เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 369 มีพวกขวางทาง
ตอนที่ 369 มีพวกขวางทาง
…………….
ได้ยินซ่งจื่อเซวียนพูดแบบนี้ ท่านเป้ยเล่อก็ขำออกมา
“หยุดประมาทได้แล้วไอ้หนู นายก็ต้องเสนอมาสามเมนูด้วย โอเคไหม”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัว “แค่เมนูเดียวพอ ผมพูดได้ทำได้ หนึ่งเมนูเทียบกับสามเมนูได้ ไม่งั้นผมจะถอนหุ้นส่วน!”
“นาย…”
ในมุมมองของท่านเป้ยเล่อ ซ่งจื่อเซวียนเป็นคนขี้โกงอยู่บ้าง
แน่นอนว่าเงื่อนไขข้อแรกอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสอง เขารู้อยู่แล้วว่าท่านเป้ยเล่อจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา
แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ล้อเล่น “ท่านเป้ยเล่อ เมนูนี้ของผมไม่ใช่แค่เทียบได้กับสามเมนูของคุณเท่านั้น แต่ยังสร้างการโปรโมตที่ยิ่งใหญ่อลังการได้อีกด้วย”
ท่านเป้ยเล่อได้ยินเช่นนี้ก็ตะลึง “หืม คำพูดนี้หมายความว่าไง”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มมีเลศนัยเล็กน้อย
“ความลับ เมื่อถึงเวลาคุณก็รู้เอง แล้วผมบอกไปแล้วว่าถ้าทำไม่ได้ผมจะถอนหุ้นส่วนเอง!”
ท่านเป้ยเล่อส่ายหน้ายิ้ม “นายนี่นะ ลีลาจริงๆ”
“พอเถอะ คุณลีลาก่อนนะ ว่าแต่…ท่านเป้ยเล่อ เราสองคนถึงแม้จะเป็นพี่น้อง แต่เรื่องเงินทองต้องชัดเจน เราจะร่วมมือกันยังไง แล้วจะคิดส่วนแบ่งกันยังไงครับ”
ท่านเป้ยเล่อหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ง่ายมาก สัดส่วนการลงทุนและส่วนแบ่งจะต้องเท่ากัน นอกจากว่าซ่งจื่อเซวียน นายจะโน้มน้าวฉันได้จริงๆ”
“เอ๋ ดูเหมือนถ้าผมยังไม่เผยไพ่ตายออกมาคงไม่ได้แล้วสินะ”
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม “เฮ้ ฉันแค่ไม่ชอบให้ใครมาลีลาใส่ฉัน พอเถอะ ว่ามาเลย”
ซ่งจื่อเซวียนยักไหล่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก่อนอื่น เมนูซิกเนเชอร์ของผมนั้นเหนือกว่าข้าวผัดจักรพรรดิและน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายแน่นอน”
“ฉันแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมนายไม่เอาออกมาขายเป็นสามเมนู ถ้าทำแบบนั้น ร้านเราต้องดังแน่!” ท่านเป้ยเล่อพูดอย่างร้อนใจ
“ทำแบบนั้นไม่ได้ครับ ถ้าเอาข้าวผัดจักรพรรดิมาขาย ร้านอาหารร่ำรวยของผมก็จะเจ๊ง น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายก็เหมือนกัน เราจะแตะต้องเมนูซิกเนเชอร์ของสวนสวินเฟิงไม่ได้!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ได้ งั้นฉันจะทำเมนูซิกเนเชอร์เมนูเดียวด้วย แบบนี้ยุติธรรมแล้ว”
ท่านเป้ยเล่อจงใจทำท่าทางโกรธขณะที่พูด
