เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 358 สองล้าน
ตอนที่ 358 สองล้าน
……….
พวกซางเทียนซั่วสามคนพยักหน้าพร้อมกัน
ปกติพวกเขาจะแค่ล้อเล่นเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความจริงจังของซ่งจื่อเซวียน
จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่นั้นเรียบง่ายมาก พวกเขาไม่คิดจะมาเอาสมบัติสุดล้ำค่าใดๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหนวดพญามังกร
เขาต้องการแค่หญ้าสวินหย่ง ยังไงก็ต้องคว้ามาให้ได้!
ใครกล้าแย่งไป โดน!
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็พาทุกคนไปเดินเล่นในตลาด
อันที่จริงคนส่วนใหญ่ต่างก็มีสินค้าเป้าหมายที่อยากจะซื้อเช่นกัน จึงไม่รีบร้อนที่จะซื้อของในตอนนี้
เพราะกลัวว่าจะพลาดการประมูลหนวดพญามังกรในอีกสักครู่
แม้ว่าจะไม่มีกำลังทรัพย์พอ แต่ก็อยากรู้ว่าคืนนี้ใครจะได้สมบัติชิ้นนี้ไปครอบครอง
ขณะที่เดินไปรอบๆ ซ่งจื่อเซวียนก็สังเกตเห็นหินหมึกในร้านแผงลอยเจ้าหนึ่ง
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พื้นผิวของหินหมึกนั้นแวววาว ไม่ใช่พื้นด้าน
น่าจะเกิดจากคราบหนาเตอะจากการใช้งานมาหลายปี
สีของมันเป็นสีดำแกมเหลือง มันวาว ด้านในเห็นได้ชัดว่าผ่านการทำความสะอาดมาแล้ว แต่ยังหลงเหลือร่องรอยของการใช้งานอยู่
มีภาพสลักนูนต่ำเป็นภาพดอกไม้ เบื้องหน้าของดอกไม้นั้นเป็นเทียนสีแดงส่องสว่าง เปลวเทียนวูบไหวไปตามสายลมที่พัดโชย
ทั้งกลีบดอก เกสร เทียน หรือแม้แต่เปลวเทียนที่วูบไหวไปตามแรงลมต่างถูกสลักอย่างวิจิตรตระการตา
ด้านล่างภาพสลักยังมีกลอนบทหนึ่ง
ลมบูรพาพัดโบกเปลวแสงปลิว หมอกคลุ้งกลิ่นผกาจันทร์ส่องพาดทางสัญจร หวั่นใจราตรีกาลจะกล่อมมวลบุปผาให้หลับไหล จึงจุดเทียนพลันเพื่อยลโฉมสุดา
เมื่อเห็นกลอนบทนี้ ซ่งจื่อเซวียนถึงกับสะดุ้งสุดตัว
ในขณะที่ซ่งจื่อเซวียนกำลังคุร่นคิดอยู่นั้นเอง ก็มีมือหนึ่งคว้าเอวเขาไว้แล้วกระชากตัวเขาไป
แรงกระชากนั้นไม่มาก เพียงแค่ทำให้ซ่งจื่อเซวียนตกใจแล้วหันหลังกลับไปทันที
แต่เมื่อเห็นคนตรงหน้า เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ที่แท้ก็หวังเฉิงยงนั่นเอง
“ไอ้หยา เสี่ยหวังครับ ผมตกใจแทบตายแน่ะ”
หวังเฉิงยงยิ้ม “เกิดอะไรขึ้น ไม่เจอเถ้าแก่ซ่งมาหลายวัน ขี้กลัวขึ้นเยอะเลยนา”
“ฮ่าๆ เสี่ยหวังก็ อย่าล้อผมสิครับ จู่ๆ ก็โผล่มาแบบนี้ ใครจะไม่กลัวบ้าง”
หวังเฉิงยงมองซ้ายขวา ก่อนจะดึงเสื้อของซ่งจื่อเซวียนลากเขาเดินออกมาอีกทาง
เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น เหลียงฮั่นจึงปรี่เข้าไปหา แต่ถูกซางเทียนซั่วห้ามไว้ก่อน “อย่า แกจะไปล่วงเกินปู่คนนั้นไม่ได้!”
