เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 37 นายก็เป็นเชฟ
ตอนที่ 37 นายก็เป็นเชฟ
ซ่งจื่อเซวียนนับว่ามาถึงร้านค่อนข้างเช้าทุกวัน แม้งานที่เขาต้องเตรียมนั้นพูดได้ว่าหลักๆ แล้วไม่มีอะไร แต่เขาก็ยังคุ้นชินกับการมาทำงานแต่เช้าอยู่บ้าง บางทีอาจจะเป็นนิสัยที่เคยชินมาจากร้านอาหารชุนเซียง
เมื่อก่อนตอนตื่นนอนทุกวันแม่ก็เตรียมอาหารเช้าแล้วเรียบร้อย กินเสร็จถึงออกมา แต่ตอนนี้แม่ไปค้างคืนกับพี่สาวสองสามวัน ดังนั้นพอเขาลงจากรถก็จะหาร้านกินอาหารเช้าให้อิ่มท้องก่อนถึงค่อยไปที่ต้าสือไต้
แต่เพิ่งลงจากรถตอนเช้าตรู่ ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นซางเทียนซั่วห่างออกไปสามสี่เมตรโบกมือมาทางตน
“อาจารย์ ทางนี้!”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “เป็นครั้งแรกที่นายโผล่หน้ามาแบบปกตินะเนี่ย”
ซางเทียนซั่วจับหัวยิ้มแหยๆ พลางพูด “เหอะๆ ไม่ใช่เพราะอาจารย์ตกใจหรือไง อาจารย์กินอาหารเช้าหรือยัง”
“ยัง”
“งั้นไปกันเถอะ ข้างหน้ามีร้านขนมเปี๊ยะไส้เนื้ออยู่ร้านหนึ่ง รสชาติใช้ได้ ผมเลี้ยงอาจารย์เอง ไปกัน!”
“นายก็ชินที่นี่ดีเหมือนกันเหรอ”
“ไม่ชินหรอก ผมตั้งใจหาเมื่อกี้นี่เอง ผมแค่เดาว่าอาจารย์อาจจะยังไม่ได้กินข้าวเช้าน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “นายรู้ได้ยังไง ปกติฉันกินข้าวที่บ้านมาก่อนแล้วถึงมาทำงานนะ”
“ฮ่าๆ เมื่อคืนตอนเราสองคนคุยกัน อาจารย์ไม่ได้พูดเหรอครับว่าคุณป้าไปหาพี่สาวน่ะ ผมเลยเดาว่าอยู่คนเดียวคงไม่ทำอาหารเช้าที่บ้านหรอก”
“นายนี่ละเอียดจริงๆ…”
ทั้งสองมาที่ร้านอาหารเช้าสั่งขนมเปี๊ยะมาสองที่ เต้าฮวยสองถ้วย เนื่องจากซ่งจื่อเซวียนมีความเคยชินอย่างคนที่อยู่เมืองตู้เหมินมานาน จึงยังเพิ่มปาท่องโก๋อีก ที่เมืองตู้เหมิน อาหารเช้าถึงขั้นมีความสำคัญมากกว่ามื้อกลางวันและมื้อเย็น ดังนั้นไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างกินมื้อเช้ากันเยอะมาก ถึงขนาดบางทีมื้อกลางวันก็ยังไม่หิวเลยด้วยซ้ำ
“หอมจริงๆ อาจารย์ หลังจากนี้ผมมาทำงานที่นี่แล้ว ให้ผมเลี้ยงมื้อเช้าอาจารย์ทุกวันเลยไหม” ซางเทียนซั่วถามพลางกินเต้าฮวยเข้าไปคำใหญ่
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เอาสิ แต่ต้องผลัดกันเลี้ยงนะ ฉันก็ไม่ได้ไม่มีเงิน จะใช้แค่เงินนายคนเดียวไม่ได้”
“ฮ่าๆ อาจารย์ ผมเลี้ยงอาจารย์ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว กตัญญูรู้คุณอาจารย์ไง…” ความจริงแล้วพูดประโยคนี้ ซางเทียนซั่วก็เขินจนหน้าแดง จะว่าไปเขาแก่กว่าซ่งจื่อเซวียนสี่ปี แต่ลูกศิษย์อาจารย์ยังไงก็เป็นลูกศิษย์อาจารย์ ลำดับอาวุโสเหนือกว่าทุกอย่าง
