เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 365 รอมานานแล้วมั้ง
ตอนที่ 365 รอมานานแล้วมั้ง
…………….
พอได้ยินซ่งจื่อเซวียนพูดแบบนี้ นายท่านงูก็แค่นหัวเราะทันที
สำหรับเขาแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ไม่รู้ว่ามาจากไหน อาจจะมีเงินสกปรกอยู่บ้าง แต่ถ้าพูดถึงศักยภาพ…
ตอนนี้ก็เห็นอยู่ทนโท่ อีกฝ่ายมีสี่คน ส่วนทางตนมีอยู่ตั้งหลายสิบคน
มองจากมุมไหน เขาก็เอาหนวดพญามังกรนี้มาได้แน่นอน
“ไอ้หนู ถ้าแกยอมยกให้เลย ฉันปล่อยพวกแกไปได้นะ”
“สายไปแล้ว เมื่อกี้คุณพูดคำที่ไม่สมควรพูดออกมา!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ถอยหลังไปครึ่งก้าว ส่วนเหลียงฮั่นและฟางรุ่ยเดินขึ้นหน้าไปทันที
นายท่านงูหรี่ตาลงเล็กน้อย “แม่งยังเอาถึงที่สุดเหรอวะ ได้ งั้นก็สั่งสอนแกเลยแล้วกัน”
นายท่านงูส่งสัญญาณ ลูกน้องสิบกว่าคนก็พุ่งมากันหมด
เห็นดังนั้น ฟางรุ่ยและเหลียงฮั่นก็ไม่ได้ลนลานแม้แต่น้อย ขึ้นหน้าไปตั้งรับทันที
“นับครบหรือยัง” เหลียงฮั่นถาม
“สิบสามคน!”
เหลียงฮั่นยิ้มเย็น “ฉันเอาเจ็ด!”
“มากสุดให้แกสี่!”
ขณะที่ฟางรุ่ยพูด ก็กระโดดตัวลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้วถีบไปทันที
ราวกับกวาดล้างกองทัพนับพัน เคลื่อนไหวครั้งเดียวก็ล้มไปได้สามคน
ต้องรู้ว่าใส่แรงเท้าทั้งหมดถีบไปที่บริเวณศีรษะ เช่นนั้นจะตอบสนองได้อย่างไร….
สามคนนั้นล้มกองลงไปกับพื้น หมดสติทันที
ส่วนทางเหลียงฮั่น มือซ้ายจับไว้หนึ่งคน มือขวาจับไว้หนึ่งคน
แค่เห็นว่าตัวใหญ่ก็ทำให้รู้สึกน่าหวาดกลัวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังโดนเขาจับไว้อีก…
โป๊ก!
ทั้งสองศีรษะชนกัน ตาเหลือกเป็นลมไป
นายท่านงูมองอย่างงุนงง…
ลูกน้องพวกนี้ของตนเป็นอันธพาลที่คัดสรรมาอย่างดี ในวงการอันธพาลก็โด่งดังกันหมด
แต่พออยู่ในมือของสองคนนี้ทำไมอย่างกับเป็นของเล่นเลยล่ะ
พริบตาก็ล้มไปห้าคน ฟางรุ่ยกับเหลียงฮั่นมองตากัน “เร็วใช้ได้ แต่ให้แกได้มากสุดสี่คน!”
“ลองดูสิ ฉันรู้ว่าแกแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้แกร่งไปกว่าฉันมากหรอก!”
