เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 372 นายคือแรงขับเคลื่อนของฉัน
ตอนที่ 372 นายคือแรงขับเคลื่อนของฉัน
…………….
สองสามวันต่อมา ร้านสวนสวินเฟิงยังคงเงียบสงบ
ต่งหมิงไม่ได้พาคนมาหาเรื่อง และไม่มีคนของหน่วยงานควบคุมตลาดมาเหมือนกัน
แน่นอนว่า ไม่นับหวังเฉียงกับลู่ลี่จวิน
หวังเฉียงจะพาเพื่อนมาเป็นบางครั้ง ถือว่ามาช่วยอุดหนุนซ่งจื่อเซวียน
มีสองสามครั้งที่ซ่งจื่อเซวียนแสดงตัวอยากจะขอเลี้ยงข้าว แต่หวังเฉียงก็ยังจ่ายเงิน
อย่างไรความสัมพันธ์ของคนทั้งสองในตอนนี้มีความแตกต่างกัน ถึงแม้ลู่ลี่จวินกับซ่งจื่อเซวียนจะรู้จักกันแบบส่วนตัว
แต่หวังเฉียงก็เป็นคนฉลาดมีสายตาเฉียบคม สามารถมองออกว่าน้องชายคนนี้กับหัวหน้าของตนมีความสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ซ่งจื่อเซวียนนำน้ำแกงสายเกล็ดปลาทองห้าสายไปให้เจ้าถิงถิงทุกวัน
เมื่อได้รับการบำรุงรักษาในช่วงนี้ เจ้าถิงถิงแทบจะรอซ่งจื่อเซวียนนำอาหารมาส่งให้ทุกวันเลยก็ว่าได้
จนถึงตอนนี้ เธอเริ่มทานอาหารได้แล้ว แต่เป็นอาหารอ่อนเท่านั้น
อย่างเช่นซ่งจื่อเซวียนจะใส่บะหมี่แห้งจำนวนหนึ่งลงไปในน้ำแกงห้าสาย และตั้งใจทำให้สุกเป็นพิเศษ เช่นนี้ถึงจะย่อยง่าย
และในขณะเดียวกัน ผู้นำเจ้าและครอบครัวนับว่าทานน้ำแกงห้าสายจนติดใจแล้ว
ทุกวันหลังจากเจ้าถิงถิงทานแล้ว อาหารที่เหลือก็แทบจะกลายเป็นกับแกล้มของผู้นำเจ้า
ตามคำพูดของฉินลี่ผู้เป็นคุณนายเจ้า ปกติผู้นำเจ้าจะกลับมาทานข้าวที่บ้านน้อยครั้งมาก แต่ตอนนี้กลับดื่มเหล้านิดหน่อยก่อนนอน
ซึ่งก็คือใช้น้ำแกงห้าสายมาเป็นกับแกล้ม
เช่นนี้แล้วสำหรับซ่งจื่อเซวียนนับว่าเป็นเรื่องดีแน่นอน ยังไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งของผู้นำเจ้า แค่มีคนยอมรับอาหารของตัวเอง ถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่าน่าดีใจแล้ว
ตอนเช้า ซ่งจื่อเซวียนนำน้ำแกงห้าสายมาที่บ้านของผู้นำเจ้า
พอเข้าประตูบ้าน ฉินลี่ก็พูดว่า “จื่อเซวียน มาแล้วเหรอ ถิงถิงบ่นถึงนายตั้งแต่เช้าแล้วนะ”
หลังจากที่ได้รู้จักกันในช่วงนี้ ซ่งจื่อเซวียนจะพูดคุยกับฉินลี่เป็นบางครั้ง ฉินลี่ก็เปลี่ยนคำเรียกขานเขาเป็นจื่อเซวียนแล้วเหมือนกัน
รักษาอาการป่วยของลูกสาวหายดีแล้ว อารมณ์ของคนเป็นแม่จึงดีขึ้นเป็นธรรมดา ช่วงนี้เธอเอาแต่พูดถึงความดีของซ่งจื่อเซวียนต่อหน้าผู้นำเจ้าทุกวัน
บางครั้งช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้นำเจ้าอยู่บ้าน ก็จะพูดคุยกับซ่งจื่อเซวียนเป็นบางครั้ง