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้ม “ท่านเป้ยเล่อ ถ้ามีเชฟมาประจำตำแหน่ง คุณไม่จำเป็นต้องมีเมนูซิกเนเชอร์ก็ได้ ผมรับประกันว่ากำไรจะสูงกว่าที่คุณคิด”
“นายโม้เกินไปหน่อยหรือเปล่า”
ท่านเป้ยเล่อรู้ว่าซ่งจื่อเซวียนมีฝีมือในการทำอาหาร แต่พูดออกมาเช่นนี้เขาก็ยังรู้สึกไม่ยอมเล็กน้อย
หรือว่าหนึ่งเมนูซิกเนเชอร์ของนายพอที่จะสร้างรายได้มากกว่าสามเมนูซิกเนเชอร์ของฉัน
“ไม่เลยสักนิด ในเมื่อท่านเป้ยเล่ออย่างคุณพูดถึงวิธีการร่วมมือ ผมก็จะไม่ปิดบังคุณไว้”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็หยิบบุหรี่ออกมาสองมวนพร้อมกับยื่นให้ท่านเป้ยเล่อหนึ่งมวน
“ตอนนี้ในมือผมมีอีกหนึ่งเมนูที่ยังไม่มีขายในท้องตลาด คุณลองเดาสิว่าใครเป็นคนได้ลองลิ้มรสอาหารเมนูนี้”
เมื่อเห็นท่าทางมีเลศนัยของซ่งจื่อเซวียน ท่านเป้ยเล่อก็เลิกคิ้วเล็กน้อยและคิดตาม
“ดาราเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ในเมืองตู้เหมิน เขามีอิทธิพลมากกว่าดาราเสียอีก”
“หา? นี่…รีบบอกมาเร็วๆ อยากให้ฉันร้อนใจตายหรือไง” ท่านเป้ยเล่อกล่าว
“เหอะๆ ถ้าผมไม่บอกคุณคงเดาไม่ถูก” ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็โน้มตัวไปใกล้หูของท่านเป้ยเล่อแล้วกระซิบ “ผู้นำเจ้า”
เมื่อเขาได้ยินสามคำว่า ‘ผู้นำเจ้า’ ท่านเป้ยเล่อก็ชะงัก เมื่อไตร่ตรองพักหนึ่ง สีหน้าของเขาก็ตกตะลึงไป
“นายหมายถึง…ผู้นำเจ้าแห่งเมืองตู้เหมินของพวกนายเหรอ”
แม้ว่าท่านเป้ยเล่อจะศึกษาเชิงลึกเรื่องอาหารมาตลอด แต่เขาก็ยังเป็นคนที่รู้รอบด้าน และเขาก็เข้าใจเรื่องการเมืองในปัจจุบันอีกด้วย
โดยเฉพาะปักกิ่งและตู้เหมินที่อยู่ใกล้กันมาก เขาจึงรู้จักผู้นำเจ้าอยู่แล้ว
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มและพยักหน้า “ถ้าจะพูดให้ถูก คนแรกที่ได้ลิ้มรสคือลูกสาวของผู้นำเจ้าครับ”
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็เล่าเรื่องของเจ้าถิงถิงให้ท่านเป้ยเล่อฟัง
ท่านเป้ยเล่อถึงกับตะลึง
“แม่เจ้า…จื่อเซวียน นายใจกล้ามาก นายรักษาลูกสาวของคนใหญ่คนโตให้หายได้ นายรอเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้เลยนะเนี่ย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าของเขามีความซับซ้อนอยู่มาก
“เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน…ก็ไม่แน่ ใครจะเดาอารมณ์ของคนใหญ่คนโตได้บ้าง แต่อิทธิพลด้านการโปรโมตคงไม่มีปัญหาแน่นอน”
เมื่อท่านเป้ยเล่อได้ยินก็พยักหน้า “มันก็จริงนะ ขอเพียงแค่ผู้นำเจ้าเอ่ยปาก ข้าราชการพวกนั้นจะไม่ยกโขยงมาที่ร้านของเราเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “ใช่แล้ว ตอนนี้ฐานลูกค้าของผมที่สวนสวินเฟิงอิ่มตัวแล้ว แถมยังมั่นคงมาก ผมเชื่อว่าร้านของเราจะมั่นคงได้ในไม่ช้า”