ขณะที่พูด ทั้งสองก็เริ่มหาเป้าหมาย
เดิมเป็นการทะเลาะวิวาท ตอนนี้กลายเป็นแย่งคนกันแล้ว…
ฟางรุ่ยเตะกวาดทีหนึ่ง ล้มไปหนึ่งคน จากนั้นก็ก้าวไปประเคนหมัดสองหมัด
จากนั้นไม่นาน ลูกน้องคนหนึ่งที่พุ่งเข้ามาก็โดนทุ่มลงพื้น
ลูกน้องคนหน้าร้องโหยหวนออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด
แต่ฟางรุ่ยก็ไม่เมตตาเลยสักนิด เหยียบคอเอาไว้ ออกแรงเล็กน้อย คนคนนั้นก็ตาเหลือก
อีกสองคน
ทางเหลียงฮั่นก็ไม่ได้ชักช้า ยกลูกน้องคนหนึ่งขึ้นโยนออกไป
เห็นภาพเหตุการณ์ตอนนี้ อย่าว่าแต่นายท่านงูเลย ลูกน้องพวกนั้นก็อึ้งไปหมดแล้ว
สองคนนี้ยังเป็นคนอยู่ไหม นี่มันเครื่องจักรวิวาทชัดๆ…
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องต่อยตีพวกเขาเลย คนที่เข้าใกล้ก็จบเห่หมด ไม่รอดสักคน
ดังนั้น ไม่นานนัก สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเป็นฟางรุ่ยและเหลียงฮั่นคือคนไล่ตี
ทันใดนั้น ฟางรุ่ยก็จัดการได้อีกสามคน ส่วนเหลียงฮั่นก็จัดการได้คนหนึ่ง
ที่จริงใครจะเป็นคนกระทืบก็ได้ แต่ประเด็นอยู่ที่คำพูดนั้นของฟางรุ่ย
ให้เหลียงฮั่นได้มากสุดสี่คน
พอเหลือคนสุดท้ายที่กลายเป็นของล้ำค่า ถ้าฟางรุ่ยแย่งไปได้ เหลียงฮั่นก็จะได้กระทืบมากสุดสี่คน
แต่ถ้าเหลียงฮั่นแย่งไปได้ ฟางรุ่ยก็จะเสียหน้าอย่างชัดเจน
อันธพาลพวกนั้นอึ้งไปหมด ถอยหลังไปด้วยสีหน้าหวาดกลัว ทั้งยังส่ายหน้าไม่หยุด
ในสายตาของฟางรุ่ยและเหลียงฮั่น นี่แม่งเนื้อชั้นดีชัดๆ
ใครแย่งไปได้ก็ได้กิน ทั้งยังมีเกียรติยศอยู่ด้วย
ทันใดนั้น ทั้งสองก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน พุ่งไปที่อันธพาลคนนั้น
อันธพาลคนนั้นตกใจจนร้องลั่น ในน้ำเสียงนั้นยังแฝงเสียงสะอื้นไห้อย่างเห็นได้ชัด…
แต่ฟางรุ่ยกับเหลียงฮั่นก็ไม่มีทางหยุดลงมือเพราะอีกฝ่ายร้องไห้ ดวงตาของทั้งสองแดงก่ำ กระหายเลือดถึงขีดสุด
เห็นได้ชัดว่าฟางรุ่ยเร็วกว่าเหลียงฮั่นเล็กน้อย
แต่ข้อดีของเหลียงฮั่นคือขอแค่เขาโจมตีด้วยกำลังทั้งหมด คนคนนั้นก็ไม่มีทางมีช่องว่างโจมตีกลับได้อยู่แล้ว
กระทั่งยืนไม่ได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่ทุ่มสุดตัวคือความเร็ว ความเร็วล้วนๆ
ไม่ใช่แค่ต้องลงมือ ยังต้องน็อกด้วย!
เห็นเพียงว่าฟางรุ่ยใกล้ไปถึง ตอนที่ห่างจากอันธพาลคนนั้นอีกประมาณสามเมตร ก็กระโดดตัวลอยขึ้นฟ้าพุ่งไปด้านหน้า
เหยียบอากาศสองสามก้าว ก็อยู่ด้านหน้าอันธพาลคนนั้นแล้ว
เขาพลันยกเท้าขึ้น ฟาดลงศีรษะ ส้นเท้าก็ฟาดที่กลางกระหม่อมของนักเลงคนนั้นอย่างแรง
พลั่ก!
เสียงอุดอู้ดังขึ้น อันธพาลล้มลงกับพื้น กลอกตาสะอึกสะอื้นสองสามครั้งก็ไม่ขยับเขยื้อนแล้ว
เหลียงฮั่นถอนหายใจ “แม่งเอ๊ย อดกระทืบเลย ให้เวลาฉันอีกครึ่งวิสิ ฉันจัดการเขาได้แน่!”