กินข้าวเสร็จ ซ่งจื่อเซวียนมองเวลาก็เห็นว่าจะแปดโมงครึ่งแล้ว จึงเดินเข้าไปในต้าสือไต้ แต่เขากำชับซางเทียนซั่วไว้ว่าให้รออยู่ด้านนอก รอถึงเวลาเปิดร้านค่อยเข้าไป
ถึงอย่างไรซ่งจื่อเซวียนก็กลัวว่าหลินเทียนหนานจะยังไม่ทันได้ประสานงานมา ทำให้โจวเผิงยังไม่รู้ว่าซางเทียนซั่วต้องมาทำงาน เช่นนี้ถึงจะลดเรื่องวุ่นวายที่ไม่จำเป็นได้
จนสิบโมงครึ่ง ซางเทียนซั่วถึงเดินเข้ามาในต้าสือไต้ มาถึงโถงด้านหน้า หลัวลี่ลี่ก็จำเขาได้ตั้งแต่แวบแรก พูดด้วยรอยยิ้ม “เช้าขนาดนี้ก็มากินข้าวเลยเหรอ”
หลัวลี่ลี่จำซางเทียนซั่วได้ แต่ตอนที่ซางเทียนซั่วเข้ามาคราวก่อน ก็สนใจแต่จะท้าทายโจวเผิง ทว่าไม่สังเกตเห็นหลัวลี่ลี่ ตอนนี้ทันทีที่เห็นก็ชะงักทันที
ต้องพูดเลยว่า หลัวลี่ลี่ก็เป็นคนที่สวยมากคนหนึ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับถังหย่าฉี ถึงแม้ว่ารัศมีนางฟ้าจะน้อยกว่าสองสามส่วน แต่ความใสซื่อไร้เดียงสากลับสูสี ประกอบกับในความน่ารักยังแฝงความเป็นมิตรเอาไว้
ซางเทียนซั่วยกมือขึ้นโบกเหมือนกับมือหุ่นยนต์ “ไฮ…”
เห็นท่าทางซางเทียนซั่ว สองตาของหลัวลี่ลี่ก็ยิ้มกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว “ฮ่าๆ สรุปนายจะกินข้าวไหมเนี่ย!”
“กิน…ไม่กินก็ได้…” การแสดงออกของซางเทียนซั่วแทบจะแข็งทื่อไปหมดแล้ว เหลือไว้เพียงรอยยิ้มผิดธรรมชาติบนใบหน้า
หลัวลี่ลี่ก็อึดอัด “เอ่อ..ตกลงนายจะกินข้าวไหม”
“เหอะๆ ตาม ตามที่เธอพูดเลย…” ซางเทียนซั่วเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ช้าๆ ตาสองข้างก็มองไปที่หลัวลี่ลี่อย่างนั้น
หลัวลี่ลี่ถูกมองจนหน้าแดงหมดแล้ว “นาย…ทำอะไรเนี่ย…มองคนอื่นขนาดนี้ได้ที่ไหนกัน”
พูดพลาง เธอก็หันหน้าไปอีกทาง
ขณะนั้นโจวเผิงก็เดินออกมาจากครัวด้านหลัง เห็นภาพนี้พอดี ขมวดคิ้วแน่นอย่างอดไม่ได้ เขาเดินเข้ามาพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น นาย? มากินข้าวอีกเหรอ”
ซางเทียนซั่วไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย สองตายังมองอยู่ที่หลัวลี่ลี่
โจวเผิงมองซางเทียนซั่วแล้วก็มองหลัวลี่ลี่ ในใจเกิดหึงหวงขึ้นมาใหญ่โต ต้องรู้ว่าหลัวลี่ลี่คือเหยื่อของเขา เขาเดินเข้ามาตบๆ ซางเทียนซั่ว “เฮ้ย นายทำอะไรของนายน่ะ”
“มองเทพธิดา…” ซางเทียนซั่วหลุดปากพูดออกไปโดยไม่แม้แต่จะคิด
“นาย…ไอ้หนู นี่นายจะมาก่อกวนใช่ไหม” โจวเผิงตรงเข้าไปผลักซางเทียนซั่ว หันไปมองหลัวลี่ลี่ทันที “ลี่ลี่ มีฉันอยู่ไม่ต้องกลัวนะ!”
หลัวลี่ลี่เหล่มองเขา พูดพึมพำว่า “ฉันก็ไม่ได้กลัวอยู่แล้วนะ…”
ถูกโจวเผิงผลักขนาดนี้ ซางเทียนซั่วถึงฟื้นคืนสติ หันหน้าไปจ้องโจวเผิง “หาที่ตายหรือไง ถึงได้ผลักฉัน!”