ท่านเป้ยเล่อเอนหลังพิงโซฟา “ถึงว่าทำไมช่วงนี้ไอ้หนูอย่างนายถึงกล้าดีขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่นายกล้าพูดกับฉันแบบนี้”
“เหอะๆ แล้วเมนูซิกเนเชอร์ของคุณเป็นยังไง” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม “อย่างที่นายพูด ถ้าให้ฉันเอาเมนูซิกเนเชอร์เยอะแยะขนาดนั้นมาก็ดูจะเกินไปหน่อย เอาอย่างนี้ ฉันจะช่วยเรื่องคนแทน”
“คน? เชฟเหรอครับ”
“ใช่ นายมาเป็นหัวหน้าเชฟ ส่วนเขามาเป็นเชฟ อาหารที่นอกเหนือจากเมนูซิกเนเชอร์ นายส่งให้เขาทำทั้งหมดได้เลย”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ใครกันที่จะมารับหน้าที่แทนท่านเป้ยเล่อ”
“คนที่ฉันเจอที่ร้านอาหารตะวันตกครั้งที่แล้วไง ฉันไปกับผู้หญิงคนหนึ่ง ใครจะรู้ว่าดันเป็นแฟนของเขา”
“อ๋อ…ผู้ชายคนนั้นนี่เอง ฝีมือการทำอาหารของเขาเป็นยังไงบ้าง” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“เขาชื่อหานเฟย เดิมทีเขาเป็นเชฟคนหนึ่งที่มีฝีมือการทำอาหารไม่ค่อยเก่งนัก แต่เขาเรียนจบจากโรงเรียนเฉพาะทาง นับว่าค่อนข้างน่าพอใจ”
ท่านเป้ยเล่อเอ่ยต่อ “หลังจากนั้นก็มาให้ฉันสอนที่ร้านอาหารของฉันอยู่สักพัก ตอนนี้ถ้าจะรับมือคนเดียวก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ท่านเป้ยเล่อพูด ผมก็ต้องเชื่ออยู่แล้ว”
“แล้วก็อันที่จริงหานเฟยก็มีเมนูพิเศษของเขาเอง นั่นคือเต้าหู้เปลวไฟ”
“ใช่ แปลกริดหน่อย เด็กนี่ทำเต้าหู้เปลวไฟออกมา เต้าหู้อยู่บนเปลวไฟ ใต้เต้าหู้ก็เป็นเนื้อสับหนึ่งชั้น
เนื้อสับด้านหนึ่งถูกย่างจนเกรียม และอีกด้านหนึ่งสัมผัสกับเต้าหู้ ดังนั้นเนื้อสัมผัสจึงนุ่มมาก
ขณะเดียวกัน เต้าหู้ก็ดูดซับกลิ่นหอมของเนื้อและน้ำมันไว้ในนั้น ทำให้รู้สึกนุ่มละมุนลิ้นอร่อยในปาก สดมันและมีกลิ่นหอม”
หลังจากฟังท่านเป้ยเล่อ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่ากำลังน้ำลายสอ
การพูดให้เมนูอาหารจานหนึ่งมีชีวิตชีวาได้นั้น เกรงว่าปากของท่านเป้ยเล่อจะลงรายละเอียดได้มากกว่าหานเฟย
“อันที่จริงหานเฟยก็สนใจจะส่งต่อเมนูนี้ให้ฉันด้วย แต่เราจะผิดจรรยาบรรณไม่ได้ ถ้าไม่ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ฉันก็ให้เขาสอนไม่ได้อยู่แล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและยกนิ้วให้ “เฉียบมาก นี่แหละคือจรรยาบรรณ การเรียนรู้จนเข้าใจคือความสามารถ การขโมยสูตรจากอาจารย์นั้นไร้ยางอาย อะไรที่ไม่ควรเรียนก็เรียนไม่ได้”
“เพราะงั้นหานเฟยเป็นคนมีฝีมือ แต่ฉันก็ไม่ได้เก็บเขาไว้และตั้งใจให้เขามาเป็นเชฟหลักที่ร้านอาหารของฉัน
พอร้านเปิด ฉันจะส่งต่อหน้าที่ให้เขา มาทำให้เมนูซิกเนเชอร์ของนายและเต้าหู้เปลวไฟฮิตในตู้เหมินกัน!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ร่วมมือกันสุดกำลัง!