ฟางรุ่ยยิ้ม “ยอดฝีมือพลาดไปครึ่งวิไม่ได้หรอกนะ!”
พูดจบ ฟางรุ่ยก็เดินไปทางซ่งจื่อเซวียน
เหลียงฮั่นหัวเราะเยาะ “ชิ ถึงกับหยิ่งยโสขนาดนี้เชียวเรอะ!”
ตอนนี้เอง ซ่งจื่อเซวียนมองไปทางนายท่านงู ยักไหล่ “เมื่อกี้คุณพูดว่าไงนะ”
นายท่านงูอึ้งไปหมด เห็นภาพนี้อย่างกับดูภาพยนตร์แอ็กชันอยู่ แม่งเวอร์เกินไปมั้ง
ประเด็นคือเขามองอยู่แท้ๆ ตอนนี้พวกอันธพาลของตนนอกจากหายใจก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
นายท่านงูถอยหลังไปครึ่งก้าว “ตกลงแกเป็นใครกันแน่”
“สิ่งมีชีวิตเล็กๆ เท่านั้นเองครับ”
ซ่งจื่อเซวียนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
ฟางรุ่ยพูดเสียงเบา “นายท่านรอง เราไปกันไหมครับ น่ากลัวว่าถ้ายิ่งนานเข้าจะยิ่งยืดเยื้อไปเรื่อย”
“ไม่ต้องรีบหรอก ที่ควรจะมาก็มาแล้ว เดาว่าน่าจะรออยู่ที่ปากทางเข้าถนนหลวงนั่นแหละ ให้พวกเขารอฉันนานอีกหน่อยแล้วกัน”
ฟางรุ่ยได้ยินก็ชะงักไป ที่ซ่งจื่อเซวียนพูดแบบนี้ เหมือนกับแน่ใจแล้วอย่างไรอย่างนั้น
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ค่อยๆ เดินไปหานายท่านงู
นายท่านงูในตอนนี้ไม่ได้มีท่าทีองอาจอย่างตอนที่อยู่ในตลาดมืดตั้งนานแล้ว
ดวงตาของเขาทั้งสองข้างเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว ท่าทางก็เปลี่ยนเป็นค่อนข้างโอเวอร์เล็กน้อย ส่ายหน้าแรง “ไม่…แกอย่าเข้ามานะ…”
เพียะ!
ฝ่ามือหนึ่งฟาดไปที่หน้าของนายท่านงูอย่างแรง ทิ้งรอยนิ้วห้านิ้วสีแดงไว้ทันที
“โอ๊ย…”
“อายุก็เข้าวัยกลางคนแล้ว ยังไม่รู้จักมารยาทอีก ฝ่ามือเดียวมันแก้ไขได้เหรอ”
“ฉัน…”
เพียะ!
เสียงฝ่ามือดังขึ้นอีกครั้ง มือซ่งจื่อเซวียนที่ฟาดมือไปรู้สึกเจ็บไปหมด
ความรู้สึกของท่านงูแค่คิดก็รู้แล้ว
เขากุมหน้า ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นชาหนึบ แต่หลังจากชาไปชั่วขณะ ก็ปวดร้าว
รูปร่างของนายท่านงูนับว่ากำยำ ปกติเป็นนายท่านก็เคยชินกับการตบกลับเมื่อโดนตบ
เขาอาจจะไม่กลัวซ่งจื่อเซวียน แต่เทพสังหารอย่างฟางรุ่ยและเหลียงฮั่นสองคนนั้นอยู่ด้านหลัง เขาจะกล้าทำตามใจคิดได้ที่ไหนล่ะ
แต่เหมือนซ่งจื่อเซวียนจะยังระบายอารมณ์ไม่เสร็จ เรื่องที่เขาทนไม่ได้ที่สุดก็คือคนอื่นจาบจ้วงแม่ของตน
เห็นเพียงซ่งจื่อเซวียนก้าวมาอีกครั้ง นายท่านงูก็จนหนทาง ทำได้แค่ถอยหลัง
ในเมื่อเป็นแบบนี้ เสียงตบหน้าก็ดังขึ้นต่อเนื่อง
ซ่งจื่อเซวียนฟาดฝ่ามือใส่ทุกครั้งที่ก้าวเดิน พร้อมกับเม้มปากไปด้วย…
เพียะ! เพียะ! เพียะ! เพียะ!…
นายท่านงูโดนตบจนค่อนข้างมึนแล้ว ยืนโอนเอน สุดท้ายก็ยกมือขึ้น
“แกจะฆ่าฉันหรือไง”
จู่ๆ เขาในตอนนี้ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นก็คือ…บางทีฝ่ามืออาจจะตบคนจนตายจริงๆ ก็ได้
ซ่งจื่อเซวียนมองไปรอบๆ “คุณพูดถูก ต่อให้ฆ่าคุณที่นี่ ก็อาจจะไม่มีใครรู้”
“แก…”
“ถ้าคุณอยากตาย ผมก็จะสนองคุณตอนนี้เลย!”