“นาย…” โจวเผิงตกใจจนก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ถึงอย่างไรความเป็นนักเลงของซางเทียนซั่วก็เข้าขั้นจริงๆ “ทำอะไรของนาย ตกลงนายมากินข้าวหรือมาก่อกวนกันแน่”
“ฉัน? ฉันมาทำงาน ทำไมเหรอ”
พูดจบ ซางเทียนซั่วก็เดินไปที่ครัวด้านหลัง ขณะที่เดินอยู่ก็ไม่ลืมที่จะหันมามองหลัวลี่ลี่ “คนสวย ไว้ฉันเลิกงานแล้วจะมาคุยกับเธอ!”
คำว่าคนสวยนี่เกือบจะทำให้หลัวลี่ลี่อาเจียนออกมา ไม่ต้องพูดเลยว่าก่อนหน้านี้มีคนเคยพูดกับเธอแบบนี้ไหม ที่สำคัญที่สุดคือในยุคนี้…เหมือนจะไม่มีใครพูดแบบนี้แล้ว…
โจวเผิงโมโห รีบสาวเท้าไล่ตามไป
“เฮ้ย นายเข้าไปในครัวด้านหลังไม่ได้นะ!” โจวเผิงตะโกน
ซางเทียนซั่วหยุดฝีเท้า หันหน้าไปจ้องมองเขา “ฉันเป็นเชฟของที่นี่ ทำไมฉันจะเข้าไปไม่ได้ล่ะ”
“เชฟเหรอ นายกำลังล้อฉันเล่นหรือไง ฉันเป็นผู้จัดการของที่นี่ รายชื่อพนักงานที่นี่ทุกคนอยู่ในมือฉัน ฉันจะไม่รู้ได้ยังไงว่านายทำงานที่นี่” โจวเผิงเชิดหน้าขึ้นพูด คำพูดนี้ชัดเจนมากว่าในภัตตาคารสือไต้ ฉันใหญ่ที่สุด!
“นายไม่รู้เหรอ นายเป็นห่าอะไรวะ ให้ตายสิ!” ซางเทียนซั่วพูดจบก็หันหลังเดินเข้าไปในครัว
“นาย…” โจวเผิงรู้สึกเพียงแค่หน้าร้อนวูบวาบ หลัวลี่ลี่ก็ฟังอยู่ข้างๆ นี่เป็นเรื่องที่น่าอายมากสำหรับเขา
ต้องรู้ว่าต่อให้เป็นซ่งจื่อเซวียนก็ไม่เคยตบหน้าเขาขนาดนี้ กลเม็ดของคนคนนี้ไม่เหมือนกันเลยสักนิด ไม่ได้พูดจาซับซ้อน แค่เปิดปากก็ด่าเปิงแล้ว…
เข้าไปในครัวด้านหลัง ซางเทียนซั่วเดินปรี่ไปหาซ่งจื่อเซวียน “อาจารย์ ผมมาทำงานแล้ว”
“ทำงาน?” พวกหลี่เทาผงะกันหมด พวกเขาไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนว่ามีเพื่อนรวมทีมคนใหม่มานะ
แต่ตอนที่หลี่เทาหันไปเห็นซางเทียนซั่ว ก็เข่าอ่อนขึ้นมาจริงๆ เขาเคยได้เรียนรู้ไปแล้วว่าท่านชายคนนี้หยิบมีดมาถือได้อย่างรวดเร็วเหมือนไม่ได้ขยับเขยื้อนจึงไม่กล้าไปยั่วยุ
เจิ้งฮุยได้ยินเข้าก็งุนงง พูดว่า “เฮ้ย นายเป็นใครน่ะ ใครให้นายเข้ามาในครัวด้านหลัง”
คราวก่อนที่ซางเทียนซั่วจัดการหลี่เทา เจิ้งฮุยไม่ได้อยู่ที่นี่ ต้องพูดว่าเคยเห็นแค่ซ่งจื่อเซวียนแข่งกับซางเทียนซั่วคราวนั้นเท่านั้น เขาจึงไม่ถือว่ารู้จักซางเทียนซั่วเท่าไร
ซางเทียนซั่วได้ยินก็เชิดหน้า “อาจารย์ของฉันให้ฉันเข้ามา มีอะไร”
“อาจารย์ของนาย?” เจิ้งฮุยขมวดคิ้วพิจารณาซางเทียนซั่วแล้วมองไปที่ซ่งจื่อเซวียนทันที “เป็นเขาเหรอ”
“ใช่ แล้วจะทำไม” ซางเทียนซั่วพูด เสียงดังกลบเจิ้งฮุยอย่างสมบูรณ์
