เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 366 อยากอาหารบ้างหรือเปล่า
ตอนที่ 366 อยากอาหารบ้างหรือเปล่า
…………….
อันที่จริงตู้อวิ๋นเลี่ยงก็ไม่แน่ใจว่าคนที่มาจะเป็นพวกซ่งจื่อเซวียน
แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงนี้ก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย
“แกรู้ว่าฉันรออยู่เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดขณะที่เดินไปข้างหน้า “เหอะๆ ไม่มีน้ำยาพอที่จะแย่งชิงของมีค่ากับผม ก็เลยคิดที่จะปล้นต่อหน้าต่อตาผม”
“เหอะๆ ฉันไม่มีน้ำยาเหรอ ฉันแค่ไม่อยากเสียเงินฟุ่มเฟือยก็เท่านั้น”
อันที่จริงก่อนหน้านี้ตู้อวิ๋นเลี่ยงไม่ได้คิดแบบนั้นมาก่อน แต่ตอนนี้ไนเมื่อซ่งจื่อเซวียนได้หนวดพญามังกรมาแล้ว…
การแย่งชิงมาก็ย่อมคุ้มกว่าการซื้อ
เมื่อถึงเวลา หนวดพญามังกรจะถูกส่งให้ลูกพี่ของตน เงินเหล่านี้…ก็เข้ากระเป๋าตัวเองได้เลยไม่ใช่เหรอ
เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าวันนี้จะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้
“ถ้าฆ่าแกตอนนี้เพื่อเอาหนวดพญามังกรมา ก็จะได้ล้างแค้นให้กับตระกูลของฉัน แถมยังสร้างรายได้มหาศาลอีก เป็นผลดีทั้งสองทาง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็อดยิ้มไม่ได้ “เป็นไปอย่างที่คิด คนตระกูลตู้เป็นเหมือนกันหมด”
“หืม เป็นพวกเผด็จการเหมือนกันน่ะเหรอ” ตู้อวิ๋นเลี่ยงถาม
“เปล่า โง่ดักดานกันทั้งนั้น!”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็เดินออกมาจากความมืดไปยังจุดที่มีไฟหน้ารถส่อง จึงเผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา
ใบหน้านั้นมีความนิ่งสุขุม ราวกับว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แต่ก็ค่อยๆ…เย็นชาขึ้น
“แก…
หึ ไอ้หนู ฉันรู้ว่าแกพอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่รู้อยู่แก่ใจว่าฉันอยู่ที่นี่แล้วยังกล้ามาอีก…ไม่เจียมตัวเลย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “คงงั้น แต่บางที…คุณอาจจะคิดผิด”
“ฉันเหรอ เหอะๆ แกเอาความกล้ามาจากไหนกัน”
“ผมก็อยากถามกลับเหมือนกันว่าคุณเอาความกล้ามาจากไหน ท่านชายไป๋อยากได้หนวดพญามังกร นายท่านงูก็อยากได้ แต่ถูกคนของผมจัดการจนหมดแล้ว ต่อไปก็เป็นตาคุณแล้ว”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงได้ยินก็ตกตะลึง
ตอนที่ประมูลเมื่อครู่ ไม่ว่าจะเป็นท่านชายไป๋หรือนายท่านงูที่เข้าร่วมประมูล เขาก็สังเกตเห็นหมดแล้ว
ลูกน้องของท่านชายไป๋คนนั้นดูไม่ธรรมดาเลย ส่วนนายท่านงูก็ยิ่งแข็งแกร่งเป็นพิเศษ คงจะพาพวกพ้องมาด้วยไม่น้อย
แต่ไม่นึกเลยว่า…จะถูกซ่งจื่อเซวียนจัดการหมดแล้ว?