“หา? นายท่านรองรู้จักเขาเหรอ”
“ไร้สาระ แกอัดคนทั่วไปจ่ายแค่หนึ่งหมื่นหรือแปดพันหยวนก็เจ๊ากันแล้ว แต่ถ้าแกอัดตาเฒ่านี่ เงินไม่ถึงห้าล้านไม่เลิกราหรอกนะ”
เหลียงฮั่นกลืนน้ำลายลงคอเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“หา หมายความว่าไง ไถเงินเหรอ”
“ทำไมแกถึงได้โง่แบบนี้นะ เจ้าช้างโง่ ปู่แกเงินหนาเป็นฟ่อนๆ ยิ่งกว่าตัวหนาๆ ของแกซะอีก!”
อีกด้านหนึ่ง หวังเฉิงยงกำลังเอ่ยกระซิบกระซาบ “ไอ้หนู โลกมันกลมจริงๆ คราวนี้เล็งของชิ้นเดียวกับฉันอีกแล้วเหรอ”
“เอ่อ เสี่ยหวัง เอาอย่างนี้ไหม…ยกให้ผมเถอะนะ”
“ถุย ฉันยกให้นายมากี่ครั้งกี่หนแล้ว ตะหลิวเหล็กเขียวของฉันนายจะคืนฉันไหม” หวังเฉิงยงตวาด
“เฮ้ย เสี่ยอย่ามาเล่นลิ้นแบบนี้สิครับ ตะหลิวอันนั้นยกให้ผมแล้วนี่”
“เพราะงั้นคราวนี้นายต้องยอมให้ฉันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะหนึ่ง ฉันเป็นผุ้อาวุโสของนาย สอง นายติดหนี้ตะหลิวของฉัน”
ได้ยินเช่นนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก
เพราะถึงอย่างไรหนึ่งปีมานี้ เขาก็หาประโยชน์จากหวังเฉิงยงมาไม่น้อย
ไม่ว่าจะพูดจากมุมไหน ของชิ้นนี้ต้องยอมยกให้หวังเฉิงยงจริงๆ
“งั้นก็ได้ครับ ผมยอมเจ็บเองก็ได้ แต่…เสี่ยหวังต้องชี้แนะผมหน่อยนะ ผมว่าของชิ้นนั้นใช้ได้เลย”
หวังเฉิงยงหรี่ตามองแล้วหัวเราะออกมา “ไร้สาระ ลายมือชั้นสูงของตระกูลซูจะเป็นของสั่วๆ ได้ยังไง”
“ตระกูลซู…” เมื่อครู่ซ่งจื่อเซวียนกำลังสงสัยอยู่เลย บทกวีนั้นดูคุ้นตา แถมหินหมึกนั้นยังดูเก่ามากทีเดียว
เมื่อหวังเฉิงยงย้ำเช่นนั้น เขาก็ต้องเบิกตาโพลงทันที “ซูซื่อ[1]นี่เอง”
“พูดเบาๆ หน่อยสิ อยากแหกกฎหรือไง”
ซ่งจื่อเซวียนรีบโบกไม้โบกมือแสดงการขอโทษ
“ตอนนี้ของใช้ของซูตงพัวเป็นของหายาก หินหมึกนี่ฉันต้องเอามันมาให้ได้ ถือซะว่าทำบุญนะ”
“โอเค แล้วจะตอบแทนผมยังไงดีล่ะครับ” ซ่งจื่อเซวียนรีบร้อนตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“ไอ้หนู นายนี่มันกะล่อนซะไม่มี ฉันมีเขียงไม้มะเกลืออยู่ ยกให้เอาไหม”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็เนื้อเต้นทันที
“ไม้มะเกลือ? พูดจริงหรือเปล่าครับ ว่าแต่…ไม้มะเกลือไม่เหมาะเอามาทำอาหารหรือเปล่าครับ”
หวังเฉิงยงพูด “เป็นพวกมือสมัครเล่นหรือไง ไม้มะเกลือมันน่าเบื่อนัก เอาไปใส่ห่วงทองแดงก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนี่”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “น่าจะได้นะครับ โอเค งั้นตกลงเอาตามนี้ครับ ไว้วันหลังผมไปรับของที่บ้านคุณนะครับ”
“จะไปไหนก็ไป อย่ามาขวางทางคนเขาจะซื้อของ!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางๆ แล้วจึงเดินจากไป