ในใจหลี่เทาอยากจะไปบอกเจิ้งฮุย แต่เห็นซางเทียนซั่ว เขาก็ไม่กล้าจริงๆ ดังนั้นจึงทำได้แค่มองเงียบๆ เขากลัวเจิ้งฮุย แต่กลัวโดนทุบตีมากกว่า…
เจิ้งฮุยเดินไปหาซ่งจื่อเซวียน ถามว่า “ซ่งจื่อเซวียน นี่หมายความว่ายังไง”
“ผมแจ้งเถ้าแก่ไปแล้ว เรียกให้เขามาทำงานที่นี่” ซ่งจื่อเซวียนมองไปที่เจิ้งฮุย
“กับเถ้าแก่? หึ นายคิดว่าฉันตายไปแล้วหรือไง ซ่งจื่อเซวียน นายนับว่าเป็นตัวอะไร ตำแหน่งของคนในครัวด้านหลังนี่นายก็กล้ามายุ่งเหรอ”
ไม่รอให้ซ่งจื่อเซวียนตอบกลับ ซางเทียนซั่วก็เดินขึ้นมาคว้าคอเสื้อของเจิ้งฮุย “พูดห่าอะไรน่ะ นายล่ะเป็นตัวอะไร”
“ไอ้หนู นายอยากตายหรือไง” ขณะเดียวกันเจิ้งฮุยก็ยกมือขึ้นคว้าคอเสื้อของซางเทียนซั่วเช่นกัน
“พอแล้ว ผมบอกไปแล้วนี่ว่าแจ้งเถ้าแก่ไปแล้ว ถ้าคุณไม่รู้ ลองไปถามโจวเผิงก็ได้นี่” ซ่งจื่อเซวียนพูด เขาคิดว่า ตอนนี้หลินเทียนหนานคงจะติดต่อกับต้าสือไต้แล้ว ดังนั้นโจวเผิงก็คงจะรับทราบแล้ว
“ก็ได้ ฉันจะลองไปถามดู!” เจิ้งฮุยจ้องเขม็งพลางพูด เดินออกไปจากครัวด้านหลังทันที
……
“ผู้จัดการโจว คนในครัวด้านหลังมีการเปลี่ยนแปลงทำไมไม่มาบอกผม” เจิ้งฮุยเดินออกมาจากครัวด้านหลังก็โวยวาย
โจวเผิงตกใจ เดิมเพิ่งจะโดนซางเทียนซั่วด่ามาก็หงุดหงิดไปยกหนึ่ง ตอนนี้อารมณ์กรุ่นโกรธก็พวยพุ่งขึ้นมาแล้ว พูดว่า “เหล่าเจิ้ง นายโวยวายอะไรของนายเนี่ย”
“ผมโวยวาย? ครัวด้านหลังมีเด็กเวรมาทำงานเพิ่มอีกคน ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย!”
โจวเผิงนึกถึงซางเทียนซั่วทันควัน พูดว่า “นายพูดถึงคนที่เพิ่งจะเข้าไปคนนั้นเหรอ”
“จะใครเล่า” เจิ้งฮุยนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหงุดหงิด
“คนนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ซ่งจื่อเซวียนรู้จักเขา เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับซ่งจื่อเซวียนแน่!”
“หา? คุณก็ไม่รู้เรื่องเหรอ นี่แม่งขัดกันแล้วจริงๆ ผู้จัดการโจว ถ้าเป็นอย่างนี้ ผมไม่ทำแล้ว ครัวด้านหลังแบบนี้ผมหมดหนทางจะจัดการ!”
โจวเผิงครุ่นคิด “เหล่าเจิ้ง นายใจเย็นหน่อย เรื่องนี้ฉันจัดการได้ ไอ้ซ่งจื่อเซวียนนี่มันจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีกรณีพิเศษ บอกว่าวันหนึ่งทำข้าวผัดได้แค่ยี่สิบที่อะไรนั่นด้วย แถมยังเลิกงานก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะพาคนเข้ามาทำงานโดยพลการ หึ เรื่องนี้ฉันต้องรายงานกับเถ้าแก่ด้วยตัวเอง!”