หลังจากใคร่ครวญเรื่องนี้ ตู้อวิ๋นเลี่ยงก็ไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าลูกน้องของอีกฝ่ายจะมีฝีมืออยู่บ้างก็ตาม
แต่สามารถรังแกตู้อวิ๋นกังและตู้เหวินจงได้ก็คงจะใช้ได้อยู่บ้าง ถ้าอย่างนั้นนายท่านงู…ดูท่าแม้จะเป็นตู้อวิ๋นเลี่ยงเองก็คงจะจัดการไม่ได้
“ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่านอกจากแกจะรังแกคนบริสุทธิ์แล้ว ยังโม้เก่งอีกด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนคร้านจะโต้เถียงกับเขาอีกจึงพูดว่า “รุ่ยจื่อ คนตรงนี้ไม่ได้เยอะกว่าเมื่อกี้ ถ้าไม่มีเหลียงฮั่น นายรับมือได้ไหม”
“อาจารย์ ผมจะลุยด้วย แม่งเอ๊ย ไอ้หมานี่เป็นพวกเดียวกับพ่อลูกตระกูลตู้ ในเมื่อเกี่ยวข้องกันก็ควรจะซ้อมเขาด้วย”
“นายท่านรอง ไม่มีปัญหา อีกอย่างก็ใช้เวลาไม่มากหรอก!”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “งั้นลุยไปด้วยกันเลย!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบก็พุ่งตัวออกไปก่อน
ที่นายท่านงูด่าแม่ของซ่งจื่อเซวียนก่อนหน้านี้ทำให้เขาโกรธ และจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ระบายความโกรธออกมา
ถือว่าตู้อวิ๋นเลี่ยงโชคร้าย กลายเป็นที่ระบายความโกรธของเขา
เมื่อซ่งจื่อเซวียนเคลื่อนไหวเช่นนี้ ซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยก็พุ่งตัวเข้าไปเช่นกัน
พวกตู้อวิ๋นเลี่ยงกลับตะลึงงัน พวกเขาทั้งสิบคนยังไม่ได้ลงมือเลย แต่อีกฝ่ายกลับลุยเข้ามาก่อน?
นี่คือจังหวะการต่อสู้เหรอ
แต่ในขณะนั้นตู้อวิ๋นเลี่ยงก็ค้นพบอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือชายร่างใหญ่ข้างกายซ่งจื่อเซวียนไม่ได้อยู่ด้วย
เขาจึงแสยะยิ้มทันที “ลูกน้องคนที่มีฝีมือของมันไม่ได้อยู่ด้วย จัดการพวกมันเลย!”
เมื่อตู้อวิ๋นเลี่ยงออกคำสั่ง อันธพาลทั้งสิบคนที่อยู่ข้างกายเขาก็รีบกระโจนไปข้างหน้า
ในเวลานี้ฟางรุ่ยราวกับเสือ เขาขี้เกียจวิ่งจึงกระโจนเข้ามาตะครุบตัว
การโจมตีอันทรงพลังทำให้อันธพาลทั้งสองล้มลงในทันที
ต่อมาเขาก็ลุกขึ้นยืนเหมือนปลาคาร์ฟพุ่งทะยานและเตะเข้าไปที่อันธพาลสองคน
ตอนนี้จัดการได้สี่คนแล้ว…
ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วแต่ละคนต่างก็พัวพันกับคู่ต่อสู้ของตัวเอง
อันธพาลที่เหลืออยู่ลืมว่าต้องเข้าไปช่วย ฟางรุ่ยหมุนตัวกลับมาเตะ จากนั้นก็ต่อยหมัดจัดการทั้งสองคน
อันธพาลสองคนสุดท้ายไม่มีโอกาสขยับด้วยซ้ำ และถูกจัดการในเสี้ยววินาที…
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นนักเลงหรืออันธพาล พวกเขาก็แค่คนที่ต่อสู้เก่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญพวกเขาก็เทียบไม่ติดเลย
ไม่นานนักอันธพาลทั้งหมดก็ถูกกำจัด
ตู้อวิ๋นเลี่ยงขยี้ตาอย่างแรงและไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
เขาจ้องมองสามคนที่เข้ามาใกล้ด้วยดวงตาเบิกกว้างและถอยหลังไปช้าๆ จากนั้นก็พยายามแตะมือจับประตูรถ
แต่ทันใดนั้น ฟางรุ่ยก็รีบพุ่งเข้าไปราวกับเสือดาว ความเร็วของเขาแทบจะเกินขีดจำกัดที่ตู้อวิ๋นเลี่ยงรับรู้ได้
ตูม!