“ไม่ๆๆ แกอย่า…แกจะเอาเท่าไรฉันจะให้!”
ถุย!
นายท่านงูพยักหน้าหงึกหงัก “เข้า เข้าใจแล้ว…”
“ไสหัวไป!”
นายท่านงูได้ยินก็เหมือนได้พบกับแสงสว่างครั้งใหม่ พยักหน้าทันที วิ่งไปที่รถ
ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนหันหลังเดินกลับมา ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง
“นายท่านรองระวัง!”
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก เห็นเพียงรถสองคันนั้นแล่นมาทางตนอย่างรวดเร็ว
ซ่งจื่อเซวียนเบิกตากว้าง นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาในใจได้ทันที
ความเมตตาต่อศัตรูก็คือการทำร้ายตัวเอง!
คิดไม่ถึงว่าคนคนนี้จะขับชน!
ใต้แสงจ้า ซ่งจื่อเซวียนแทบจะแยกทิศทางไม่ออก อย่าพูดถึงวิ่งเลย
ในรถ นายท่านงูหัวเราะอย่างเสียสติ “ฮ่าๆๆ ข้าจะชนพวกแกให้ตาย ไปตายกันให้หมด!”
บางทีก่อนหน้านี้นายท่านงูคงไม่กล้าจะฆ่าจริงๆ หรอก
แต่คนใต้บังคับบัญชาโดนเก็บเรียบ ตนก็โดนตบไปยี่สิบกว่าทีรวดอีก
จนตอนนี้น้ำลายไหลลงมาไม่หยุด นายท่านที่องอาจอย่างเขาจะทนได้เหรอ
บรื้น!
เสียงคำรามของเครื่องยนต์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซ่งจื่อเซวียนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตนเองได้
ชีวิตของเขา…จะจบลงตอนนี้เหรอ
โครม!
จู่ๆ ก็ได้ยินแค่เสียงชนดังขึ้น ทุกคนอึ้งกันหมด
โดยเฉพาะนายท่านงู รอยยิ้มของเขาเมื่อครู่หายไปทันที ตะลึงค้างไปทั้งตัว
เห็นเพียงคนคนหนึ่งปรากฏตัวที่หน้ารถ ถึงจะมีเลือดไหลออกมาจากปาก แต่พละกำลังมหาศาล คิดไม่ถึงว่าจะยกส่วนหน้าของรถขึ้นได้
รถคันนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า ตอนนี้เห็นเพียงล้อหน้าหมุนอย่างบ้าคลั่ง แต่รถกลับจอดนิ่งไม่เดินหน้า
เหลียงฮั่นตะโกนลั่นด้วยหน้าตาโหดเหี้ยม ราวกับใช้การตะเบ็งเสียงเพิ่มพลังให้กับตัวเอง
“นายท่านรองรีบหลบไป!”
ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนถึงได้สติกลับมา รีบวิ่งไปด้านข้างทันที
“รุ่ยจื่อ!”