เขาทำตามกฎ ในเมื่อพูดว่ายกให้แล้วก็ต้องไป ไม่สามารถอยู่ดูต่อไปว่าอีกฝ่ายได้มาอย่างไร และเสียเงินซื้อมันมาในราคาเท่าไร
อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์ในปัจจุบันของซ่งจื่อเซวียน หินหมึกนั่นน่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าเลยทีเดียว
ถ้าหวังเฉิงยงคิดจะคว้ามันมาไว้ในครอบครอง ย่อมแสดงว่าในมือของเขามีเงินอยู่ไม่น้อย
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวในหอเยวี่ยซี
ปกติชายชราที่ดูแลร้าน มักจะยุ่งกับการจัดข้าวของภายในร้าน และเข้าออกจากประตูบานหนึ่งเป็นครั้งคราว
แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่เห็นคนส่งของเดินเข้ามา หรือว่า…ของไม่ได้มาส่งที่ประตูทางเข้างั้นเหรอ
คิดได้ดังนี้ เขาก็ถือโอกาสเดินจ้ำอ้าวเข้าไป
“คุณครับ ของมาหรือยังครับ”
ชายชรายิ้มและพยักหน้า “นายท่านรองสนใจจริงๆ สินะ ของเพิ่งมาถึงเลย ผมกำลังดูรายการ มีหญ้าสวินหย่งอยู่ด้วย มาทันเวลาพอดีเลย”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“จริงเหรอครับ งั้นก็ดีเลย ราคาเท่าไร ผมต้องการเดี๋ยวนี้!”
อันที่จริง ซ่งจื่อเซวียนรู้ดีอยู่เต็มอกว่าเขามาที่นี่ถึงสองวันเพื่อหญ้าสวินหย่ง ใครที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมต้องมองออกว่าเขาต้องใช้มันอย่างเร่งด่วน
ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นสิงโตที่อ้าปากรองับ ส่วนเขาก็เจอสิ่งที่ต้องการพอดี
แต่เขาไม่ได้สนใจมากนัก ขอแค่ได้หญ้าสวินหย่งมา เจ้าถิงถิงก็จะได้รับความช่วยเหลือ
“ผมเช็กให้นะ รอสักครู่นะครับนายท่านรอง”
ชายชราพูด ก่อนจะเดินไปหยิบสมุดเก่าๆ เล่มหนึ่งออกมาแล้วพลิกอ่าน
ไม่นานนัก เขาก็เงยหน้าขึ้นเอ่ย “นายท่านรอง ราคาขายหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวนครับ!”
หนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน? นี่มันแพงกว่าเห็ดเซียนด่างที่พูดถึงคราวก่อนตั้งหลายหมื่นหยวน
ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าหญ้าสวินหย่งหายากจริงๆ หรือว่าอีกฝ่ายกำลังฉวยโอกาสขึ้นราคากันแน่
แต่ยังดีที่ราคาอยู่ในขอบเขตที่ซ่งจื่อเซวียนรับได้
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ได้ งั้นผมเอา รบกวนห่อให้ด้วยนะครับ”
ชายชรากล่าวยิ้มๆ “นายท่านรอง ตลาดของเรามีกฎมีระเบียบของตลาด คุณต้องจ่ายเงินก่อนสิ ผมถึงจะห่อสินค้าให้ได้”
ได้ฟังเช่นนั้น ซางเทียนซั่วก็โพล่งขึ้น “ฮะ ต้องถึงขั้นนั้นเลยเหรอ ทำมาค้าขายระดับนี้ทำไมถึงขี้งกนักล่ะ แบบนี้จะให้เราเชื่อใจทำธุรกิจกับร้านพวกตาได้ไง”
“หึๆ พ่อหนุ่มนี่พูดจาตลกดีนะ ตาน่ะเชื่อใจนายท่านรองอยู่แล้ว แต่กฎต้องเป็นกฎ…จะแหกกฎไม่ได้!”