เขาเหยียบกระจกรถและทิ้งรอยแตกที่กระจกไว้มากมาย
วินาทีต่อมา ฟางรุ่ยก็มาถึงข้างตัวตู้อวิ๋นเลี่ยงและคว้าคอเสื้อไว้
ตู้อวิ๋นเลี่ยงขัดขืนโดยไม่รู้ตัว แต่ฟางรุ่ยบิดแขนเขาไปด้านหลังและกดลงบนฝากระโปรงรถทันที
ซ่งจื่อเซวียนค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ตู้อวิ๋นเลี่ยง “คุณเพิ่งบอกว่า…ผมรังแกคนบริสุทธิ์งั้นเหรอ
แล้วพวกคุณตระกูลตู้เป็นคนบริสุทธิ์งั้นเหรอ ผมไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับพวกคุณ แต่ไอ้หมอนั่นยั่วยุผมครั้งแล้วครั้งเล่า คุณคิดว่าผมควรถูกเขารังแกเหรอ”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงที่ถูกกดลงบนฝากระโปรงรถจึงพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด “เหวินจงเขา…ก็แค่เด็กคนหนึ่ง”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ใช่แล้ว ซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ตรงหน้าเขาอายุประมาณยี่สิบปี พอพูดขึ้นมา เขาก็ไม่ได้อายุมากไปกว่าตู้เหวินจงเลย
ยิ่งใคร่ครวญเรื่องนี้ ตู้อวิ๋นเลี่ยงก็ยิ่งโกรธมากขึ้น เมื่อเทียบกับซ่งจื่อเซวียน ตู้เหวินจงก็เป็นแค่ตัวสร้างปัญหา
นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีปัญหากับคนระดับนี้
“แกจะเอายังไง”
“ตระกูลตู้…ในเมื่อมายุ่งวุ่นวายกับผมไม่จบไม่สิ้น…”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็มองไปโดยรอบอีกครั้ง “ผมเอาชีวิตของคุณไปก็แล้วกัน”
“มะ…ไม่ๆ…นายท่านรอง ให้โอกาสผมสักครั้งเถอะ…”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของซ่งจื่อเซวียน ตู้อวิ๋นเลี่ยงก็รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
คนคนหนึ่งไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน เมื่อต้องเผชิญกับความตายก็ไม่สามารถเย่อหยิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ได้อีกแล้ว
ในชั่วพริบตา ตู้อวิ๋นเลี่ยงก็อ่อนลงและยอมขอความเมตตาทันที
ฟังคำร้องขอความเมตตาของตู้อวิ๋นเลี่ยง ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้พูดอะไร
เขาเพียงแค่เยาะเย้ยและหันหลังเดินกลับไปที่รถของตนทันที
เมื่อเห็นหลายแผ่นหลังจากไป ตู้อวิ๋นเลี่ยงก็รู้สึกราวกับเขาได้ก้าวถอยหลังออกจากประตูสู่นรก
แม้ว่าพวกเขาจะเดินออกไปหลายเมตรแล้ว แต่เขาก็ยังไม่กล้าหายใจดัง ราวกับกลัวว่าซ่งจื่อเซวียนจะเปลี่ยนใจ
จนกระทั่งรถของซ่งจื่อเซวียนขับออกไป เขาจึงล้มลงกับพื้น
น้ำตารินไหลลงมาตามต่อมน้ำตา เขากลั้นไม่ไหวจึงร้องไห้ออกมา
ชายวัยสี่สิบซึ่งมีสถานะสูงส่งในสังคมได้รู้ตัวว่ายากที่จะสงบสติอารมณ์หลังจากผ่านเรื่องหวาดกลัวมา
ในเขตเมืองตู้เหมิน ซ่งจื่อเซวียนให้ฟางรุ่ยขับรถไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก่อน