ในสายตาของเขา เด็กหนุ่มคนนี้มีศักยภาพที่ไม่ธรรมดา ไม่เพียงแต่พูดจามีมารยาท ทั้งยังมีความสุขุมรอบเป็นอย่างมาก
สองสามวันที่ผ่านมา ซ่งจื่อเซวียนถือว่าได้รับคะแนนประเมินในระดับสูงจากตระกูลเจ้าอยู่เหมือนกัน
“อ้อๆ คุณป้าครับ ผมจะเอาไปส่งให้เธอเดี๋ยวนี้ครับ”
ฉินลี่พลันยิ้ม “ไม่ใช่แค่น้ำแกงห้าสายเท่านั้น นายมาแล้วลูกสาวฉันก็ดีใจ”
“หา?” ขณะที่กำลังเปลี่ยนรองเท้า ซ่งจื่อเซวียนก็อดชะงักไปไม่ได้
“เหอะๆ เด็กคนนี้ ปกติไม่ได้พูดคุยกับใคร พวกเราอายุมากแล้ว คุยกันไม่ถูกคอ พวกนายอายุเท่ากัน อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนเธอเยอะๆ หน่อยนะ”
“ได้ครับ แหะๆ คุณป้า ผมจะไปคุยกับถิงถิงสักพักหนึ่งครับ”
ฉินลี่พยักหน้า มองซ่งจื่อเซวียนเดินขึ้นไปชั้นบนพลางยิ้มบางๆ อีกครั้ง
ผู้หญิงกับผู้ชายมีความคิดที่ต่างกันเป็นธรรมดา ผู้นำเจ้ารู้สึกว่าซ่งจื่อเซวียนเป็นเด็กหนุ่มที่ดีมากคนหนึ่ง
มีความก้าวหน้าในการทำงาน ขยัน และมีพรสวรรค์ที่สูงมาก
แต่ฉินลี่กลับมองอีกด้านหนึ่ง เจ้าถิงถิงตอนนี้สุขภาพดีขึ้นแล้ว เป็นเพราะพึ่งพาซ่งจื่อเซวียน
อีกทั้งความสุขุมเป็นผู้ใหญ่และสำเร็จในหน้าที่การงานของซ่งจื่อเซวียน เทียบกับลูกเศรษฐี ลูกข้าราชการพวกนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าเก่งกว่าตั้งกี่เท่า
หากลูกสาวของตนมีซ่งจื่อเซวียนคอยดูแลคงจะดีมาก และหมายถึง…ต้องดูแลไปตลอดชีวิต
อย่างไรเจ้าถิงถิงก็อายุเกินยี่สิบปี ถึงแม้จะมีการศึกษาที่ดี แต่เมื่อมีผู้ชายดีๆ เข้ามาแล้ว จะปล่อยให้พลาดไปไม่ได้
พอเข้ามาในห้อง ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นเจ้าถิงถิงนั่งอยู่ตรงระเบียง
เนื่องจากขาดสารอาหารบำรุงเป็นเวลานาน เธอจึงต้องนั่งอาบแดดและฉีดสารละลายอาหารทุกวัน
แต่ตอนนี้สามารถทานอาหารได้แล้ว จึงหยุดการฉีดสารละลายอาหาร แต่ยังคงต้องนั่งอาบแดดต่อไป
ปกติเธอจะใส่เสื้อผ้าสีขาวทั้งชุด เป็นเพราะเธอผอมเกินไป มีเพียงสีขาวเท่านั้นที่จะทำให้เธอดูอวบอิ่มขึ้นมาได้
แต่วันนี้เธอกลับเปลี่ยนสไตล์มาใส่เสื้อยืดสีดำ ถึงแม้จะหลวมอยู่บ้าง แต่โลโก้ที่มีอยู่เต็มเสื้อทำให้น่ามองอยู่บ้าง
เจ้าถิงถิงมีผิวขาวเป็นทุนเดิม พอใส่เสื้อสีดำ กลับขับให้ผิวของเธอขาวยิ่งขึ้น
อีกทั้งวันนี้เธอยังตัดผม ตัดผมหน้าม้าให้สั้นเล็กน้อย เผยให้เห็นคิ้วที่สวยงามคู่นั้น
ผมสั้นระดับติ่งหูทั้งสองข้างทำให้ดูสะอาดเรียบร้อยอย่างเห็นได้ชัด ให้ความรู้สึกเหมือนสาวฮิปสเตอร์ในยุคก่อน
“จื่อเซวียน นายมาแล้วเหรอ!”