“ตานี่มัน…หัวโบราณชะมัด” ซางเทียนซั่วขมวดคิ้ว
แต่ถึงจะเผชิญกับคำถากถางของซางเทียนซั่ว ชายชราก็ยังยิ้มได้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นนักธุรกิจตัวจริง
นี่แหละคือวิธีดำเนินธุรกิจ ต้องถือคติว่ามิตรไมตรีนำมาซึ่งโชคลาภ
จะดุด่าฉันอย่างไรก็ได้ ขอแค่อยู่ในขอบเขตที่รับได้ และฉันยังได้เงิน ฉันก็ไม่แคร์
บางครั้งนี่ก็เป็นสภาพในโลกของธุรกิจ
ซ่งจื่อเซวียนพูด “พอได้แล้วเทียนซั่ว หยุดพูดจาเลอะเทอะได้แล้ว รบกวนพาผมไปเช็กบิลทีนะครับ”
“ได้ครับนายท่านรอง เชิญทางนี้”
ทันทีที่สิ้นเสียงชายชรา ก็มีเสียงดังมาจากประตูร้าน
“เดี๋ยวๆ สินค้าอะไร ขอผมดูด้วยคนได้ไหม”
ทุกคนหันขวับไปมอง เป็นตู้อวิ๋นเลี่ยงที่พูดขึ้นมา
ชายชราผงะไป “เอ่อ…”
“หึๆ ตามกฎของที่นี่ ถ้ามีคนสนใจอยากดูสินค้าก่อนจะเช็กบิล ก็ยังดูได้ถูกไหม”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชราก็พยักหน้า “ที่คุณพูดมาก็ถูกต้องครับ คุณผู้ชายท่านนี้ดูไม่คุ้นหน้าเลย คงจะไม่ได้มาบ่อยๆ ล่ะสิท่า”
“ใช่ครับ ได้ยินมาว่าวันนี้จะมีการเปิดตัวหนวดพญามังกรที่หอเยวี่ยซี ก็เลยมาร่วมสนุกด้วย แล้วก็แวะดูไปพลางๆ ว่ามีของดีอะไรที่ผมเอากลับไปได้บ้าง”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงพูดพลางมองไปยังซ่งจื่อเซวียน พร้อมกับเผยรอยยิ้มยียวน
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกได้ ว่าไอ้หมอนี่มาเพื่อหาเรื่องเขา
แต่หญ้าสวินหย่งกำลังจะมาอยู่ในมือของเขาแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายมายุ่งกับมันได้
ชายชราเทหญ้าสวินหย่งออกมาจากบรรจุภัณฑ์ อันที่จริงเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเมื่อครู่ซ่งจื่อเซวียนถึงตกลงซื้อทันที โดยไม่ตรวจสอบสินค้าเสียก่อน
แน่นอน เขาไม่รู้ว่าซ่งจื่อเซวียนต้องการหญ้าสวินหย่งอย่างเร่งด่วน
อีกอย่างเขาไม่รู้จักหญ้าสวินหย่ง ถึงดูไปก็ใช่ว่าจะแยกออกว่าเป็นของจริงหรือของปลอม
ชายชราหยิบหญ้าสวินหย่งออกมา ทุกคนต่างเข้ามาดู
นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่งจื่อเซวียนได้เห็นหน้าตาของหญ้าสวินหย่ง
หญ้าสวินหย่งต้นหนึ่งมีหกถึงสิบเอ็ดก้าน สมุนไพรสีเขียวมรกต รากเป็นสีเหลืองอ่อน ใบสีเขียวมรกต ปลายใบเป็นสีเขียวเข้ม
ดูแล้วเหมือนจะมีจุดเด่นที่การไล่ระดับสี
ตู้อวิ๋นเลี่ยงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร แต่เขารู้อย่างหนึ่งว่า วันนี้ไม่ว่าจะอย่างไร เขาต้องขวางไม่ให้ซ่งจื่อเซวียนซื้อของที่อยากได้
ต่อให้รวยล้นฟ้าแค่ไหน ก็เป็นแค่เจ้าของร้านอาหาร
แต่ฉันสิแตกต่าง วันนี้ที่มาซื้อหนวดพญามังกร เถ้าแก่รับปากกับเขาเอาไว้แล้วว่าจะให้เขาชนะการประมูลไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
ในระหว่างนั้น ตู้อวิ๋นเลี่ยงจะควักเงินออกมาสักล้านแปดหรือมากกว่านั้น เขาก็ไม่ยี่หระ
เพราะอย่างไรเสียเงินที่ใช้ไปก็ไม่ใช่เงินของเขาเอง
“เจ้านี่ราคาเท่าไร”
ชายชรามองออกว่าตู้อวิ๋นเลี่ยงกำลังหาเรื่อง เขาคงไม่รู้จักหญ้าสวินหย่งด้วยซ้ำ แต่ก็เสนอราคาซะแล้ว…
ทว่าตามกฎเกณฑ์ เขาต้องบอกราคาไป
“หนึ่งแสนห้าหมื่นหยวนครับ”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงพยักหน้า “สองแสน”
ชายชราหันไปมองซ่งจื่อเซวียนทันที เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการประมูลได้เริ่มขึ้นแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองตู้อวิ๋นเลี่ยง แล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “สามแสน”
“สามแสนห้า!”