หลังจากวินิจฉัยแล้วว่าเหลียงฮั่นไม่ได้มีอาการร้ายแรง พวกซ่งจื่อเซวียนจึงโล่งใจ
หลังจากที่แพทย์ทำการรักษาเบื้องต้นก็สั่งยาให้ พวกเขาก็เดินทางกลับ
ในคืนนั้น ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้กลับบ้าน แต่ไปที่ร้านสวนสวินเฟิง
ฟางรุ่ยย่อมตามเขาไป
ซ่งจื่อเซวียนเก็บหนวดพญามังกรไว้ในตู้นิรภัยในห้องทำงานก่อน
มีเพียงเขาและถังหย่าฉีเท่านั้นที่รู้รหัสผ่านตู้นิรภัยนี้ ในสถานการณ์ตอนนี้ ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งปลอดภัยที่สุดแล้ว
จากนั้นเขาก็เข้าไปในครัวและเริ่มลองทำโต้วหลงเหมินตามวิธีที่ฟางจิ่งจือบอกไว้
ยาจีนที่มีอยู่ในโต้วหลงเหมินดูเหมือนจะใกล้เคียงกับยากระตุ้นความอยากอาหารมากกว่าเมื่อเทียบกับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย
นอกจากนี้ส่วนผสมของยาที่ฟางจิ่งจือกล่าวถึงเข้ากับยาจีนในโต้วหลงเหมินมากกว่า
ไม่เพียงแต่ไม่มีผลข้างเคียงเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมกันอีกด้วย
ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนไปร้านขายยาจีน เขาได้ซื้อสมุนไพรมาสามชนิด ได้แก่ แห้วจีน ใบมะนาวและต้นฝิ่น
ถ้าอย่างนั้นเขาก็สามารถทำได้จำนวนประมาณยี่สิบที่
ซ่งจื่อเซวียนกำลังคิดว่าจะฝึกฝนฝีมือของตนก่อน จากนั้นก็นำมาใช้รักษาอาการป่วยของเจ้าถิงถิง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ต่อมาเขาก็เริ่มลองปรุงอาหาร
การปรุงอาหารครั้งนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน สามารถพูดได้ว่าซ่งจื่อเซวียนรู้เกี่ยวกับอาหารบำรุงสุขภาพที่แท้จริงอยู่บ้าง
อาหารที่บำรุงสุขภาพนั้นมีสรรพคุณทางยามากกว่าอาหารที่มียาจีนเป็นส่วนประกอบ แน่นอนว่ารสชาติจะต้องสนองความอยากอาหารด้วย
แต่โชคดีที่ชายชราให้คำแนะนำไว้ ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนจึงกำลังทำตามคำแนะนำอยู่
เดิมทีซ่งจื่อเซวียนเชี่ยวชาญในการทำโต้วหลงเหมินแล้ว เมื่อมีพื้นฐานแล้วก็ใส่ยาจีนตามวิธีการปรุงยาจีนในน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย
หลังจากลองมาห้าครั้ง ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่าใกล้จะสำเร็จแล้ว
กลิ่นของโต้วหลงเหมินตรงหน้าไม่แตกต่างจากปกติมากนัก แต่ซ่งจื่อเซวียนยังแยกแยะกลิ่นได้
เมื่อลองชิมหนึ่งคำ แม้ว่ารสชาติจะไม่อร่อยเหมือนปกติ แต่มีรสชาติที่เป็นยามากขึ้นเล็กน้อย และรสชาติที่เป็นยานี้อาจจะดึงดูดเจ้าถิงถิง
ทุกอย่างจะยากในช่วงเริ่มต้น บางทีการอ้าปากอาจเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการรักษา
แปดโมงเช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งจื่อเซวียนก็โทรหาลู่ลี่จวิน
