อสูตรเขามาสิ ขอแค่ทำเมนูนี้ออกมาได้ พ่อว่าราคาสูงหน่อยก็ไม่เป็นไร”
“คงจะไม่ได้เหมือนกันค่ะ เชฟคนนี้เขาทุ่มเทให้กับการศึกษาค้นคว้าด้านอาหาร และสร้างร้านมาด้วยมือของตัวเอง ไม่ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับเงินทองหรือการข่มขู่สักกี่ครั้ง เขาก็ไม่เคยขายสูตรลับของเขาเลยค่ะ”
“หึๆ คนแบบนี้หายากนะ ยิ่งในสมัยนี้ หย่าฉี ลูกรู้จักคนคนนี้เหรอ” ถังจวิ้นถาม
“พ่อคะ ร้านนี้เป็นร้านที่หนูกับเชฟคนนั้นเปิดด้วยกันค่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ตะเกียบในมือของถังจวิ้นถึงกับชะงักค้าง ดวงตาเบิกกว้างขณะจ้องมองถังหย่าฉี
……………………………………….
…………….