ซ่งจื่อเซวียน “ห้าแสน!”
“ห้าแสนห้า!”
รอยยิ้มของตู้อวิ๋นเลี่ยงยังคงผ่อนคลาย ห้าแสนห้า ช่วยบรรเทาความโกรธให้พี่ชายและหลานชายได้ ก็ถือว่าคุ้มแล้ว
“นี่แกหาเรื่องกันใช่ไหม” ซางเทียนซั่วชี้หน้าตู้อวิ๋นเลี่ยง
“อะไรเล่า จ่ายไม่ไหวงั้นเหรอ พวกนายเปิดคลับเฮาส์นี่…น่าจะมีเงินเยอะไม่ใช่หรือไง”
ในตอนนี้เองก็มีอีกเสียงหนึ่งดังมาจากหน้าประตู
“ไอ้คนหน้าไม่อาย คนเขาเห็นก่อน ยังจะมาแย่งอีก!”
เป็นหวังเฉิงยงนั่นเอง
ในมือของเขามีหินหมึกที่ซูซื่อเคยใช้ ซ่งจื่อเซวียนยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าหวังเฉิงยงจะทำสำเร็จแล้ว
“เสี่ยหวัง ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ”
หวังเฉิงยงยกมือขึ้น “ไม่เป็นไร ฉันเห็นไอ้คนไม่รู้จักกฎ ไม่รู้จักระเบียบแล้ว มันคันปากอยากเตือนสักหน่อย”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงเหลือบมองหวังเฉิงยง ชายชราสวมเสื้อผ้าเหมือนผ้าขี้ริ้วแบบนี้ ดูแล้วไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย
“ตาแก่ นี่ไม่ใช่เรื่องของแก อีกอย่างที่นี่ตลาดใต้ดินไม่มีแบ่งมาก่อนมาหลัง ใครเงินหนากว่าก็ได้ไปแค่นั้นแหละ!”
พูดจบ ตู้อวิ๋นเลี่ยงก็มองชายชราผู้ดูแลร้าน ชายชราพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “คุณผู้ชายท่านนี้พูดถูกครับ”
“พูดบ้าอะไรของแก มาก่อนได้ก่อนถือเป็นมาตรฐาน ไม่ใช่กฎ ร้านแกนี่ไม่มีมาตรฐานเอาเสียเลย!”
หวังเฉิงยงพูดแล้วนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้เท้าแขนที่อยู่ข้างๆ รองเท้าผ้าของเขากระทบกัน ส่งกลิ่นเท้าโชยออกมา
“แก…มาเสือกอะไรด้วย”
“ระวังปากเวลาคุยกับฉันหน่อย มาส่งมาเสือกอะไร ระดับแก…คู่ควรกับฉันเหรอ”
คำพูดของหวังเฉิงยงนั้นเยี่ยมยอดอยู่เสมอ จนบ้างครั้งแม้แต่ซ่งจื่อเซวียนยังเข่าอ่อน คราวนี้เป็นตาตู้อวิ๋นเลี่ยงที่หาเรื่องโดนด่า
“เหอะ ไอ้หนู จะเสนอราคาอีกไหม ถ้าไม่เสนอ ก็ปิดดีลที่ห้าแสนห้าของฉัน!”
ซ่งจื่อเซวียนแค่นเสียงออกมา ก่อนจะหันไปมองตู้อวิ๋นเลี่ยงด้วยสายตาเย็นชา
“สองล้าน!”
ทันทีที่เอ่ยคำว่าสองล้านออกมา ทุกคนต่างมีทีท่าสับสน
“ไอ้หนู นายจะบ้าเหรอ…” แม้แต่หวังเฉิงยงก็ไม่เข้าใจ
ปกติเวลาซ่งจื่อเซวียนเลือกของมักจะคิดแล้วคิดอีก วันนี้เป็นอะไรไป
…………………………………………
[1] ซูซื่อ หรือ ซูตงพัว เป็นนักกวีชื่อดังในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง
……….