ลู่ลี่จวินกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเอกสารในมือของเขา โดยจะมีการประชุมผู้นำหน่วยทั้งหมดในเวลาเก้าโมงเช้า
แต่เมื่อได้ยินว่าซ่งจื่อเซวียนกำลังจะไปรักษาเจ้าถิงถิง ลู่ลี่จวินก็ตัดสินใจยกเลิกการประชุม
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องของท่านผู้นำแล้ว
จากนั้นลู่ลี่จวินก็ติดต่อผู้นำเจ้า แต่เช้านี้ผู้นำเจ้าต้องต้อนรับแขกชาวต่างชาติ ดังนั้นเขาจึงให้ลู่ลี่จวินไปได้เลย
เวลาประมาณเก้าโมงครึ่ง ซ่งจื่อเซวียนและลู่ลี่จวินก็มาถึงหน้าบ้านของผู้นำเจ้า
ลู่ลี่จวินได้รับอนุญาตให้เข้ามาหลังจากติดต่อทางโทรศัพท์เหมือนกับครั้งที่แล้ว
เมื่อพวกเขามาถึงบ้านของผู้นำเจ้า ฉินลี่ภรรยาของผู้นำก็รีบเปิดประตูให้พวกเขา
“มากันแล้วเหรอคะ พ่อหนุ่ม มีวิธีรักษาถิงถิงแล้วใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “คุณนายเจ้า ใจเย็นๆ ครับ ผมไม่กล้ารับประกัน แต่เราค่อยๆ ลองไปเรื่อยๆ ได้”
ฉินลี่ผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ เธอคิดว่าอีกฝ่ายจะมียาวิเศษอะไร
อันที่จริงในฐานะภรรยาของผู้นำ ปกติเมื่อพบเจอเรื่องต่างๆ ฉินลี่มักจะสงบนิ่ง แต่ตอนนี้ลูกสาวของเธอป่วย เธอจึงสงบนิ่งไม่ได้จริงๆ
“อ้อ เอาเถอะๆ มา เชิญเข้ามาเถอะ”
จากนั้นลู่ลี่จวินก็นั่งรอในห้องรับแขกชั้นหนึ่ง ในขณะที่ซ่งจื่อเซวียนตรงไปที่ห้องของเจ้าถิงถิงเหมือนครั้งที่แล้ว
เพียงแต่คราวนี้เขาเคาะประตูก่อน
“เชิญเข้ามาค่ะ” เสียงหวานของเจ้าถิงถิงดังขึ้น
ซ่งจื่อเซวียนจึงเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียน สีหน้าของเจ้าถิงถิงก็ประหลาดใจมาก
ไม่ใช่แค่เพราะซ่งจื่อเซวียนจะนำของบางอย่างมาให้เธอเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะเธอมักจะอยู่บ้านตามลำพังและแทบจะไม่ค่อยพบเจอเพื่อนฝูง
“นายนี่เอง ซ่งจื่อเซวียน!”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “ความจำเธอดีมากเลยนะ ยังจำชื่อฉันได้ด้วย”
“เหอะๆ ฉันเป็นโรคเบื่ออาหาร ไม่ใช่ความจำเสื่อม” เจ้าถิงถิงเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาของเธอกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยวขณะที่ยิ้ม
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามาใกล้ “วันนี้แดดดีกว่าครั้งก่อน เป็นยังไงบ้าง อยากอาหารบ้างไหม”
เจ้าถิงถิงมุ่ยปากและส่ายหัวพร้อมกับแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา
ซ่งจื่อเซวียนย่อเข่าลง เปิดฝากระติกเก็บความร้อนออกอย่างรวดเร็ว และเสิร์ฟใส่ชามให้เจ้าถิงถิง
เจ้าถิงถิงรู้สึกพะอืดพะอมเล็กน้อย แต่เมื่อเธอกำลังจะบอกว่ากินไม่ลงก็ได้กลิ่นที่ทำให้เธอกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที!
………………………………………………
…………….