จริงสิท่านเป้ยเล่อ คุณบอกว่ามีสองเรื่องใหญ่ไม่ใช่เหรอ นี่คือเรื่องหนึ่ง แล้วอีกเรื่องล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
ท่านเป้ยเล่อกระตุกยิ้ม “นายยังจำเรื่องของวังเหว่ยครั้งก่อนได้ไหม”
“จำได้แน่นอน เรื่องวิทยาลัยอาหาร ผมคิดถึงอยู่ตลอด”
“จะคิดอะไรอีก ชั้นเรียนอบรมเริ่มตอนต้นเดือน ช่วงนี้ก็ลงทะเบียนสมัครกันอยู่” ท่านเป้ยเล่อกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนจึงนึกขึ้นได้ทันที จริงด้วย ครั้งที่แล้ววังเหว่ยบอกว่าอีกหนึ่งเดือนจะมีการอบรม แวบเดียวก็มาถึงแล้ว
“สมัครตอนนี้ยังทันเหรอครับ”
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของซ่งจื่อเซวียน ท่านเป้ยเล่อก็อดยิ้มไม่ได้
“ไม่ต้องกังวล วังเหว่ยจัดการให้แล้ว วันที่หนึ่งเดือนหน้าไปรายงานให้ตรงเวลา ถึงเวลาเราค่อยไปด้วยกัน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ดีเลย ผมกลัวว่าจะพลาดโอกาสที่จะได้ศึกษา ‘บันทึกหย่งซั่น’
“ฉันจะมาบอกนายว่าจะมีคนทั้งหมดประมาณร้อยคนในชั้นเรียนอบรมและแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม”
“คนเยอะขนาดนี้เลยเหรอ จะผ่านไหมครับเนี่ย”
“ฮ่าๆ เลอะเทอะแล้วมั้ง คนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาทั่วไป แต่ครอบครัวค่อนข้างรวยและหวังว่าลูกๆ จะเป็นผู้สอนได้ เงินเดือนสูงและมั่นคง ที่สำคัญคือไม่ต้องทำงานหนักในอนาคต”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ถูกต้อง เงินเดือนของผู้สอนอยู่ที่สามหมื่นถึงห้าหมื่นหยวนต่อเดือน”
“เพราะงั้นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ มีไม่เยอะ ถึงเวลาจับกลุ่ม นายอย่าลืมยืนใกล้ฉันล่ะ เราจะได้อยู่กลุ่มเดียวกัน”
“เหอะๆ นี่ไม่ใช่ปัญหา ผมก็อยากให้เราอยู่กลุ่มเดียวกัน”
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้าพูดต่อ “วังเหว่ยบอกฉันว่าการประเมินผู้สอนมีการประเมินด้านสมรรถภาพด้วย นายจำไว้ด้วยว่าต้องฝึกให้แข็งแกร่งกว่านี้นะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มอย่างมั่นใจ สมรรถภาพเหรอ ร่างกายของเขาตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนไม่รู้กี่เท่า
จากเนื้อหาในหนังสือสูตรอาหารราชวงศ์ชิง เขานั่งสมาธิปรับลมหายใจ และการทำสมาธิให้จิตใจหยุดนิ่ง ตอนนี้กำลังและความว่องไวของเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเมื่อก่อนแล้ว
“ไม่มีปัญหา แต่นายควรใส่ใจให้มาก แล้วจีบหญิงให้น้อยลงหน่อยนะ”
“ใช่ที่ไหนกันเล่าให้ตายเถอะ ใครจีบหญิงกัน ช่วงนี้กำลังยุ่งกับกิจการเลยขี้เกียจจีบต่างหาก!”