เห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าประตู เจ้าถิงถิงจึงพูดทันที
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพลางพยักหน้า “อืมๆ ถิงถิง วันนี้สีหน้าดีขึ้นเยอะมากเลยนะ”
“ฮิๆ นายเห็นฉันมีการเปลี่ยนแปลงตรงไหบ้างไหม”
ซ่งจื่อเซวียนมองจากบนลงล่างอีกหนึ่งรอบ “อืม…เธอเปลี่ยนชุดแล้ว!”
“ใช่แล้ว ฮ่าๆๆ สวยไหม ฉันใส่ชุดสีขาวจนเบื่อแล้ว!”
“แต่สีดำจะทำให้ดูผอมเกินไปไหม” ซ่งจื่อเซวียนพูดไปเรื่อยเปื่อย
“หา? นายไม่ชอบเหรอ ถ้างั้นฉันจะไปเปลี่ยน”
“ไม่ๆๆ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เหมือนเปลี่ยนอารมณ์ใหม่ ถือว่าดีเหมือนกันนะ วันนี้ฉันเห็นเธอก็รู้สึกสดชื่นแล้ว”
พอได้ยินประโยคนี้ ในใจของเจ้าถิงถิงก็ดีใจมีความสุขเป็นอย่างมาก
เจอคนหนุ่มอย่างซ่งจื่อเซวียน ขนาดฉินลี่ก็ยังชื่นชมเขา นับประสาอะไรกับเจ้าถิงถิง…
“นายรู้สึกว่าสวยก็ดีแล้ว ซ่งจื่อเซวียน ตอนนี้ฉันรู้สึกว่ามีแรงบ้างแล้วล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มเล็กน้อย “กินข้าวดีกว่า เหอะๆ ถ้าเรากินข้าวแบบปกติไปได้สักระยะหนึ่ง อีกเดี๋ยวเธอก็ออกไปเดินเล่นได้แล้วล่ะ”
“ไม่ใช่แค่กินข้าวเท่านั้นหรอก แต่ยังมีนายด้วย ซ่งจื่อเซวียน ขอบคุณนะ นายมอบพลังที่ยิ่งใหญ่ให้กับฉันเลย” เจ้าถิงถิงพูดอย่างจริงจัง
“ฉันเหรอ”
“ใช่แล้ว ความสดใสและร่างกายที่แข็งแรงของนาย ฉันอิจฉานายมากเลยล่ะ เพราะงั้นนายคือแรงขับเคลื่อนของฉัน ฉันอยากเป็นเหมือนนาย!”
“ฮ่าๆๆ มีอะไรน่าเหมือนฉันกัน ขอแค่เธอกลับมาแข็งแรง จะต้องดีกว่าฉันแน่นอน!”
ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนก็ตักน้ำแกงเรียบร้อยแล้ว และได้ใส่ปลาฉือกับบะหมี่แห้งลงไปในน้ำแกงอีกจำนวนหนึ่ง
ส่วนวัตถุดิบอื่นๆ ค่อนข้างจะย่อยยาก จึงไม่ได้ตักออกมา
ช่วงนี้เจ้าถิงถิงติดใจกลิ่นนี้แล้ว เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไม จากที่ไม่เคยมีความอยากอาหารเลยสักนิด กลับคิดถึงอยู่ทุกวี่ทุกวัน
ประเด็นสำคัญที่สุดคือ…ทานอาหารชนิดเดียวกันทุกวันก็ไม่เคยเบื่อ
หากเป็นเมื่อก่อน ทานอาหารชนิดเดียวกันติดต่อกันสองสามวัน เธอคงเบื่อไปนานแล้ว และจะไม่ทานต่ออีกสองสามเดือน
หลังจากทานเรียบร้อยแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็นั่งคุยเป็นเพื่อนเจ้าถิงถิงอยู่พักหนึ่ง
หลักๆ แล้วพูดถึงเรื่องราวที่ตัวเองเคยประสบพบเจอมา เจ้าถิงถิงฟังแล้วรู้สึกเลือดร้อนพลุ่งพล่าน
ถึงแม้เจ้าถิงถิงจะเป็นลูกสาวของผู้นำใหญ่ แต่อย่างไรก็ยังไม่เคยเข้าสังคมมาก่อน และยังเป็นนักศึกษาคนหนึ่ง
เมื่อได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้ ก็รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องแปลกใหม่จริงๆ
โดยเฉพาะเรื่องของซ่งจื่อเซวียนกับพวกเสี่ยเคอซานและหวงฟา
ยิ่งทำให้จิตใจของผู้กล้าหาญที่อยู่ในใจของเด็กผู้หญิงคนนี้เปิดออกทันที
ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนขอตัวกลับ สายตาของเจ้าถิงถิงเต็มไปด้วยความชื่นชมและเลื่อมใสอย่างเห็นได้ชัด
วินาทีที่ซ่งจื่อเซวียนเดินออกไป ดูเหมือนเจ้าถิงถิงจะเริ่มรอคอยการพบกันในวันพรุ่งนี้แล้ว
ออกจากบ้านตระกูลเจ้า พอซ่งจื่อเซวียนขึ้นรถ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
เป็นซางเทียนซั่วที่โทรเข้ามา
“อาจารย์อยู่ที่ไหนน่ะ เกิดเรื่องแล้ว”
“เกิดเรื่องอะไร ค่อยๆ พูด!”
“มีคนของทีมตรวจสอบอาหารมาสองสามคน ตอนนี้อยากจะตรวจร้านของพวกเรา”
“พอจะถ่วงเวลาได้ไหม” ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วถาม
“เอ่อ…อาจารย์ เมื่อกี้ผมมีปากเสียงกับหัวหน้าทีมคนนั้นนิดหน่อย พวกเขาเลยอยากจะเข้าไปตรวจลูกเดียว”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็กัดริมฝีปาก ซางเทียนซั่วอยู่ที่นั่น…ยากที่จะเกิดเรื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนนิสัยดีอะไร
แต่อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นคนของหน่วยราชการ ไม่สามารถคัดค้านได้ตรงๆ
หลังจากครุ่นคิด ซ่งจื่อเซวียนจึงพูดว่า “เอาอย่างนี้แล้วกันเทียนซั่ว นายบอกไปว่าเถ้าแก่ของพวกเราจะไปถึงอีกยี่สิบนาที รบกวนรออีกสักพัก”
“ได้ครับ ผมจะลองดู อาจารย์รีบกลับมานะ!”
พอวางสาย ซ่งจื่อเซวียนก็โทรหาลู่ลี่จวินทันที
เมื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังแล้ว ลู่ลี่จวินกลับนิ่งเป็นอย่างมาก
“โอเคจื่อเซวียน ฉันเข้าใจแล้ว ตอนนี้ฉันจะตรวจสอบว่าเป็นทีมของหน่วยงานไหนที่ออกไป ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน”
“ผมเพิ่งออกมาจากบ้านของผู้นำเจ้าครับ”
ลู่ลี่จวินหัวเราะ “เหอะๆ อย่างนั้นก็ง่ายหน่อย นายต้องมองเรื่องนี้เป็นอันดับหนึ่งทุกวัน พวกเราก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว”
“ผมเข้าใจครับ ท่านอธิบดีลู่”
ซ่งจื่อเซวียนวางสายเรียบร้อยก็สั่งฟางรุ่ยให้เพิ่มความเร็ว แล่นรถประหนึ่งบินได้ไปยังร้านสวนสวินเฟิงทันที
เวลานี้ภายในร้านสวนสวินเฟิง เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายสองสามคนอยู่ในห้องโถงใหญ่ บางคนยืนบางคนนั่ง
และบางคนถือกล้องติดตัวอยู่ตลอดเวลา
และเป็นเพราะกล้องติดตัวนี้ ซางเทียนซั่วจึงนิ่งอยู่ไม่น้อย
ไม่อย่างนั้น…
ข้าไม่สนว่าแกเป็นใครหรอก!