“รายงาน? ผู้จัดการโจวคุณก็รายงานไป ถ้าวันนี้พวกเราไม่สั่งสอนพวกเขา หลังจากนี้กลัวว่าจะจัดการอะไรไม่ได้แล้วนะ คุณคิดดูนะ วันนี้มีซ่งจื่อเซวียนหนึ่งคน พรุ่งนี้ก็จะมีคนอื่นอีกคน ถ้าโถงด้านหน้าครัวด้านหลังวุ่นวายขึ้นมา พวกเราจะทำงานกันยังไง” เจิ้งฮุยโวยวาย
โจวเผิงได้ฟังก็เงียบไปพักหนึ่ง พยักหน้าทันที “ได้ ฉันจะไปครัวด้านหลังกับนาย วันนี้ต้องตั้งกฎเกณฑ์ให้ได้!”
ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปในครัวด้านหลัง โจวเผิงพูดว่า “ซ่งจื่อเซวียน แล้วก็นาย พวกนายสองคนออกมานี่!”
ซางเทียนซั่วกำลังจะหัวร้อน ซ่งจื่อเซวียนก็ดึงเขาไว้ เดินออกไปจากครัวด้านหลัง
“ผู้จัดการโจว มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“มีเรื่องอะไรเหรอ เหอะๆ นายนี่น่าสนใจจริงๆ นายทำภัตตาคารต้าสือไต้วุ่นวายไปหมดแล้ว ฉันจะบอกนายให้นะ คนที่นายพามาวันนี้ เขาทำงานไม่ได้!”
“ทำไมข้าถึงไม่ได้ล่ะ พวกนายถือดีอะไรวะ!” ซางเทียนซั่วพูดตะคอก
พนักงานในโถงด้านหน้าตกใจกับเสียงตะคอกนี้กันหมด พากันหันมามองทางนี้
“ซ่งจื่อเซวียน ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัดหรือจะผัดอะไร นายก็เป็นเชฟคนหนึ่ง อยู่ที่นี่คำพูดของฉันถือเป็นคำขาด นายเข้าใจไหม” โจวเผิงถลึงตาพูด ท่าทางขณะที่พูดเคร่งขรึมมาก
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนว่าเขานึกอะไรได้ ความจริงแล้วเรื่องนี้…บางทีโจวเผิงกับเจิ้งฮุยอาจจะไม่ได้ผิดอะไรเลย เพราะพวกเขาทำงานเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการจัดการดูแล แต่ปัญหาอยู่ที่…หลินเทียนหนานไม่ได้ประสานงานกับพวกเขา!
ไม่เพียงแค่เรื่องเหล่านี้เท่านั้น ยังรวมไปถึงเรื่องที่ข้าวผัดจักรพรรดิขายได้เพียงยี่สิบที่ต่อวัน หลินเทียนหนานก็ไม่เคยประสานงานเลย สรุปแล้วนี่หมายความว่ายังไงล่ะ เขาไม่เชื่อว่าคนอย่างหลินเทียนหนานที่ทำอะไรพิถีพิถันเช่นนั้นจะสะเพร่าแบบนี้
ขณะที่คนทั้งหลายกำลังพูดคุยกัน ชายคนหนึ่งดูแล้วอายุอานามประมาณห้าสิบกว่าปีสวมชุดสูทเดินเข้าประตูมา
เห็นโถงด้านหน้ามีคนมากมายมุงกันอยู่ ชายคนนั้นก็กระแอมไอเสียงหนึ่ง “ทำอะไรกัน ทำไมไม่ไปทำงาน”
โจวเผิงเห็นชายคนนั้นก็รีบเดินเข้าไปหา “คุณซุน คุณมาแล้ว”
ในขณะเดียวกัน ซ่งจื่อเซวียนก็จำคนคนนี้ได้ เป็นลูกน้องของหลินเทียนหนาน คนที่ส่งนามบัตรให้เขาตอนแรกคนนั้น!
คุณซุนพยักหน้า ทว่าไม่ได้สนใจโจวเผิง แต่ตรงมาหาซ่งจื่อเซวียน
“คุณซ่งครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ผมควรจะมาตั้งนานแล้ว แต่มีเรื่องราวต้องสะสางมากมายจริงๆ ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตาโตอ้าปากค้างกันหมด คนที่ทำให้โจวเผิงเกรงอกเกรงใจแบบนี้ได้จะต้องไม่ธรรมดาแน่ แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะพูดจาพินอบพิเทากับซ่งจื่อจื่อเซวียนขนาดนี้!
…………………………………………….