พูดจบ ทุกคนก็หัวเราะออกมา
บางทีอาจเป็นเพราะไม่ได้เจอกันมานาน พวกเขาสองคนจึงพูดคุยกันเกือบทั้งคืน
กล่าวตามเหตุผล หอหงเยวี่ยจะปิดให้บริการเวลาตีหนึ่ง และเริ่มเชิญแขกออกประมาณเที่ยงคืนกว่า
แต่เมื่อพบกับคนใหญ่คนโตสองท่านนี้ หลี่ม่านหงทำได้เพียงอดทนและปล่อยให้พนักงานเลิกงานไปก่อน ส่วนเธอก็เฝ้าดูและบริการพวกเขาด้วยตัวเอง
ท่านเป้ยเล่อเป็นบุคคลสำคัญทั้งในปักกิ่งและตู้เหมิน ส่วนซ่งจื่อเซวียนคือนายท่านรองซ่ง เป็นดาวรุ่งที่ค่อยๆ เฉิดฉายในเมืองตู้เหมิน ดังนั้นหลี่ม่านหงจึงไม่อยากไปล่วงเกินเป็นธรรมดา
นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องบังเอิญ นอกจากห้องส่วนตัวของพวกเขาแล้ว ยังมีอีกห้องหนึ่งที่ยังไม่กลับอีกด้วย
คนที่อยู่ข้างในไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้นำหลี่
ในห้องส่วนตัว เครื่องพ่นอโรมาค่อยๆ ปล่อยควันสีขาวออกมา มีกลิ่นหอมสดชื่น ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง
ผู้นำหลี่หยิบหยกบนโต๊ะขึ้นมาแล้วพลิกดูซ้ายขวา สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าชอบมันมากอย่างเห็นได้ชัด
“รองอธิบดีต่ง นี่มัน…ของล้ำค่าใช่ไหม”
ชายที่นั่งตรงข้ามคือต่งหมิง รองอธิบดีหน่วยงานควบคุมตลาด
“ฮ่าๆ ท่านผู้นำ ถ้าคุณชอบก็ดีแล้วครับ ล้ำค่าไม่ล้ำค่าอะไรกัน ก็แค่หินก้อนหนึ่ง”
ผู้นำหลี่ส่ายหัวช้าๆ “เพราะมันเป็นหินก็เลยล้ำค่าไง หยกน้ำงามเชียวนะ”
หยกในมือของผู้นำหลี่นั้นเป็นหยกรูปทรงผู้เฒ่าตกปลาชิ้นหนึ่ง
หยกมีความใสและมีสีสันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสีเขียวที่เป็นสีหลักหรือสีม่วงที่เป็นสีผสม ล้วนเป็นเนื้อน้ำแข็งที่มีความโปร่งแสงในระดับสูง
ประกอบกับฝีมือที่ประณีตเรียกได้ว่าเป็นช่างฝีมือระดับปรมาจารย์
จากประสบการณ์หลายปีในการเล่นหยกของผู้นำหลี่ก็รู้แล้วว่าหยกชิ้นนี้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหลักแสน
แม้ว่าจะมีวิธีอื่นอีก แต่ก็คงไม่มีทางได้มาในราคาสองถึงสามแสนหยวน
“เหอะๆ ท่านผู้นำ ขอบคุณที่คุณสนับสนุนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมถึงได้มาอยู่ในตำแหน่งนี้ครับ ถ้าผมจะส่งให้คุณก็สมควรแล้ว”
ผู้นำหลี่พยักหน้าช้าๆ “ใช่แล้ว นายมาถึงตำแหน่งรองอธิบดีแล้ว ต่งหมิง นายเป็นคนของฉัน นายควรทำงานหนักกว่านี้เข้าใจไหม”
ความหมายของผู้นำหลี่ชัดเจน คนในส่วนงานราชการก็มีเส้นสายของตนเอง
ผู้นำหลี่เป็นคนในพื้นที่ตู้เหมิน แตกต่างจากผู้นำเจ้า เพราะการเป็นผู้นำมือหนึ่ง จะต้องต้องทำตามกฎเลี่ยงการปฏิบัติงานในพื้นที่ ดังนั้นผู้นำเจ้าจึงถูกส่งมาจากพื้นที่อื่น
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แม้ว่าผู้นำหลี่จะไม่ได้มีตำแหน่งที่สูง แต่ฐานของเขากลับแข็งแกร่งกว่า
เขายังหวังอีกว่าคนกลุ่มเดียวกับเขาจะมีตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้กลายเป็นมือขวาที่น่าภาคภูมิใจมากขึ้น
“คือว่า…ท่านผู้นำ อันที่จริงวันนี้ที่มาหาคุณก็เพราะเรื่องนี้ ในที่ทำงานช่วงนี้…มีพวกขวางทางอยู่”
“หืม ขวางหนักไหม เป็นใครล่ะ”
“ลู่ลี่จวิน!” ต่งหมิงกล่าว
………………………………………..
…………….