รอประมาณเจ็ดแปดนาทีแล้ว คนในชุดเครื่องแบบคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมา
“เถ้าแก่ของพวกคุณจะมาหรือเปล่า พวกเรารอนานมากแล้ว อย่าทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อย่างพวกเราต้องล่าช้าเลย!”
ซางเทียนซั่วมองดูคนคนนั้นแล้วพูดว่า “รอนานตรงไหน เพิ่งจะเจ็ดแปดนาทีไม่ใช่เหรอ”
“เพิ่งจะเจ็ดแปดนาทีงั้นเหรอ คุณรู้ไหมว่านี่คือการถ่วงเวลาของประเทศชาติ พวกเราไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสียเวลากับพวกคุณหรอกนะ!”
ซางเทียนซั่วยักไหล่ “งั้นก็ทำอะไรไม่ได้ เถ้าแก่ไม่อยู่ ฉันก็แค่เฝ้าร้าน ฉันจะไม่ยอมให้พวกนายเข้าไปง่ายๆ เด็ดขาด”
“คุณ…”
คนคนนั้นแสดงบัตรเจ้าหน้าที่ออกมาทันที “คุณกำลังขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่นะครับ!”
“ชิ เมื่อกี้นายก็โชว์แล้วไม่ใช่เหรอ มีบัตรเจ้าหน้าที่แล้วอวดเบ่งได้เหรอ”
ซางเทียนซั่วพูดถูก ถึงแม้จะเป็นเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ก็ไม่มีสิทธิ์บุกเข้าไปดื้อๆ
ถึงแม้จะแสดงบัตรเจ้าหน้าที่แล้ว ก็ควรแสดงให้กับเถ้าแก่ของร้านอาหาร เพราะมีเพียงเถ้าแก่เท่านั้นที่มีสิทธิ์อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเข้าไป
หากเถ้าแก่จงใจไม่อนุญาต เช่นนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบถึงจะมีสิทธิ์บังคับขอเข้าไปตรวจสอบ
แต่ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนยังไม่มา ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจึงทำอะไรกับ ‘คนเฝ้าร้าน’ อย่างซางเทียนซั่วไม่ได้
เวลานี้ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายคนหนึ่งเอ่ยว่า “ไม่ต้องมัวพูดจาไร้สาระแล้ว เสี่ยวหลิว โทรไปที่สำนักงาน ขออนุญาตบังคับเข้าตรวจสอบ”
“ครับ!”
“ไม่ต้องแล้วครับ!”
เวลานี้ ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามาพอดี
“คุณคือเถ้าแก่เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า
“อย่างนั้นก็ดี ผมชื่อจางหย่งอยู่ทีมตรวจสอบอาหาร ครั้งนี้พวกเราตรวจสอบงานตามปกติ รบกวนคุณให้ความร่วมมือด้วยครับ”
“ครับ ผมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่ผมขอถามก่อนว่า การตรวจสอบใช้เวลาประมาณเท่าไรครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ไม่แน่ใจครับ รบกวนคุณให้ความร่วมมือด้วยครับ”
พูดจบ จางหย่งก็พาทีมเข้าไปตรวจสอบ
มีบางคนเข้าไปที่ครัวด้านหลัง มีบางคนเดินไปที่ห้องส่วนตัวชั้นสอง
ซ่งจื่อเซวียนรู้ว่า ข้อกำหนดของหน่วยงานควบคุมตลาดมีเยอะมาก หากจริงจังขึ้นมา เกรงว่าคงไม่มีร้านอาหารไหนที่ผ่านเกณฑ์อย่างแท้จริง
และจุดประสงค์ที่คนพวกนี้มาก็เป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับต่งหมิงแน่นอน
แต่สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือไม่ไปปะทะด้วย เพราะหากทำเช่นนั้น รูปการณ์ก็จะเปลี่ยนไป
เขาจึงทำได้แค่รอเท่านั้น
จากนั้น เขาจึงหาที่นั่ง และจุดบุหรี่หนึ่งมวน
“อาจารย์ จะปล่อยให้พวกเขาตรวจสอบแบบนี้เหรอ” ซางเทียนซั่วถาม
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ไม่เป็นไร อีกไม่นานพวกเขาก็กลับแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก
………………………………………….