ซ่งจื่อเซวียนตะโกน ฟางรุ่ยก็กระโจนไป แม้แต่ประตูก็ไม่เปิด พุ่งเข้าไปทางหน้าต่างรถ
นายท่านงูนั่นตกใจจนหน้าถอดสี โดนฟางรุ่ยดันไปถึงส่วนที่นั่งข้างคนขับ ส่วนฟางรุ่ยก็รีบดับเครื่องยนต์
ในที่สุดเหลียงฮั่นก็ปล่อยมือได้ ถอนหายใจยาวออกมา นั่งอ่อนล้าอยู่ที่พื้น
หมดคำบรรยายกับโครงสร้างร่างกายของเหลียงฮั่นจริงๆ ถึงบนโลกนี้จะมีคนแข็งแรงอยู่ไม่น้อยที่สามารถยกส่วนหน้าของรถขึ้นได้
แต่ยกรถที่กำลังแล่นอยู่ได้ อีกทั้งเป็นรถที่แล่นด้วยความเร็วสูงด้วย น่าจะไม่มีใครอีกแล้ว….
คราวนี้ฟางรุ่ยลากนายท่านงูลงมาจากรถ ตอนนี้แววตาของนายท่านงูนอกจากความหวาดกลัวแล้วก็ยิ่งหวาดกลัวมากกว่าเดิม
“นายท่านรอง ไอ้โง่สารเลวนี่มันสมควรตาย!”
“แก…แกอย่าฆ่าฉันนะ…ฉะ ฉันผิดไปแล้ว…”
ผิดไปแล้ว…สายไปแล้วอย่างชัดเจน
ซ่งจื่อเซวียนมองนายท่านงูด้วยสายตาเย็นเยียบอย่างไม่เคยมีมาก่อน นายท่านงูเหมือนจะรู้สึกถึงสัญญาณของความตายได้
สุดท้ายซ่งจื่อเซวียนก็สูดลมหายใจลึกๆ “รุ่ยจื่อ ทำให้นับแต่นี้ต่อไปคนคนนี้เดินไม่ได้ พูดไม่ได้อีก!”
“ครับ นายท่านรอง!”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ขึ้นรถ และต่อมาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแทบขาดใจของนายท่านงู
พวกเขาขึ้นรถมา ฟางรุ่ยมองเหลียงฮั่น “แกเป็นไงบ้าง”
เหลียงฮั่นไอหนักสองสามครั้ง “ไม่เป็นไร แต่ว่า…น่าจะลงมือต่อไม่ได้แล้วล่ะ”
“วางใจเถอะ ยังมีฉันอยู่ เข้าเขตเมืองก็ส่งแกไปโรงพยาบาลก่อน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “รุ่ยจื่อ ขับไปทางโรงพยาบาลก่อน”
“ครับ นายท่านรอง!”
รถสตาร์ตอีกครั้ง และเป็นอย่างที่ซ่งจื่อเซวียนเดาไว้ ยังไม่ได้เข้าสู่ถนนหลวง ก็เห็นรถจอดอยู่ข้างหน้าหลายคันอีกแล้ว
และมีหลายคนยืนอยู่หน้ารถ
ลมราตรีพัดผ่าน ฝุ่นธุลีคละคลุ้ง พวกเขากลับกำลังยืนตัวตรง
“แม่งเอ๊ย นายท่านรอง มีคนจริงๆ ด้วย!”
“เป็นคนของตระกูลตู้นั่นแหละ เราลงไปกันเถอะ”
เหลียงฮั่นจะขยับตัว ซ่งจื่อเซวียนแตะเขาไว้ “นายพักผ่อนเถอะ”
มองซ่งจื่อเซวียน เหลียงฮั่นก็น้ำตาคลอหน่วย มนุษย์เหล็กคนนี้…ยังไม่เคยรู้สึกถึงการมีใครสักคนเป็นห่วงตนมาก่อนเลย
ลงจากรถเดินไปหาฝั่งตรงข้าม ยังไม่รอให้เห็นหน้าชัดๆ ซ่งจื่อเซวียนก็พูดขึ้นมา “ตระกูลตู้ คงรอมานานมากแล้วมั้ง”
……………………………………
…………….